โฉมสะคราญที่เคยมีชีวิตสุขสบายกลับต้องพลิกผันเมื่อถูกคนชั่วใส่ร้ายว่าเป็นกบฎ ครอบครัวถูกทำลาย แถมยังถูกหักหลังจากองค์ไท่จื่อ ผลักไสนางให้ไปแต่งงานกับองค์ชายต่างแดน นางจึงต้องย้อนเวลากลับมาทวงแค้น!!
View Moreในวันเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง เสนาบดีแต่ละฝ่าย ต่างจดจ้องเพื่อที่จะรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้แก่บิดาของแผ่นดินได้รับรู้ แต่ครานี้เม่ยจือลั่วที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ได้เสนอเรื่องการก่อกบฏของตระกูลหาน เรื่องซ่องสุมโจรร้ายและเป็นภัยแก่ราชวงศ์ในขณะนี้“กราบทูลฝ่าบาท นี่คือเรื่องจริงที่กระหม่อมได้ไปสืบทราบมาจากหลายฝ่าย ผู้นำตระกูลหาน มิได้เป็นคนดีอย่างที่ทุกคนคิด ตอนนี้เขาได้ซ่องสุมโจรขึ้นมา และทำการปล้นทรัพย์อย่างอุกอาจ กระหม่อมมีหลักฐานอยู่ในมือทั้งหมดพะยะค่ะ ทรงพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกระหม่อม เพื่อนำความสันติมาให้ดินแดนฉางอันของเรา” เขานำหลักฐานเท็จมาให้ฮ่องเต้ทรงอ่าน เพื่อประทับสายพระเนตรลงไป“ในนี้เขียนว่ามีการปลดปล่อยนักโทษร้ายแรงเช่นนั้นหรือ มันเป็นผู้ใดกัน เจ้ารู้หรือไม่”“พะยะค่ะฝ่าบาท คนผู้นั้นเป็นนักโทษคดีร้ายแรง และเหมือนกับว่าเสนาบดีกรมยุติธรรม ได้ปล่อยตัวออกไป เพราะนักโทษใกล้ถึงแก่ความตาย จึงอนุโลมให้ไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิด และให้ทหารทำศพให้หลังจากนั้นขอรับ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่นักโทษผู้นั้นมิได้ตายจาก แต่กลับเข่นฆ่าทหารที่ติดตามไปจนหมดสิ้น ก่อนจะตั้งก๊กและเหล่าขึ้น เพื่อท
เมื่อองค์รัชทายาทจากแคว้นหลู่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่รอช้า รีบออกมาจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ทันที“องค์ชายขอรับ พวกเราทหารสนับสนุนพร้อมแล้วที่จะทำตามพระประสงค์ขององค์ชาย ได้โปรดทรงออกคำสั่งมาได้เลยขอรับ” หัวหน้าสำนักเอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า ออกคำสั่งกับหัวหน้าทหารโดยทันที“เจ้าอย่าได้ออกตัวว่าเป็นทหารจากแคว้นหลู่ ในครานี้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นมากมายนัก ข้าอยากให้เจ้าสำนึกรักแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ชั่วคราว สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ ตระกูลจ้าว จะไม่ยอมอยู่เฉย และพร้อมที่จะกำราบพวกโจรชั่วเหล่านั้น ส่วนข้าจะออกตัวมิได้ เพราะเป็นเพียงผู้มาเยี่ยมเยือนแคว้นนี้เท่านั้น หาได้มีสิทธิ์อันใดไม่ นอกจากต้องขอราชโองการจากฮ่องเต้หย่งเจิ้ง เพื่อปราบจลาจลในครั้งนี้ก่อนเจ้าจงให้คนประกาศออกไป ว่าตระกูลจ้าวจะปราบโจรผู้ร้ายในครั้งนี้เอง ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่ามีผู้ใดที่ร้อนรนในครั้งนี้กัน” องค์ชายอวิ๋นหลงคิดแผนการอยู่ในใจ เขาต้องสืบอีกต่อไปว่า เป็นองค์ชายหลงเทียนหรือไม่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง“ขอรับองค์ชาย พวกข้าทั้งหมดจะไปปราบปรามพวกชั่วช้านี่เอง เพื่อความผาสุขของทั้งสอง
