“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านกลับมาจากราชการอันเหน็ดเหนื่อย ได้โปรดเชิญนั่งก่อน ข้าจะเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติให้ท่านพี่นะเจ้าคะ”
ฮูหยิน หรงซื่อเหม่ย เดินเข้ามาหาสามีซึ่งเป็นเสนาบดีกรมการยุติธรรม เขาได้ว่าความที่ศาลแห่งเมืองต้าเซิ่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปสักประมาณสิบลี้เห็นจะได้ หานเจียจิ้ง เป็นสามีที่ทรงความยุติธรรมที่สุดแล้วในแผ่นดินฉางอันแห่งนี้ ในทุกครั้งที่มีงานสำเร็จราชการ เพื่อว่าความในคดีต่าง ๆ เขาจะเดินทางไปยังเมืองต้าเซิ่นเพื่อทำงานอันยุติธรรม ตัดสินคดีทุกอย่างในแผ่นดินแห่งนี้ แม้จะมีศาลอีกสองสามที่ก็ตามที แต่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และเที่ยงธรรมที่สุด เห็นทีจะมิได้พ้นศาลแห่งนี้
“ช่วยเอาหนังสือพวกนี้ไปเก็บที หลิวเยี่ย วันนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
ชายวัยกลางคนบอกกับบันฑิตหลิว ซึ่งตอนนี้เป็นคนสนิทของเขา ขอแรงให้ช่วยนำเอกสารสำคัญไปเก็บไว้ภายในห้องหนังสือ ซึ่งมันคือห้องทำงานของเขาด้วยเช่นกัน
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ การว่าความที่มีเรื่องราวให้ปวดหัวแทบทุกวันเช่นนี้ ข้าเกรงว่าท่านพี่จะทำไม่ไหวในสักวันหนึ่งเจ้าคะ”
ฮูหยินหรงซื่อเหม่ย ห่วงใยในตัวของสามี นางเป็นสตรีที่ดี มีความรักสามีเสียจนหาหญิงใดในแผ่นดินนี้ก็มิได้แล้ว ทุกครั้งที่เจ้ากรมการยุติธรรมกลับถึงจวน นางก็รีบนำผ้าประคบเย็น และเตรียมน้ำอุ่นในอ่าง ให้เขาได้ลงไปแช่กาย และพักผ่อนใจ เพื่อคลายความวิตกในเรื่องการรับราขการในแผ่นดิน ที่ร้อนระอุอยู่ทุกวันเวลาเช่นนี้เสมอ หากมิได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้หย่งเจิ้นแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงสหาย ที่ร่ำเรียนในสถานที่เดียวกันเท่านั้น
สามีของนางคือพระสหายคนสนิทขององค์รัชทายาท ถังหย่งเจิ้น ในครั้งที่พระองค์ยังเป็นองค์ไท่จื่อในคราวนั้น แต่เมื่อได้รับราชาภิเษก ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นฮ่องเต้ และปกครองบ้านเมืองสืบไป จึงทำให้สามีของนางต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือแผ่นดิน โดยการทาบทามตระกูลหานจากฮ่องเต้ผู้นี้ ให้มาทำงานในส่วนราชสำนัก ด้วยเหตุผลที่ว่า พวกเขาจะไม่ทรยศหักหลังซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเคยได้ดื่มน้ำร่วมสาบาน เพื่อเป็นพี่น้องในทางคุณธรรมกันอีกด้วย
“ตระกูลหานของเราคือผู้พิทักษ์คุณธรรมต่อแผ่นดิน อีกทั้งได้รับความไว้วางใจจากองค์ฮ่องเต้อีกด้วย แม้นว่าข้านั้นจะทำงานเหน็ดเหนี่อยสักปานใด ก็มีได้หวั่นเกรงต่อเรื่องนี้เลย ฮูหยินเจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเสีย เจ้ามีหน้าที่ดูแลจวนและบุตรสาวเพียงคนเดียวของเราให้ดี ซึ่งในไม่ช้าไม่นาน นางจะต้องเข้าไปเป็นพระชายาขององค์ชายหลงเทียนเป็นแน่แท้ เรื่องนี้เจ้าก็ทราบดีใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติต่อตระกูลหานของเรายิ่งนัก ทรงเอ็นดูหลินเอ๋อร์ ก็นับว่าเป็นบุญของลูกเรา ที่ฮ่องเต้ทรงสนับสนุนลูกสาวของฝ่ายเสนาบดีอย่างท่าน” นางรินชาใส่ในจอกของสามี ก่อนจะยิ้มแย้มเมื่อสนทนาถึงเรื่องนี้
