“เอาละ เพื่อความสบายใจของฮูหยิน ข้าจะรับฟังเจ้าก็แล้วกันหลินเอ๋อร์ ไหนว่ามาสิ”บิดานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว ในเวลานี้หานซูหลินแต่งตัวเสร็จแล้ว นางนุ่งห่มอาภรณ์ด้วยสีขาวมุก ประดับปิ่นปักผมพร้อมกับเครื่องทองและทับทิมบนศีรษะ แต่งแต้มลวดลายระหว่างหน้าผาก เป็นรูปดอกบัวสีชาดสามกลีบ ก่อนจะเข้าพบบิดาในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา“ท่านพ่อ หากข้ากล่าวอ้างถึงความฝัน ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ ได้โปรดบอกข้ามาก่อน มิเช่นนั้นข้าอาจเป็นบุตรที่ท่านคิดว่าเพ้อเจ้อ แต่ข้ามิอยากให้ท่านคิดเป็นแบบอื่นเจ้าค่ะ”นางถูกบิดาเชิญให้นั่งลงก่อน ครานี้บุตรสาวของตนมีท่าทางแปลกไปกว่าเดิม หานซูหลินคนก่อนมิได้ห้าวหาญเช่นนี้ นางมีความอ่อนหวาน และอ่อนโยนดั่งเช่นสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี เพื่อเข้ารับตำแหน่งพระชายาขององค์ไท่จื่อ นี่นางแปลกไปเพราะเหตุอันใดกัน…“ไหนเจ้าลองว่ามา ข้าจะเป็นคนบอกเองว่าเจ้าฟั่นเฟือนหรือไม่”“ท่านพ่อ! หากท่านสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีเสนาบดีฝ่ายค้านอยู่หลายคนทีเดียว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นปฎิปักษ์กับท่านใช่หรือไม่”“จ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าไปสืบเรื่องราวในวังมาหรือไร ช่างเก่งเกินสตรีไปแล้วหานซูหลิน”หานเจ
“เจ้าดูนี่สิ! ข้าได้รับคำเชิญ เพื่อให้เข้าร่วมงานในราชวัง ตามที่ฮ่องเต้ส่งมา ตระกูลหานของเราต้องเข้าร่วมในครั้งนี้ และเจ้าจะต้องเตรียมตัวเอาไว้หลินเอ๋อร์ เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญในงานนี้ด้วยเช่นกัน หานซูหลิน ผู้เป็นว่าที่พระชายา ในองค์ชายรัชทายาทหลงเทียน วันนี้จงบอกกล่าวมารดาของเจ้า ให้ตระเตรียมชุดที่สวยงาม พร้อมทั้งของขวัญชิ้นใหญ่ เพื่อส่งมอบให้องค์ชายแคว้นหลู่ ด้วย” หานเจียจิ้งออกคำสั่งแก่บุตรสาว นางยังมิได้รู้เลยว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการซ้ำรอยในตอนที่ได้รับยาพิษหรือไม่“งานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายต่างแคว้นหรือเจ้าคะท่านพ่อ” นางถามออกมาด้วยความสงสัย“ใช่แล้วล่ะ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพยัคฆ์ขาว แห่งแคว้นทางเหนือ ทรงเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองฉางอันของเรา เนื่องจากว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่สุดในแผนที่ และมีเหล่าไพร่พลทหาร รวมทั้งแม่ทัพที่เก่งกาจอยู่มากมายนัก แคว้นหลู่จึงมิอาจต่อการได้ จึงคิดหาหนทางเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดี ให้เกิดขึ้นแก่แคว้นตนเอง นับว่าฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นมีความฉลาดปราญเปรื่องยิ่งนัก”“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะให้บิดา“อีกสองวันงานจะเกิดขึ้น เจ้