“คาราวะขอรับใต้เท้าหาน ด้วยความเมตตาของท่าน ข้าน้อยนั้นสบายดียิ่งขอรับ แต่หาได้สบายใจนัก พวกข้าจึงได้ออกหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็ปรากฎว่าได้รับข่าวเดียวกันกับข่าวว่าที่พระชายา นำมาปรึกษาท่านในวันนี้ด้วยขอรับ” บัณฑิตหลิว หันไปทำความเคารพต่อว่าที่พระชายาหานซูหลิน ซึ่งนางก็ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย บุรุษหนุ่มผู้เรียนรู้และประสิทธิประสาทวิชา จากสำนักที่มีชื่อสียง และได้รับการเรียนรู้ขัดเกลาความดีจากใต้เท้าหาน เอ่ยความจริงเรื่องของ เม่ยจือลั่วออกมาอีกมามาย“เสนาบดีกรมการคลังปลอมแปลงเอกสารส่งตัวนักโทษขอรับ โดยอ้างว่านักโทษคนนั้นตายลงด้วยไข้พิษ แท้จริงแล้วเขายังไม่ตาย แค่ดื่มพิษจากดอกไม้เมืองหนาวเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ลมหายใจขาดช่วงชั่วครู่ และแม้แต่หมอหลวงก็ยังตรวจชีพจรผิดพลาด”องค์ชายอวิ๋นหลงครุ่นคิด“เขาทำอย่างนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน ท่านบัณฑิตทราบหรือไม่”“ข้าทราบขอรับท่านองครักษณ์ซ่ง เพราะเหรินเจิ้นผู้นั้นคือพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่น่าเสียดายที่เขาทำความผิดเท่าภูเขา จึงถูกจับกุม และนำตัวมาให้ใต้เท้าหานไต่สวนคดี และได้รับโทษจำคุกเกินครึ่งของอายุขัยตัวเองด้วยซ้ำขอรับ” เมื่อเขาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยิน ควา
องค์ชายอวิ๋นหลงและหานซูหลินไม่รอช้า เพื่อเปิดโปงความชั่วของเม่ยจื่อลั่ว พวกเขาจึงดั้นด้นไปสืบหาต้นตอของรายชื่อที่อยู่ในสุสานของนักโทษ ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากพื้นที่เดิม ผ่านเนินเขาจนสุดถึงชายป่า ดูแล้วช่างลี้ลับนัก เพราะเหล่านักโทษพวกนี้มิได้มีครอบครัวต้อนรับอีกแล้ว การฝังและทำลายจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ พวกที่มิได้รับอนุญาตนำออกไปจากห้องกักขังมีจำนวนมากกว่า แต่นักโทษรายนี้มีคำสั่งเป็นลายเซ็นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นั่นก็คือฮ่องเต้ ร่างของเขาได้ถูกประทานที่ดินฝังกลบไปโดยปริยายหานซูหลินและองค์ชายหลงเทียนปกปิดตัวตนด้วยการแต่งกายมิดชิด ทั้งสองสวมอาภรณ์สีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี เวลาฟ้ามืดทึบเป็นช่วงที่เหมาะสมยิ่ง เข้าสู่ปลายยามชวีแล้ว ผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักทั้งวัน พวกเขาพร้อมเข้าอยู่ในครัวเรือนของตนกันหมด หากจะมีอาคันตุกะในความมืดปรากฎในเวลานี้ เห็นทีคงเป็นภูตผีหรือไม่ก็โจรร้ายแน่แล้ว ช่างเหมือนกับพวกเขาที่แต่งกายเฉกเช่นจอมโจรขโมยสุสานไม่มีผิดไม่นานนักหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ก็เหยียบย่างลงบนพื้นที่ซึ่งมิอยากมีใครต้องการเดินทางมา นอกจากคนตาย ทั้งสองมองหน้ากันเพื่อนับเวลา