“อีกทั้งยังให้ตำแหน่งที่ดีเลิศ พระองค์ทรงมอบหมายไว้ให้แก่หานซูหลิน ซึ่งเป็นบุตรสาวของเรามาตั้งแต่อยู่ในครรภ์อีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหรงซื่อเหม่ย กล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย นางไม่นึกมาก่อนว่าจะได้รับพระราชกรุณาเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงหมั้นหมายบุตรสาวของตน ให้แต่งงานกับองค์ชายรัชทายาท ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยแบเบาะ เมื่อนางคลอดออกมาก็ได้เด็กที่น่ารักน่าชังสมใจ ในครั้งนั้นองค์ชายหลงเทียนมีพระชนม์มายุได้สี่ปี เขาเองก็ชอบใจในความสดใสของหานซูหลินเช่นกัน ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนเล่นในรั้วราชวัง จนกระทั่งองค์ชายหลงเทียนทราบว่าเขามีพระคู่หมั้น คือหานซูหลินคนนี้ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อถึงวัยปักปิ่น ทั้งสองจึงต้องสำรวมยิ่งขึ้น เพราะว่าที่พระชายาจะต้องฝึกหัดเรื่องธรรมเนียมต่าง ๆ ในวัง รวมถึงพระราชประเพณี ที่ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันก่อนอภิเษกสมรสอีกด้วย
นั่นคือส่วนฝ่ายหญิง ที่ต้องห่างหายจากฝ่ายบุรุษ แต่นั่นมิได้หมายถึงบุรุษจะห่างจากกายของสตรีทุกคน ยังคงมีตำหนักที่รวบรวมเหล่าสนมและนางกำนัลอยู่อย่างเนืองแน่น ซึ่งตระกูลหาน และว่าที่พระชายาอย่างหานซูหลิน มิเคยได้รับรู้มาก่อน
“องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเรื่องความมั่นคงในพระราชวัง ช่วงเวลานี้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น อีกทั้งยังมีเรื่องที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอีกด้วย ข้าได้ยินว่าตามชายแดนมีการซ่องสุมโจรร้าย ไว้คอยดักปล้นชิงทรัพย์พ่อค้าจากต่างแคว้นกันมากยิ่งขึ้น ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยฮูหยิน กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวร้าย ๆ ขึ้นในเร็ววันนี้”
หานเจียจิ้งทราบข่าวมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับกองกำลังของเหล่าโจรติดอาวุธ ซึ่งเขาเองก็มิได้นิ่งนอนใจ ส่งสายสืบเพื่อไปล้วงความลับในรังโจร แต่ผลสุดท้ายกลับมิได้รับข่าวอันใดกลับมา ไม่รู้ได้แน่ชัดว่าสายสืบคนนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ เจ้ากรมยุติธรรมถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนที่หันมาถามไถ่บุตรสาวของตน
“แล้วนี่หานซูหลินอยู่ที่ใดกัน นางไม่รู้หรืออย่างไรว่าวันนี้บิดาของตนได้กลับมายังจวนแล้ว”
“ท่านพี่เจ้าคะ เมื่อคืนสาวใช้บอกว่านางมีไข้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นหรือยัง อีกอย่างหนึ่งนางเอาแต่ละเมอ และกรีดร้องในยามราตรี ข้าเป็นห่วงลูกสาวของเรามากเหลือเกิน ปกตินางก็ร่าเริงสดใสดี ยังคงชื่นชมดอกไม้งามตามประสาเด็กสาวแรกรุ่นอยู่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินบอกแก่สามี ทำให้เขาต้องรีบลุกจากเก้าอี้ตัวโปรด เพื่อเข้าไปดูบุตรสาวในหอนอน“ไหนข้าขอเข้าไปดูหานซูหลินหน่อย นางต้องได้รับการปลอบใจจากฝันที่ร้ายกาจนั่น เจ้าหลีกไปเสียสาวใช้!”“เจ้าค่ะนายท่าน คุณหนูฟื้นแล้ว นางอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานเจ้าของจวน ก่อนที่จะขยับตัวออกมาจากหน้าประตูหอนอนของหานซูหลิน“ซูหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ เห็นแม่เจ้าบอกว่าลูกของพ่อไม่สบายเช่นนั้นหรือ” เขาก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะพบว่าลูกสาวของตนนั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่ก่อนแล้ว“ท่านพ่อ!! ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับท่านอีก! ฮือ ๆ”เมื่อเห็นบิดาของตนเดินเข้ามา นางก็เข้าไปสวมกอด และร้องให้ปริ่มจะขาดใจ นางได้กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่จ้าวแห่งความมืดได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ น้ำตาของหญิงสาวยังคงไหลอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง“ข้านึกว่าจะมิได้พบพานท่านพ่อกับท่านแม่อีกแล้ว ขอบคุณสวรรค์จริง
“เอาละ เพื่อความสบายใจของฮูหยิน ข้าจะรับฟังเจ้าก็แล้วกันหลินเอ๋อร์ ไหนว่ามาสิ”บิดานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว ในเวลานี้หานซูหลินแต่งตัวเสร็จแล้ว นางนุ่งห่มอาภรณ์ด้วยสีขาวมุก ประดับปิ่นปักผมพร้อมกับเครื่องทองและทับทิมบนศีรษะ แต่งแต้มลวดลายระหว่างหน้าผาก เป็นรูปดอกบัวสีชาดสามกลีบ ก่อนจะเข้าพบบิดาในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา“ท่านพ่อ หากข้ากล่าวอ้างถึงความฝัน ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ ได้โปรดบอกข้ามาก่อน มิเช่นนั้นข้าอาจเป็นบุตรที่ท่านคิดว่าเพ้อเจ้อ แต่ข้ามิอยากให้ท่านคิดเป็นแบบอื่นเจ้าค่ะ”นางถูกบิดาเชิญให้นั่งลงก่อน ครานี้บุตรสาวของตนมีท่าทางแปลกไปกว่าเดิม หานซูหลินคนก่อนมิได้ห้าวหาญเช่นนี้ นางมีความอ่อนหวาน และอ่อนโยนดั่งเช่นสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี เพื่อเข้ารับตำแหน่งพระชายาขององค์ไท่จื่อ นี่นางแปลกไปเพราะเหตุอันใดกัน…“ไหนเจ้าลองว่ามา ข้าจะเป็นคนบอกเองว่าเจ้าฟั่นเฟือนหรือไม่”“ท่านพ่อ! หากท่านสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีเสนาบดีฝ่ายค้านอยู่หลายคนทีเดียว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นปฎิปักษ์กับท่านใช่หรือไม่”“จ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าไปสืบเรื่องราวในวังมาหรือไร ช่างเก่งเกินสตรีไปแล้วหานซูหลิน”หานเจ
“เจ้าดูนี่สิ! ข้าได้รับคำเชิญ เพื่อให้เข้าร่วมงานในราชวัง ตามที่ฮ่องเต้ส่งมา ตระกูลหานของเราต้องเข้าร่วมในครั้งนี้ และเจ้าจะต้องเตรียมตัวเอาไว้หลินเอ๋อร์ เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญในงานนี้ด้วยเช่นกัน หานซูหลิน ผู้เป็นว่าที่พระชายา ในองค์ชายรัชทายาทหลงเทียน วันนี้จงบอกกล่าวมารดาของเจ้า ให้ตระเตรียมชุดที่สวยงาม พร้อมทั้งของขวัญชิ้นใหญ่ เพื่อส่งมอบให้องค์ชายแคว้นหลู่ ด้วย” หานเจียจิ้งออกคำสั่งแก่บุตรสาว นางยังมิได้รู้เลยว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการซ้ำรอยในตอนที่ได้รับยาพิษหรือไม่“งานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายต่างแคว้นหรือเจ้าคะท่านพ่อ” นางถามออกมาด้วยความสงสัย“ใช่แล้วล่ะ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพยัคฆ์ขาว แห่งแคว้นทางเหนือ ทรงเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองฉางอันของเรา เนื่องจากว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่สุดในแผนที่ และมีเหล่าไพร่พลทหาร รวมทั้งแม่ทัพที่เก่งกาจอยู่มากมายนัก แคว้นหลู่จึงมิอาจต่อการได้ จึงคิดหาหนทางเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดี ให้เกิดขึ้นแก่แคว้นตนเอง นับว่าฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นมีความฉลาดปราญเปรื่องยิ่งนัก”“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะให้บิดา“อีกสองวันงานจะเกิดขึ้น เจ้
