โฉมสะคราญที่เคยมีชีวิตสุขสบายกลับต้องพลิกผันเมื่อถูกคนชั่วใส่ร้ายว่าเป็นกบฎ ครอบครัวถูกทำลาย แถมยังถูกหักหลังจากองค์ไท่จื่อ ผลักไสนางให้ไปแต่งงานกับองค์ชายต่างแดน นางจึงต้องย้อนเวลากลับมาทวงแค้น!!
View Moreซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน
“เรื่องอันใด ข้าคงตอบเจ้าได้หากเกิดคำถามขึ้นมาแล้ว”“เจ้าทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เรื่องที่ต่อไปจะเกิดการกบฎขึ้น ข้ารู้สึกสงสัย เพราะก่อนหน้าที่จะมีการซ่องสุมโจรผู้ร้าย เจ้าก็เคยบอกข้าว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วก็เป็นจริง ครานี้เจ้าบอกข้าว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง เจ้าก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครอยู่เนือง ๆ อีกทั้งยังบอกกล่าวบิดาให้ซ่อนตัวเพื่อพ้นภัยอันตรายอีกด้วย หรือว่าเจ้ามี…”เขาชะงักคำพูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดสิ่งใดออกมา“ข้ามีลางสังหรณ์น่ะ เจ้าจะบอกเช่นนี้หรือไม่ซือฟง”“ใช่แล้วหลินเอ๋อร์ ข้าเพียงแต่นึกคำนั้นไม่ออก เจ้ามีความพิเศษนี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิได้สงสัยอันใดแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า ความพิเศษของสตรีนั้นมีคำเล่าขานมาอย่างยาวนาน หากว่าสตรีใดที่มีลางบอกเหตุ ก็จงเชื่อฟังนาง โดยเฉพาะหากเป็นคนที่รักแล้วยิ่งต้องเชื่อ โดยมิต้องมีคำโต้แย้ง มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”“นี่เจ้าจะบอกอะไรข้า เจ้านี่นะช่างเล่นคำเสียเหลือเกิน” บางทีนางอยากจะแกล้งโง่บ้าง เมื่อเขาพูดจาทำให้นางมีริ้วแก้มแดงเพราะเลือดฝาด “ข้าจะออกไปก่อน เชิญเจ้าคิดอะไรต่อไปให้พอเถอะ!”“เดี๋ยวก่อนสิหลินเอ๋อร์ เจ้
องค์ชายอวิ๋นหลงรีบควบม้าศึกประจำตัว ห้อตะบึงลู่ลมมายังสถานที่นัดพบของพวกเขาทั้งสองคน หวังว่าหานซูหลินยังคงรอคอยเขาอยู่ที่เดิม ความจริงที่ว่าเขาคิดถึงนางยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นคือเรื่องที่มิอาจเสแสร้งได้เลยองค์ชายอวิ๋นหลงผูกม้าเอาไว้หน้าถ้ำน้ำตก เขาเร้นกายเข้าไปสู่จุดหมายด้านในอย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่ลึกเข้าไปนับลมหายใจได้แทบพันครั้ง เขาก็พบเจอกับหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนธิดาสวรรค์บนพื้นแผ่นดิน กำลังนั่งรอเขาอยู่ กลางสวนดอกไม้และทุ่งหญ้าเรืองแสงเปล่งประกาย ภายใต้ความมืดทึบ ที่ตรงนี้ช่างสว่างไสวยิ่งนัก ซึ่งเขามิเคยรู้มาก่อนสักนิด จนกระทั่งหานซูหลินนำทางเขามาในวันนี้ นางบอกในจดหมายว่าให้เขาเดินเข้ามายังจุดที่ลึกสุดภายในถ้ำ ก็จะพบเจอกับนางที่รอคอยตรงใจกลางถ้ำน้ำพุ“ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีจุดนัดพบเช่นนี้เกิดขึ้นในปฐพี ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองถ้ำลึกลับแห่งนี้“เจ้ามาก็ดีแล้วซือฟง ข้ามิเคยนำพาผู้ใดมายังที่แห่งนี้เลยสักครั้ง มีเพียงเจ้าคนเดียว ที่ได้พบและเห็นมัน เจ้าชอบหรือไม่”หญิงสาวเอ่ยถามเขา พร้อมทั้งเดินออกมายังบริเวณลานกว้าง“ช่างน่าแปลกใจอย่างที
น่าแปลกใจที่วันถัดมา องค์ชายหลงเทียนทรงแวะมาเยี่ยมเยียนองค์ชายอวิ๋นหลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสหายกัน แต่ทุกอย่างมิได้รู้สึกไว้ใจกันเสียทีเดียว มันเป็นการเจริญสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรัชทายาท ที่ยังต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันต่อไป“ขอประทานอภัยด้วยองค์ชายอวิ๋นหลง ที่ข้ามิได้เข้ามาสนทนากับท่านนานแล้ว ครั้งท้ายสุด เห็นทีว่าจะเป็นวันแรกที่ท่านจากบ้านเมืองมาใช่หรือไม่”องค์ชายหลงเทียนทรงไต่ถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาหวังว่าองค์ชายแห่งแคว้นหลู่ก็คงตอบรับไมตรีนี้เช่นกัน“เป็นดั่งเช่นท่านกล่าวมานั่นแหละองค์ชาย ข้าเป็นอาคันตุกะต่างเมือง