“ข้ามิทราบขอรับ รู้เพียงแค่ทั้งโจรและทหารต่างเป็นพวกเดียวกัน และทหารวังก็มิเคยปกป้องราษฎรได้เลย พวกเขาแค่ทำไปตามหน้าที่ เหมือนกับหุ่นฟางไม่มีผิด”“เอาล่ะ ถือว่าข้ารับเรื่องนี้เอาไว้ก็แล้วกัน อย่าห่วงเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้ในไม่ช้า” เมื่อเสร็จสิ้นจากการหาข้อมูลโดยบังเอิญ องค์ชายอวิ๋นหลงจึงควบม้าไปยังจวนตระกูลหานโดยไวแรงจากอาชาว่องไวประหนึ่งสายลมพัด ในไม่ใช้เขาก็มาถึงจวนที่ต้องการ องค์ชายอวิ๋นหลงทรงผูกม้าไว้ข้างจวน ก่อนจะเร้นกายเข้าไปพบหานซูหลินด้านใน เพื่อมิให้ใครสังเกตเขาได้“หลินเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว”เสียงทักทายอันอบอุ่น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ ราวกับว่าหานซูหลินเองกำลังรอคอยองค์ชายอวิ๋นหลงผู้นี้อยู่เช่นกัน“องครักษ์ซ่งซือฟง เจ้าเข้ามาจากทางไหนกันหรือนี่ ช่างน่าแปลกใจนัก เหตุใดเจ้าถึงแอบย่องเข้ามาในจวนข้า”นางรู้สึกตกใจมิใช่น้อย หากเขาเข้าทางประตู แน่นอนว่าต้องมีสาวใช้เข้ามารายงานนางก่อนอยู่แล้ว“เจ้าทำเช่นนี้ข้าขวัญผวานัก นึกว่าเป็นผีบรรพบุรุษเรียกหาเสียอีก ต่อไปเจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้ากลัว”“ดูท่าทางเหมือนเจ้าขนลุกจริง ๆ ด้วย ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วยหลินเอ๋อร์ แต่ข้าจำเป็นต้องทำเช่
องค์ชายอวิ๋นหลงเร่งรีบตั้งใจสืบข่าว เรื่องที่หานซูหลินเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยเหลือ แม้ตนเองจะมิใช่คนในราชวงศ์นี้ก็ตามที แต่เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเขาที่เป็นผู้เจริญสัมพันธไม่ตรีก็มิอาจทนดูอยู่ได้ อีกทั้งหานซูหลิน เป็นสตรีที่เขาชื่นชมหากนางไร้แผ่นดินอยู่ มิหนำซ้ำยังถูกคนร้ายย่ำยีตระกูลดั่งเช่นที่นางเอ่ยมา เขาก็มิอาจทนได้ องค์ชายอวิ๋นหลงจะมิยอมให้ว่าที่พระชายาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้เป็นแน่ หากเขาสามารถช่วยยุติสิ่งเลวร้ายนี้ได้ เขาก็ยินดีทำเพื่อสตรีที่ตนปรารถนาอยู่เนือง ๆองค์ชายอวิ๋นหลงส่งสายสืบเข้าไปในคุกหลวง แต่กลับมิได้รับข่าวคราวอันใดมากไปกว่าเดิม นั่นอาจเป็นเพราะในคุกมีคนของเม่ยจื่อลั่วอยู่มากมายก็เป็นได้“กราบทูลองค์ชายอวิ๋นหลง กระหม่อมได้สืบเสาะเรื่องราวในคุกหลวงแล้วพะยะค่ะ ได้ข่าวมาไม่มากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังไม่พบพิรุธอันใด เกรงว่าหากสืบไปมากกว่านี้ ทางสำนักพระราชวังคงต้องจับตาดูความเป็นอยู่ขององค์ชายมากกว่านี้แน่ กระหม่อมคาดคะเนว่า จะส่งผลร้ายต่อองค์ชายนะพะยะค่ะ ทางแคว้นหลู่ของเราควรรามือเสีย ทรงหาทางอื่นเถอะพะยะค่ะ”องครักษ์คู่ใจกล่าวกับเขาเช่นนั้น ซึ่