“เจ้างดงามจริง ๆ ข้ามิได้ชื่นชมเจ้าด้วยวาจาโป้ปดเสียหน่อยหลินเอ๋อร์ อันที่จริงข้าอยากไปรับเจ้าด้วยตัวเอง แต่เพราะข้าต้องช่วยงานเสด็จพ่อ จึงต้องอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ใจข้านั้นคิดถึงเจ้ามากมายนัก”เขากล่าวคำหวานออกมาไม่ขาดสาย ทำให้หานซูหลินใจเต้นแรง แม้นางจะเคยเห็นว่าเขาหักหลังตนเองมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ใจของนางมิได้คิดเคืองแค้นอันใด เพราะสิ่งที่เขาทำไปในเวลานั้น นางรู้ดีว่าชายคนนี้ต้องถูกบังคับเป็นแน่หากใจนางมืดบอด ก็คงมิให้อภัยบุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างนางได้“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกันกับพระองค์ แต่ในเวลานี้นับว่าไม่เหมาะสม สำหรับการเรียกร้องความรักที่องค์ชายทรงมีให้แก่หม่อมฉันเพคะ ทรงสดับรับฟังพระราชโองการจากฮ่องเต้ ด้วยความตั้งใจเถอะเพคะ”หานซูหลินปรามความปรารถนาในจิตใจของบุรุษข้างกาย นางทราบดีว่าเขาตื่นเต้นเพียงใดที่พบเจอตน แม้ว่านางเห็นเช่นนั้นก็ตามที แต่หญิงสาวก็เก็บอาการเอาไว้เช่นกัน นางเองก็รู้สึกดีไม่น้อยไปกว่าเขาฮ่องเต้ หย่งเจิ้ง ทรงทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารมากมาย รายล้อมอยู่เต็มทั้งในตำหนัก และท้องพระโรง พวกเขาต่างยิ้มชื่นให้กับการฉลองในวาระนี้ แค่เพียงเท่านี้พระ
“ระวัง!! มีนักฆ่าบุกโจมตี!!”เสียงหัวหน้าองครักษ์ประกาศเตือนทุกคนให้ระวังตัว พร้อมกับกันเส้นทางให้ทุกคนหลบหนีและป้องกันตัวเอง“ทหารทั้งหมดคุ้มครองฝ่าบาท! คุ้มกันฮองเฮา ทหารคุ้มครององค์รัชทายาทหลงเทียน!!” สิ้นเสียงขององครักษ์ฝ่ายฉางอัน ทหารทั้งหมดต่างดาหน้ากันเข้ามาปกป้องพระองค์ส่วนหนึ่ง และอีกนับสิบนั้นต่างนำกำลังเพื่อป้องกันส่วนพระองค์พาฮ่องเต้และองค์รัชทายาทหลบหนี รวมทั้งเหล่านางกำนัลและข้าราชบริพารต่างก็ติดตามทหารเหล่านั้นไปด้วย เพราะกลัวเกรงการบาดเจ็บและล้มตายของตน“เร็วเข้าเถอะรีบไปกันเร็วเข้า ฝ่าบาทพะยะค่ะ ทรงรีบเสด็จเถอะ ตามกระหม่อมมาพะยะค่ะ!” หลิวกงกง รีบเตือนฮ่องเต้และฮองเฮา ส่วนตัวเองนั้นก็ไม่สนสิ่งใด แม้แต่หานซูหลินที่เป็นว่าที่พระชายา ก็มิได้ถูกยื้อยุดตามไปด้วย“หลินเอ๋อร์!! รีบตามข้ามาเร็วเข้า!!”ชายหนุ่มรัชทายาทเพียงคนเดียว รีบตะโกนบอกคู่หมั้น ที่ตอนนี้นางกำลังสาวเท้าติดตามไป แต่ก็มิทันได้ทำอย่างที่ใจคิด นางล้มลงก่อน และได้รับบาดเจ็บเพราะสะดุดข้อเท้า นิ้วมือเรียวแหวกอากาศไปข้างหน้า หวังจะให้มีผู้ใดช่วยเหลือ แต่องค์รัชทายาทหลงเทียน กลับหายลับไปจากสายตาของนางแล้ว“องค์ชาย
เสียงคมดาบเฉือนอาภรณ์สีทองสุกปลั่งขององค์ชาย มันบาดลึกเข้าไปเฉือดเนื้อของเขาเป็นรอยแผลกว้าง แต่ยังมิทันที่นักฆ่าจะเข้าประชิดถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็ควงกระบี่ลอยตัวขึ้นเหนืออากาศ บิดร่างพลิ้วไหว ก่อนจะจ้วงแทงไปยังร่างของนักฆ่าผู้เคราะห์ร้าย เขาบิดคมปลายกระบี่ถึงสองครั้ง ก่อนจะดึงมันกลับมา“องค์ชาย ทรงบาดเจ็บนี่พะยะค่ะ” องครักษ์เข้ามาดูบาดแผล แต่เขามิได้แสดงความเจ็บปวดอันใด“พวกเจ้าต้านมันเอาไว้ก่อน ข้าจะนำแม่นางว่าที่พระชายาหนีออกไป ตอนนี้ข้ากับเจ้ามาสับเปลี่ยนเสื้อคลุมกันก่อน!”เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น องค์รักษ์ประจำตัวจึงทำหน้าที่ของตน เปลี่ยนอาภรณ์ชิ้นนอกกับองค์ชาย อวิ๋นหลงทันที “พะยะค่ะองค์ชาย กระหม่อมจะทำตามพระบัญชา”เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา เขาจึงมุ่งไปตรงบริเวณที่หานซูหลินกำลังหลบภัย“แม่นาง เจ้าออกมาได้แล้ว”“พวกเจ้ายังฆ่าฟันกันอยู่เลย หากข้าออกไปก็ตายน่ะสิ”นางเห็นว่าตรงนี้ไม่ปลอดภัยก็จริง แต่ด้านนอกก็ไม่น่าดูอยู่ดี“พวกเราต้องหนีกันก่อน ตอนนี้องครักษ์ได้พาองค์ชายหลบหนีไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่จะมิปลอดภัยหรอกนะ โปรดบอกข้ามา มีที่ใดพอจะหลบซ่อนได้บ้าง” เขาเอ่ยถามนางหน้าน
“ก็ได้ ถ้าเจ้าไหวก็ไม่เป็นไร เจ้าขี่ม้าไปส่งข้าที่ทางเข้าจวนก็ได้ ข้าไปต่อเองส่วนเจ้าก็เข้าวังแล้วไปหาหมอซะ”หานซูหลินให้เขาไปส่งไม่ไกลจากจวน หลังจากนั้นนางจึงหาทางเข้าวังอีกที ก่อนที่บิดากับมารดาจะมาเจอกับนาง และกักขังตัวมิให้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะในตอนนี้คาดว่าสถานการณ์คงจะรุนแรงมิใช่น้อยนางเดินทางเข้าไปในตำหนักขององค์ชายแคว้นหลู่ ก่อนจะบอกทหารว่าขอพบองครักษ์ซือฟง ไม่นานเขาก็ออกมา“ซือฟง องค์ชายปลอดภัยดีหรือไม่ แล้วเจ้าได้เข้าพบหมอหลวงหรือยัง”“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้าและองค์ชายอวิ๋นหลง แต่ตอนนี้วางใจได้ ทั้งข้าและเขาปลอดภัยดี ตอนนี้ทรงพักผ่อนอยู่”“แล้วเจ้าได้รับโทษหรือไม่ เมื่อคืนเหตุการณ์มันชุลมุนมาก ข้าหวังว่าองค์ชายจะทรงประทานอภัยให้เจ้านะซือฟง เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อยเลย” นางแสดงความกังวลอยู่ภายในแววตา เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงยิ้มได้ ความจริงใจของนางฉายชัดในแววตา“ข้าไม่เป็นไร การได้ปกป้องราชวงศ์เป็นหน้าที่ขององครักษ์เช่นข้าอยู่แล้ว แม้ตัวจะตายแต่ยังคงมีชื่อให้ลูกหลานได้ชื่นชม ส่วนเรื่องทรงทำโทษข้าหรือไม่ อันนี้ค่อยว่ากันอีกที ถึงจะถูกลงโทษก็มิได้ถึงตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย
หญิงสาวกวาดตามองใบหน้าของชายผู้เป็นโอรสสวรรค์ของแผ่นดินฉางอัน เป็นวาสนาของตระกูลหานจริงๆ ที่จะได้นั่งเคียงคู่บัลลังก์ของแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ พร้อมกับบุรุษตรงหน้าที่นางปรารถนา“พระองค์มีเรื่องอันใด ที่จะไต่ถามหม่อมฉันหรือเพคะ ทรงเอ่ยออกมาได้เลยเพคะ”เขาเองก็จดจ้องนางมิวางตาเช่นกัน หานซูหลินเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม ถูกอบรมบ่มนิสัยของกุลสตรีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยังเยาว์วัย อีกทั้งดวงหน้าของนางยังงดงาม และหาสตรีแห่งใดเปรียบมิได้ ดวงตากลมโตดำขลับช่างน่าเย้ายวน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเผยถึงความปรารถนาในตัวของเขา จนคำพูดที่นางเอ่ยออกมาทำให้บุรุษหนุ่มถึงกับตกอยู่ในภวังค์ความฝันชั่วครู่“อะ…เอ่อ ใช่แล้วข้ามีเรื่องจะถามเจ้า ข้าไปหาเจ้าที่จวนในตอนเช้าด้วยความห่วงใย แต่เจ้ากลับไม่ได้อยู่ที่นั่น บิดาเจ้าเองก็พบข้า อีกทั้งยังบอกว่าเขาก็มิได้เห็นเจ้าตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ทั้งจวนต่างกังวลเรื่องเจ้ามากนะหลินเอ๋อร์ หากเจ้ามิได้อยู่ที่จวนเมื่อราตรีก่อน แล้วเจ้าหลบนักฆ่าไปได้อย่างไร เจ้าอยู่ที่ไหนกัน หรือว่ามีใครบังอาจลักพาตัวเจ้ากันแน่!”เขาลงท้ายคำพูดดูหนักหน่วงนัก คล้ายกับว่าคิดจะจับผิดคู่หมั้นของตน การห