เวลานี้ยังมิได้ไปเที่ยวชมที่ใดมากนัก เกรงว่าจังหวะและเวลาคงมิได้อำนวยเสียทีเดียว ในเมื่อบ้านเมืองของท่านระส่ำระสายถึงเพียงนี้ ข้าก็คงต้องอยู่ในตำหนักตามเดิม”องค์ชายอวิ๋นหลงทรงพักจิบชาที่ทำจากเปลือกไม้หอม กลิ่นที่ส่งมาช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก เขาผายมือให้อีกฝ่ายลองลิ้มรสที่น่าอัศจรรย์นี้“ชารสดีจากแคว้นหลู่ ใบชาชั้นดีผสมกับเปลือกอบเชย เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเชียวนะ ข้าอยากให้ท่านลิ้มลองสักครั้ง ได้โปรดให้เกียรติข้าด้วยองค์ชายหลงเทียน”“เยี่ยมมากองค์ชาย ถ้าเช่นนั้นข้า
หานฮูหยินยกเรื่องราวอันน่าสะเทือนขวัญมาตักเตือนบุตรสาว “เดินทางช่วงนี้มีแต่เสียเปรียบนะลูกรัก ถึงเจ้าจะมิได้กลัว แต่แม่นั้นหวั่นในใจยิ่ง เราหาทางส่งข่าวสารให้พ่อเจ้ามิได้หรือ นกพิราบสื่อสารนั่นอย่างไร ข้าเห็นจวนของนายท่านกรมการยุทธโธปกรณ์ ก็ส่งสารกันโดยใช้วิธีนั้นอยู่บ้าง”“ท่านแม่เจ้าคะ อย่าได้ห่วงข้าเลย”หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือของมารดาเพื่อปลอบใจ “ข้าทราบดีว่าท่านเป็นห่วง แต่หากว่าเราอยู่เฉยเช่นนี้ หามีเรื่องที่ดีแน่ ท่านแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกเคยบอกว่าอย่างไร เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว หากตระกูลหานของเราไม่ทันระวังตนเอง ชื่อเสียงก็จะหมดสิ้นไปนะเจ้าคะ อีกอย่างการสื่อสารด้วยนกพิราบตามอย่างจวนอื่น ก็มิได้มีการปรึกษาใด ๆ ข้าไปด้วยตัวเองจะดีกว่ามากเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย” นางปลอบใจมารดา“แล้วนี่เจ้าจะเดินทางไปตามลำพังเช่นนั้นหรือ เห้อ! ข้ารู้สึกกลุ้มใจเสียจริง ไม่เอาแล้ว ๆ แม่ไม่ให้เจ้าไปหรอกนะหลินเอ๋อร์” ทว่ามารดายังทำใจมิได้ เพราะเกรงกลัวโจรร้ายตามทางจะพรากชีวิตบุตรสาวของนางไปชั่วกาล เวลานี้หานฮูหยินน้ำตารื้นขึ้นมาปรกตา“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้เดินทางไปแต่เพียงผู้เดียวหรอกเจ้าค่ะ ข้ายั
“หาใช่ที่ใดก็มียาพิษไม่ ข้าจะแสดงให้ดูว่ายาพิษกัดกร่อนกระดูกมันเป็นเช่นไร เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี”เขานำเข็มเงินหนึ่งเล่มออกมาชี้ตรงหน้า ก่อนจะรินน้ำชานั่นใส่ในจอกสีขาว แล้วนำเข็มเงินวาววับจุ่มลงไปครึ่งเล่ม เพียงแค่พริบตาเดียวเข็มที่เปล่งประกายกลับเปลี่ยนเป็นสีดำที่เศร้าหมอง เหมือนชีวิตที่ดับแสงเทียน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นผุยผงไปจนสิ้น เข็มเงินเล่มนั้นแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนมันจะปลิวไปตามลมที่พัดพาทุกสิ่งไปในห้วงอันธกาล“เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าพิษนี้มันช่างร้ายแรงยิ่งนัก ข้าจะให้ทหารมาทำความสะอาดพื้นที่แห่งนี้เสีย และห้ามผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด ส่วนเจ้าก็อยู่แต่ในส่วนของจวนเถอะ อย่าได้ออกมาข้างนอกเลย เวลานี้ช่างอันตรายเจ้าต้องเชื่อข้า” ซ่งซือฟงสบตาของนางเขม็ง เขาถือวิสาสะจับท่อนแขนสองข้างของนาง“รับปากข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าขอร้อง ตอนนี้แม้แต่ในราชวังยังวุ่นวายนัก ถนนหนทางต่างเหมือนแดนสนธยา มีคนตายเกิดขึ้นมากมาย เจ้ามิควรต้องออกไปไหน”“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีการนองเลือดที่ไหนบ้าง ในแคว้นหลู่อยู่ไปก็มิได้ปลอดภัย ครั้นเดินทางมาที่ฉางอัน ราชวงศ์ของเจ้าก็ยังมิปลอดภัยอีกหรือ” หานซู