ซ่งซือฟงตัดบท ก่อนที่จะขอตัวออกไปตำหนักที่ประทับขององค์ชายแห่งแคว้นหลู่ เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้จงได้ ไม่แน่ว่าการศึกที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาจเป็นแคว้นหลู่ของเขาก็ได้บุรุษหนุ่มแห่งแคว้นหลู่เดินทางออกมายังด้านนอก ถึงแม้เขามิได้เป็นคนในราชวงศ์นี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้หย่งเจิ้งและองค์ชายหลงเทียน มิได้ทรงเดือดร้อนพระทัยกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสองเดือนนี้เลย ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาในบริเวณตัวเมือง ซึ่งมีผู้คนอยู่ล้นหลาม เขาสังเกตุได้ว่า หลายคนมีใบหน้าเศร้าสร้อย การซื้อขายหาได้คึกคัก ประชาชนเหมือนตกอยู่ในความโศกเศร้ามากกว่าความสดชื่น และหนึ่งในคนค้าขายก็เข้ามาไต่ถามเขาให้ช่วยซื้อสินค้าบางอย่าง“ใต้เท้าขอรับ โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถอะ ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง ช่วยอุดหนุนสินค้าของข้าบ้างจะได้หรือไม่ นี่เป็นอาหารแห้งที่ข้านำมาขาย แต่หาได้มีผู้ใดมีเงินสักครึ่งตำลึงมาซื้อหาเลย นายท่านขอรับ ได้โปรดช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวที่ยากจนของข้าน้อยด้วยเถอะ” พ่อค้าทำท่าเคารพเขา เพราะอยากขายสินค้าได้ และกลับบ้านไปหาครอบครัว“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เจ้าช่วยบอกข้าสักนิดได้หรือไม่” ซ่งซือฟงไต่ถามควา
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน
ปีรัชศกยี่เฉิง ปีที่สองร้อยอาณาจักรฉางอันที่รุ่งเรืองและเกรียงไกร ปกครองโดยราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถและยังรวมผู้คนในแผ่นดินให้กลมเกลียว รักใคร่สมานฉันท์ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อแคว้นข้างเคียง ดั่งเช่นในวันนี้ที่พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองเหล่าองค์ชายจากต่างแดนขึ้นความสำราญขนาดมโหฬาร กำลังเผยอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง และขณะเดียวกันองค์ฮ่องเต้เองก็ทรงให้หลิวกงกงประกาศราชโองการ“ในนามแห่งผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในความต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นต่างแดน จึงได้เชิญองค์ชายรัชทายาทของแคว้นหลู่ เข้ามาร่วมเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ขอให้ทุกคนสำราญในงานเลี้ยงครั้งนี้”สิ้นเสียงประกาศจากหลิวกงกงในพิธี ทุกคนต่างนั่งลงในที่ของตนเอง ทุกคนล้วนอยู่ในห้องที่โอ่โถง และมีบริเวณที่กว้างขวาง ซึ่งฮ่องเต้ได้ทรงโปรดให้จัดสถานที่กึ่งธรรมชาติ พร้อมนำอาหารและสุรามากมาย มาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแต่เวลานี้ยังมีสตรีผู้หนึ่งซึ่งจิตใจร้าวรานนัก เป็นเพราะนางถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีตระกูลตนเอง จนต้องหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังมิวายที่จ...
Comments