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน
“เรื่องอันใด ข้าคงตอบเจ้าได้หากเกิดคำถามขึ้นมาแล้ว”“เจ้าทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เรื่องที่ต่อไปจะเกิดการกบฎขึ้น ข้ารู้สึกสงสัย เพราะก่อนหน้าที่จะมีการซ่องสุมโจรผู้ร้าย เจ้าก็เคยบอกข้าว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วก็เป็นจริง ครานี้เจ้าบอกข้าว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง เจ้าก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครอยู่เนือง ๆ อีกทั้งยังบอกกล่าวบิดาให้ซ่อนตัวเพื่อพ้นภัยอันตรายอีกด้วย หรือว่าเจ้ามี…”เขาชะงักคำพูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดสิ่งใดออกมา“ข้ามีลางสังหรณ์น่ะ เจ้าจะบอกเช่นนี้หรือไม่ซือฟง”“ใช่แล้วหลินเอ๋อร์ ข้าเพียงแต่นึกคำนั้นไม่ออก เจ้ามีความพิเศษนี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิได้สงสัยอันใดแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า ความพิเศษของสตรีนั้นมีคำเล่าขานมาอย่างยาวนาน หากว่าสตรีใดที่มีลางบอกเหตุ ก็จงเชื่อฟังนาง โดยเฉพาะหากเป็นคนที่รักแล้วยิ่งต้องเชื่อ โดยมิต้องมีคำโต้แย้ง มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”“นี่เจ้าจะบอกอะไรข้า เจ้านี่นะช่างเล่นคำเสียเหลือเกิน” บางทีนางอยากจะแกล้งโง่บ้าง เมื่อเขาพูดจาทำให้นางมีริ้วแก้มแดงเพราะเลือดฝาด “ข้าจะออกไปก่อน เชิญเจ้าคิดอะไรต่อไปให้พอเถอะ!”“เดี๋ยวก่อนสิหลินเอ๋อร์ เจ้
องค์ชายอวิ๋นหลงรีบควบม้าศึกประจำตัว ห้อตะบึงลู่ลมมายังสถานที่นัดพบของพวกเขาทั้งสองคน หวังว่าหานซูหลินยังคงรอคอยเขาอยู่ที่เดิม ความจริงที่ว่าเขาคิดถึงนางยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นคือเรื่องที่มิอาจเสแสร้งได้เลยองค์ชายอวิ๋นหลงผูกม้าเอาไว้หน้าถ้ำน้ำตก เขาเร้นกายเข้าไปสู่จุดหมายด้านในอย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่ลึกเข้าไปนับลมหายใจได้แทบพันครั้ง เขาก็พบเจอกับหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนธิดาสวรรค์บนพื้นแผ่นดิน กำลังนั่งรอเขาอยู่ กลางสวนดอกไม้และทุ่งหญ้าเรืองแสงเปล่งประกาย ภายใต้ความมืดทึบ ที่ตรงนี้ช่างสว่างไสวยิ่งนัก ซึ่งเขามิเคยรู้มาก่อนสักนิด จนกระทั่งหานซูหลินนำทางเขามาในวันนี้ นางบอกในจดหมายว่าให้เขาเดินเข้ามายังจุดที่ลึกสุดภายในถ้ำ ก็จะพบเจอกับนางที่รอคอยตรงใจกลางถ้ำน้ำพุ“ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีจุดนัดพบเช่นนี้เกิดขึ้นในปฐพี ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองถ้ำลึกลับแห่งนี้“เจ้ามาก็ดีแล้วซือฟง ข้ามิเคยนำพาผู้ใดมายังที่แห่งนี้เลยสักครั้ง มีเพียงเจ้าคนเดียว ที่ได้พบและเห็นมัน เจ้าชอบหรือไม่”หญิงสาวเอ่ยถามเขา พร้อมทั้งเดินออกมายังบริเวณลานกว้าง“ช่างน่าแปลกใจอย่างที