“เจ้างดงามจริง ๆ ข้ามิได้ชื่นชมเจ้าด้วยวาจาโป้ปดเสียหน่อยหลินเอ๋อร์ อันที่จริงข้าอยากไปรับเจ้าด้วยตัวเอง แต่เพราะข้าต้องช่วยงานเสด็จพ่อ จึงต้องอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ใจข้านั้นคิดถึงเจ้ามากมายนัก”เขากล่าวคำหวานออกมาไม่ขาดสาย ทำให้หานซูหลินใจเต้นแรง แม้นางจะเคยเห็นว่าเขาหักหลังตนเองมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ใจของนางมิได้คิดเคืองแค้นอันใด เพราะสิ่งที่เขาทำไปในเวลานั้น นางรู้ดีว่าชายคนนี้ต้องถูกบังคับเป็นแน่หากใจนางมืดบอด ก็คงมิให้อภัยบุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างนางได้“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกันกับพระองค์ แต่ในเวลานี้นับว่าไม่เหมาะสม สำหรับการเรียกร้องความรักที่องค์ชายทรงมีให้แก่หม่อมฉันเพคะ ทรงสดับรับฟังพระราชโองการจากฮ่องเต้ ด้วยความตั้งใจเถอะเพคะ”หานซูหลินปรามความปรารถนาในจิตใจของบุรุษข้างกาย นางทราบดีว่าเขาตื่นเต้นเพียงใดที่พบเจอตน แม้ว่านางเห็นเช่นนั้นก็ตามที แต่หญิงสาวก็เก็บอาการเอาไว้เช่นกัน นางเองก็รู้สึกดีไม่น้อยไปกว่าเขาฮ่องเต้ หย่งเจิ้ง ทรงทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารมากมาย รายล้อมอยู่เต็มทั้งในตำหนัก และท้องพระโรง พวกเขาต่างยิ้มชื่นให้กับการฉลองในวาระนี้ แค่เพียงเท่านี้พระ
“ระวัง!! มีนักฆ่าบุกโจมตี!!”เสียงหัวหน้าองครักษ์ประกาศเตือนทุกคนให้ระวังตัว พร้อมกับกันเส้นทางให้ทุกคนหลบหนีและป้องกันตัวเอง“ทหารทั้งหมดคุ้มครองฝ่าบาท! คุ้มกันฮองเฮา ทหารคุ้มครององค์รัชทายาทหลงเทียน!!” สิ้นเสียงขององครักษ์ฝ่ายฉางอัน ทหารทั้งหมดต่างดาหน้ากันเข้ามาปกป้องพระองค์ส่วนหนึ่ง และอีกนับสิบนั้นต่างนำกำลังเพื่อป้องกันส่วนพระองค์พาฮ่องเต้และองค์รัชทายาทหลบหนี รวมทั้งเหล่านางกำนัลและข้าราชบริพารต่างก็ติดตามทหารเหล่านั้นไปด้วย เพราะกลัวเกรงการบาดเจ็บและล้มตายของตน“เร็วเข้าเถอะรีบไปกันเร็วเข้า ฝ่าบาทพะยะค่ะ ทรงรีบเสด็จเถอะ ตามกระหม่อมมาพะยะค่ะ!” หลิวกงกง รีบเตือนฮ่องเต้และฮองเฮา ส่วนตัวเองนั้นก็ไม่สนสิ่งใด แม้แต่หานซูหลินที่เป็นว่าที่พระชายา ก็มิได้ถูกยื้อยุดตามไปด้วย“หลินเอ๋อร์!! รีบตามข้ามาเร็วเข้า!!”ชายหนุ่มรัชทายาทเพียงคนเดียว รีบตะโกนบอกคู่หมั้น ที่ตอนนี้นางกำลังสาวเท้าติดตามไป แต่ก็มิทันได้ทำอย่างที่ใจคิด นางล้มลงก่อน และได้รับบาดเจ็บเพราะสะดุดข้อเท้า นิ้วมือเรียวแหวกอากาศไปข้างหน้า หวังจะให้มีผู้ใดช่วยเหลือ แต่องค์รัชทายาทหลงเทียน กลับหายลับไปจากสายตาของนางแล้ว“องค์ชาย
เสียงคมดาบเฉือนอาภรณ์สีทองสุกปลั่งขององค์ชาย มันบาดลึกเข้าไปเฉือดเนื้อของเขาเป็นรอยแผลกว้าง แต่ยังมิทันที่นักฆ่าจะเข้าประชิดถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็ควงกระบี่ลอยตัวขึ้นเหนืออากาศ บิดร่างพลิ้วไหว ก่อนจะจ้วงแทงไปยังร่างของนักฆ่าผู้เคราะห์ร้าย เขาบิดคมปลายกระบี่ถึงสองครั้ง ก่อนจะดึงมันกลับมา“องค์ชาย ทรงบาดเจ็บนี่พะยะค่ะ” องครักษ์เข้ามาดูบาดแผล แต่เขามิได้แสดงความเจ็บปวดอันใด“พวกเจ้าต้านมันเอาไว้ก่อน ข้าจะนำแม่นางว่าที่พระชายาหนีออกไป ตอนนี้ข้ากับเจ้ามาสับเปลี่ยนเสื้อคลุมกันก่อน!”เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น องค์รักษ์ประจำตัวจึงทำหน้าที่ของตน เปลี่ยนอาภรณ์ชิ้นนอกกับองค์ชาย อวิ๋นหลงทันที “พะยะค่ะองค์ชาย กระหม่อมจะทำตามพระบัญชา”เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา เขาจึงมุ่งไปตรงบริเวณที่หานซูหลินกำลังหลบภัย“แม่นาง เจ้าออกมาได้แล้ว”“พวกเจ้ายังฆ่าฟันกันอยู่เลย หากข้าออกไปก็ตายน่ะสิ”นางเห็นว่าตรงนี้ไม่ปลอดภัยก็จริง แต่ด้านนอกก็ไม่น่าดูอยู่ดี“พวกเราต้องหนีกันก่อน ตอนนี้องครักษ์ได้พาองค์ชายหลบหนีไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่จะมิปลอดภัยหรอกนะ โปรดบอกข้ามา มีที่ใดพอจะหลบซ่อนได้บ้าง” เขาเอ่ยถามนางหน้าน
“ก็ได้ ถ้าเจ้าไหวก็ไม่เป็นไร เจ้าขี่ม้าไปส่งข้าที่ทางเข้าจวนก็ได้ ข้าไปต่อเองส่วนเจ้าก็เข้าวังแล้วไปหาหมอซะ”หานซูหลินให้เขาไปส่งไม่ไกลจากจวน หลังจากนั้นนางจึงหาทางเข้าวังอีกที ก่อนที่บิดากับมารดาจะมาเจอกับนาง และกักขังตัวมิให้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะในตอนนี้คาดว่าสถานการณ์คงจะรุนแรงมิใช่น้อยนางเดินทางเข้าไปในตำหนักขององค์ชายแคว้นหลู่ ก่อนจะบอกทหารว่าขอพบองครักษ์ซือฟง ไม่นานเขาก็ออกมา“ซือฟง องค์ชายปลอดภัยดีหรือไม่ แล้วเจ้าได้เข้าพบหมอหลวงหรือยัง”“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้าและองค์ชายอวิ๋นหลง แต่ตอนนี้วางใจได้ ทั้งข้าและเขาปลอดภัยดี ตอนนี้ทรงพักผ่อนอยู่”“แล้วเจ้าได้รับโทษหรือไม่ เมื่อคืนเหตุการณ์มันชุลมุนมาก ข้าหวังว่าองค์ชายจะทรงประทานอภัยให้เจ้านะซือฟง เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อยเลย” นางแสดงความกังวลอยู่ภายในแววตา เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงยิ้มได้ ความจริงใจของนางฉายชัดในแววตา“ข้าไม่เป็นไร การได้ปกป้องราชวงศ์เป็นหน้าที่ขององครักษ์เช่นข้าอยู่แล้ว แม้ตัวจะตายแต่ยังคงมีชื่อให้ลูกหลานได้ชื่นชม ส่วนเรื่องทรงทำโทษข้าหรือไม่ อันนี้ค่อยว่ากันอีกที ถึงจะถูกลงโทษก็มิได้ถึงตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย
หญิงสาวกวาดตามองใบหน้าของชายผู้เป็นโอรสสวรรค์ของแผ่นดินฉางอัน เป็นวาสนาของตระกูลหานจริงๆ ที่จะได้นั่งเคียงคู่บัลลังก์ของแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ พร้อมกับบุรุษตรงหน้าที่นางปรารถนา“พระองค์มีเรื่องอันใด ที่จะไต่ถามหม่อมฉันหรือเพคะ ทรงเอ่ยออกมาได้เลยเพคะ”เขาเองก็จดจ้องนางมิวางตาเช่นกัน หานซูหลินเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม ถูกอบรมบ่มนิสัยของกุลสตรีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยังเยาว์วัย อีกทั้งดวงหน้าของนางยังงดงาม และหาสตรีแห่งใดเปรียบมิได้ ดวงตากลมโตดำขลับช่างน่าเย้ายวน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเผยถึงความปรารถนาในตัวของเขา จนคำพูดที่นางเอ่ยออกมาทำให้บุรุษหนุ่มถึงกับตกอยู่ในภวังค์ความฝันชั่วครู่“อะ…เอ่อ ใช่แล้วข้ามีเรื่องจะถามเจ้า ข้าไปหาเจ้าที่จวนในตอนเช้าด้วยความห่วงใย แต่เจ้ากลับไม่ได้อยู่ที่นั่น บิดาเจ้าเองก็พบข้า อีกทั้งยังบอกว่าเขาก็มิได้เห็นเจ้าตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ทั้งจวนต่างกังวลเรื่องเจ้ามากนะหลินเอ๋อร์ หากเจ้ามิได้อยู่ที่จวนเมื่อราตรีก่อน แล้วเจ้าหลบนักฆ่าไปได้อย่างไร เจ้าอยู่ที่ไหนกัน หรือว่ามีใครบังอาจลักพาตัวเจ้ากันแน่!”เขาลงท้ายคำพูดดูหนักหน่วงนัก คล้ายกับว่าคิดจะจับผิดคู่หมั้นของตน การห