เสียงของแข็งกระทบเข้ากับร่างกายของคน จนเกิดเสียงที่ไม่น่าฟัง นางเขวี้ยงสิ่งนั้นออกไป ก่อนที่คนร้ายจะทันบุกเข้าหาองครักษ์จากแคว้นหลู่ ทำให้มันล้มตึงลงกลางอากาศ จนกระทั่งซือฟงดึงมีดสั้นออกมาจากข้างตัว และปาใส่จนคนร้ายหญิงได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ หานซูหลินเข้ามาหาเขาและมองท่อนแขนที่เต็มไปด้วยโลหิตสีชาด มันซึมออกมาจากบาดแผล แม้เขาจะมีปลอกแขนอยู่แล้วก็ตาม“เจ้าเป็นอะไรไหมองครักษ์ เจ้าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” หานซูหลินประคองชายหนุ่มลงไปนั่งยังม้าหิน เขาหอบหายใจแรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบกับใบหน้างดงามของนาง“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร บาดแผลเพียงเท่านี้ มิอาจทำอันตรายข้าได้หรอกพระชายา” แม้จะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เลือดก็มิได้หยุดไหลลงสักนิด หานซูหลินพอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้าง หญิงสาวนำผ้าขาวบางซึ่งกรองตัวแป้งทำขนมออกมาดึง ให้มีด้านความยาวเพิ่มขึ้น ความกว้างนั้นเท่ากลางฝ่ามือ ก่อนจะดึงทึ้งมันเป็นสี่ส่วน“ข้าจะใช้ผ้านี้กดบาดแผลให้เจ้าก่อน พอเลือดหยุดไหลข้าจะนำยามาป้ายให้เจ้าอีกที เพื่อลดความเจ็บปวดของบาดแผลที่โดนเมื่อครู่ หวังว่าเจ้าจะทนได้นะท่านองครักษ์” หานซูหลินก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ชายหนุ่มอย่
หญิงสาวเอ่ยขออภัยต่อเขา ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด หานซูหลินเขินอาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้พิทักษ์องค์ชายแคว้นหลู่ ซึ่งเขาเองก็มีท่าทีมิได้ต่างกับนางเลย เขาเองก็ใบหูแดงไม่แพ้กัน“นี่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องให้ข้าอย่างไรล่ะ จน เกือบทำขนมอันล้ำค่าเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะผละออกจากนาง ซึ่งหานซูหลินเองยังมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี“ช่างเถอะ! ถือว่าข้ามิได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ ส่วนเจ้าก็ออกไปห่าง ๆ ข้าก็แล้วกัน” นางพูดจาแง่งอนใส่ พร้อมกับรับถาดขนมกลับมาวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม องครักษ์หนุ่มมิได้เข้าใจท่าทางของสตรีนัก เขายังคงจับตาดูสาวใช้คนใหม่อยู่อย่างมิวางตาแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่หานซูหลินก็มิได้ใส่ใจ นางเริ่มทำสิ่งเดิมต่อไป สาวใช้นำน้ำจากกามาผสมลงในขนมอีกส่วน นางบอกแก่หญิงสาวว่ารสหวานของแป้งมีน้อยเกินไป นางจึงต้องการผสมใหม่เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและหวานล้ำกว่านี้ แต่ทว่า…การกระทำของสาวใช้นั้นดูผิดแปลกไป ทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นแท้ ๆ แต่กลับรู้จักสัดส่วนของอาหาร ปกตินางคงมิใช่คนที่จ
ปีรัชศกยี่เฉิง ปีที่สองร้อยอาณาจักรฉางอันที่รุ่งเรืองและเกรียงไกร ปกครองโดยราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถและยังรวมผู้คนในแผ่นดินให้กลมเกลียว รักใคร่สมานฉันท์ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อแคว้นข้างเคียง ดั่งเช่นในวันนี้ที่พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองเหล่าองค์ชายจากต่างแดนขึ้นความสำราญขนาดมโหฬาร กำลังเผยอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง และขณะเดียวกันองค์ฮ่องเต้เองก็ทรงให้หลิวกงกงประกาศราชโองการ“ในนามแห่งผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในความต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นต่างแดน จึงได้เชิญองค์ชายรัชทายาทของแคว้นหลู่ เข้ามาร่วมเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ขอให้ทุกคนสำราญในงานเลี้ยงครั้งนี้”สิ้นเสียงประกาศจากหลิวกงกงในพิธี ทุกคนต่างนั่งลงในที่ของตนเอง ทุกคนล้วนอยู่ในห้องที่โอ่โถง และมีบริเวณที่กว้างขวาง ซึ่งฮ่องเต้ได้ทรงโปรดให้จัดสถานที่กึ่งธรรมชาติ พร้อมนำอาหารและสุรามากมาย มาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแต่เวลานี้ยังมีสตรีผู้หนึ่งซึ่งจิตใจร้าวรานนัก เป็นเพราะนางถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีตระกูลตนเอง จนต้องหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังมิวายที่จ...
Comments