น่าแปลกใจที่วันถัดมา องค์ชายหลงเทียนทรงแวะมาเยี่ยมเยียนองค์ชายอวิ๋นหลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสหายกัน แต่ทุกอย่างมิได้รู้สึกไว้ใจกันเสียทีเดียว มันเป็นการเจริญสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรัชทายาท ที่ยังต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันต่อไป“ขอประทานอภัยด้วยองค์ชายอวิ๋นหลง ที่ข้ามิได้เข้ามาสนทนากับท่านนานแล้ว ครั้งท้ายสุด เห็นทีว่าจะเป็นวันแรกที่ท่านจากบ้านเมืองมาใช่หรือไม่”องค์ชายหลงเทียนทรงไต่ถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาหวังว่าองค์ชายแห่งแคว้นหลู่ก็คงตอบรับไมตรีนี้เช่นกัน“เป็นดั่งเช่นท่านกล่าวมานั่นแหละองค์ชาย ข้าเป็นอาคันตุกะต่างเมือง เวลานี้ยังมิได้ไปเที่ยวชมที่ใดมากนัก เกรงว่าจังหวะและเวลาคงมิได้อำนวยเสียทีเดียว ในเมื่อบ้านเมืองของท่านระส่ำระสายถึงเพียงนี้ ข้าก็คงต้องอยู่ในตำหนักตามเดิม”องค์ชายอวิ๋นหลงทรงพักจิบชาที่ทำจากเปลือกไม้หอม กลิ่นที่ส่งมาช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก เขาผายมือให้อีกฝ่ายลองลิ้มรสที่น่าอัศจรรย์นี้“ชารสดีจากแคว้นหลู่ ใบชาชั้นดีผสมกับเปลือกอบเชย เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเชียวนะ ข้าอยากให้ท่านลิ้มลองสักครั้ง ได้โปรดให้เกียรติข้าด้วยองค์ชายหลงเทียน”“เยี่ยมมากองค์ชาย ถ้าเช่นนั้นข้า
หานฮูหยินยกเรื่องราวอันน่าสะเทือนขวัญมาตักเตือนบุตรสาว “เดินทางช่วงนี้มีแต่เสียเปรียบนะลูกรัก ถึงเจ้าจะมิได้กลัว แต่แม่นั้นหวั่นในใจยิ่ง เราหาทางส่งข่าวสารให้พ่อเจ้ามิได้หรือ นกพิราบสื่อสารนั่นอย่างไร ข้าเห็นจวนของนายท่านกรมการยุทธโธปกรณ์ ก็ส่งสารกันโดยใช้วิธีนั้นอยู่บ้าง”“ท่านแม่เจ้าคะ อย่าได้ห่วงข้าเลย”หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือของมารดาเพื่อปลอบใจ “ข้าทราบดีว่าท่านเป็นห่วง แต่หากว่าเราอยู่เฉยเช่นนี้ หามีเรื่องที่ดีแน่ ท่านแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกเคยบอกว่าอย่างไร เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว หากตระกูลหานของเราไม่ทันระวังตนเอง ชื่อเสียงก็จะหมดสิ้นไปนะเจ้าคะ อีกอย่างการสื่อสารด้วยนกพิราบตามอย่างจวนอื่น ก็มิได้มีการปรึกษาใด ๆ ข้าไปด้วยตัวเองจะดีกว่ามากเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย” นางปลอบใจมารดา“แล้วนี่เจ้าจะเดินทางไปตามลำพังเช่นนั้นหรือ เห้อ! ข้ารู้สึกกลุ้มใจเสียจริง ไม่เอาแล้ว ๆ แม่ไม่ให้เจ้าไปหรอกนะหลินเอ๋อร์” ทว่ามารดายังทำใจมิได้ เพราะเกรงกลัวโจรร้ายตามทางจะพรากชีวิตบุตรสาวของนางไปชั่วกาล เวลานี้หานฮูหยินน้ำตารื้นขึ้นมาปรกตา“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้เดินทางไปแต่เพียงผู้เดียวหรอกเจ้าค่ะ ข้ายั
“หาใช่ที่ใดก็มียาพิษไม่ ข้าจะแสดงให้ดูว่ายาพิษกัดกร่อนกระดูกมันเป็นเช่นไร เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี”เขานำเข็มเงินหนึ่งเล่มออกมาชี้ตรงหน้า ก่อนจะรินน้ำชานั่นใส่ในจอกสีขาว แล้วนำเข็มเงินวาววับจุ่มลงไปครึ่งเล่ม เพียงแค่พริบตาเดียวเข็มที่เปล่งประกายกลับเปลี่ยนเป็นสีดำที่เศร้าหมอง เหมือนชีวิตที่ดับแสงเทียน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นผุยผงไปจนสิ้น เข็มเงินเล่มนั้นแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนมันจะปลิวไปตามลมที่พัดพาทุกสิ่งไปในห้วงอันธกาล“เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าพิษนี้มันช่างร้ายแรงยิ่งนัก ข้าจะให้ทหารมาทำความสะอาดพื้นที่แห่งนี้เสีย และห้ามผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด ส่วนเจ้าก็อยู่แต่ในส่วนของจวนเถอะ อย่าได้ออกมาข้างนอกเลย เวลานี้ช่างอันตรายเจ้าต้องเชื่อข้า” ซ่งซือฟงสบตาของนางเขม็ง เขาถือวิสาสะจับท่อนแขนสองข้างของนาง“รับปากข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าขอร้อง ตอนนี้แม้แต่ในราชวังยังวุ่นวายนัก ถนนหนทางต่างเหมือนแดนสนธยา มีคนตายเกิดขึ้นมากมาย เจ้ามิควรต้องออกไปไหน”“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีการนองเลือดที่ไหนบ้าง ในแคว้นหลู่อยู่ไปก็มิได้ปลอดภัย ครั้นเดินทางมาที่ฉางอัน ราชวงศ์ของเจ้าก็ยังมิปลอดภัยอีกหรือ” หานซู
เสียงของแข็งกระทบเข้ากับร่างกายของคน จนเกิดเสียงที่ไม่น่าฟัง นางเขวี้ยงสิ่งนั้นออกไป ก่อนที่คนร้ายจะทันบุกเข้าหาองครักษ์จากแคว้นหลู่ ทำให้มันล้มตึงลงกลางอากาศ จนกระทั่งซือฟงดึงมีดสั้นออกมาจากข้างตัว และปาใส่จนคนร้ายหญิงได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ หานซูหลินเข้ามาหาเขาและมองท่อนแขนที่เต็มไปด้วยโลหิตสีชาด มันซึมออกมาจากบาดแผล แม้เขาจะมีปลอกแขนอยู่แล้วก็ตาม“เจ้าเป็นอะไรไหมองครักษ์ เจ้าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” หานซูหลินประคองชายหนุ่มลงไปนั่งยังม้าหิน เขาหอบหายใจแรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบกับใบหน้างดงามของนาง“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร บาดแผลเพียงเท่านี้ มิอาจทำอันตรายข้าได้หรอกพระชายา” แม้จะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เลือดก็มิได้หยุดไหลลงสักนิด หานซูหลินพอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้าง หญิงสาวนำผ้าขาวบางซึ่งกรองตัวแป้งทำขนมออกมาดึง ให้มีด้านความยาวเพิ่มขึ้น ความกว้างนั้นเท่ากลางฝ่ามือ ก่อนจะดึงทึ้งมันเป็นสี่ส่วน“ข้าจะใช้ผ้านี้กดบาดแผลให้เจ้าก่อน พอเลือดหยุดไหลข้าจะนำยามาป้ายให้เจ้าอีกที เพื่อลดความเจ็บปวดของบาดแผลที่โดนเมื่อครู่ หวังว่าเจ้าจะทนได้นะท่านองครักษ์” หานซูหลินก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ชายหนุ่มอย่
หญิงสาวเอ่ยขออภัยต่อเขา ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด หานซูหลินเขินอาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้พิทักษ์องค์ชายแคว้นหลู่ ซึ่งเขาเองก็มีท่าทีมิได้ต่างกับนางเลย เขาเองก็ใบหูแดงไม่แพ้กัน“นี่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องให้ข้าอย่างไรล่ะ จน เกือบทำขนมอันล้ำค่าเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะผละออกจากนาง ซึ่งหานซูหลินเองยังมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี“ช่างเถอะ! ถือว่าข้ามิได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ ส่วนเจ้าก็ออกไปห่าง ๆ ข้าก็แล้วกัน” นางพูดจาแง่งอนใส่ พร้อมกับรับถาดขนมกลับมาวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม องครักษ์หนุ่มมิได้เข้าใจท่าทางของสตรีนัก เขายังคงจับตาดูสาวใช้คนใหม่อยู่อย่างมิวางตาแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่หานซูหลินก็มิได้ใส่ใจ นางเริ่มทำสิ่งเดิมต่อไป สาวใช้นำน้ำจากกามาผสมลงในขนมอีกส่วน นางบอกแก่หญิงสาวว่ารสหวานของแป้งมีน้อยเกินไป นางจึงต้องการผสมใหม่เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและหวานล้ำกว่านี้ แต่ทว่า…การกระทำของสาวใช้นั้นดูผิดแปลกไป ทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นแท้ ๆ แต่กลับรู้จักสัดส่วนของอาหาร ปกตินางคงมิใช่คนที่จ