หานซูหลินยิ้มชื่น ใบหน้าของนางอิ่มเอิบเมื่อได้มอบความหวังดีให้ผู้อื่น การที่เขาช่วยชีวิตนางนับเป็นบุญคุณ และนางก็ต้องตอบแทนเขาเช่นกัน แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงของกำนัลชิ้นเล็ก ๆ จากหญิงสาวแห่งเมืองฉางอันก็ตามที แต่ครั้งนี้หานซูหลินต้องแอบเข้าไป เพื่อมิให้องค์ชายหลงเทียนเจอนางโดยบังเอิญอีก นางสืบรู้มาว่าพรุ่งนี้เขาต้องไปที่หอสมุดของเมือง ทำให้นางมีเวลาที่เหมาะสม เพื่อนำของชิ้นนี้ไปให้องครักษ์ซือฟงหญิงสาวนั่งรถม้าของจวนตระกูลหานในวันรุ่งขึ้น นางมองทิวทัศน์ระหว่างทางอย่างเพลิดเพลิน พร้อมกำสิ่งของในมือเอาไว้ นางห่อมันด้วยผ้าลูกไม้สีขาว และห่อทับด้วยกล่องขนาดเท่ากลางฝ่ามืออีกที บนกล่องบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีเขียวมะกอก ข้าง ๆ กันนั้นมีถุงเครื่องหอม ซึ่งเป็นผงละเอียด นำผงใส่ไว้ในขวดแก้ว มันมิใช่แค่เครื่องหอมเพียงอย่างเดียว แต่มีสรรพคุณหลายชนิด ทั้งแก้วิงเวียนและปราบพิษของสัตว์ร้ายได้อีกด้วย นางนำมาละลายในน้ำมันเพื่อเอาไว้ให้ชายหนุ่มใช้ยามฉุกเฉิน ผงหอมของนางเป็นกลิ่นที่เย้ายวนใจ และหามีผู้ใดสูดดมมันมาก่อน นอกจากคนที่อยู่ใกล้นาง“ลุงจาง! ได้โปรดหยุดรถก่อน!!”หานซูหลินร้องเรียกคนบังคับม้าให้ชะลอล้อ ก่
ในวันเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง เสนาบดีแต่ละฝ่าย ต่างจดจ้องเพื่อที่จะรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้แก่บิดาของแผ่นดินได้รับรู้ แต่ครานี้เม่ยจือลั่วที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ได้เสนอเรื่องการก่อกบฏของตระกูลหาน เรื่องซ่องสุมโจรร้ายและเป็นภัยแก่ราชวงศ์ในขณะนี้“กราบทูลฝ่าบาท นี่คือเรื่องจริงที่กระหม่อมได้ไปสืบทราบมาจากหลายฝ่าย ผู้นำตระกูลหาน มิได้เป็นคนดีอย่างที่ทุกคนคิด ตอนนี้เขาได้ซ่องสุมโจรขึ้นมา และทำการปล้นทรัพย์อย่างอุกอาจ กระหม่อมมีหลักฐานอยู่ในมือทั้งหมดพะยะค่ะ ทรงพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกระหม่อม เพื่อนำความสันติมาให้ดินแดนฉางอันของเรา” เขานำหลักฐานเท็จมาให้ฮ่องเต้ทรงอ่าน เพื่อประทับสายพระเนตรลงไป“ในนี้เขียนว่ามีการปลดปล่อยนักโทษร้ายแรงเช่นนั้นหรือ มันเป็นผู้ใดกัน เจ้ารู้หรือไม่”“พะยะค่ะฝ่าบาท คนผู้นั้นเป็นนักโทษคดีร้ายแรง และเหมือนกับว่าเสนาบดีกรมยุติธรรม ได้ปล่อยตัวออกไป เพราะนักโทษใกล้ถึงแก่ความตาย จึงอนุโลมให้ไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิด และให้ทหารทำศพให้หลังจากนั้นขอรับ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่นักโทษผู้นั้นมิได้ตายจาก แต่กลับเข่นฆ่าทหารที่ติดตามไปจนหมดสิ้น ก่อนจะตั้งก๊กและเหล่าขึ้น เพื่อท
เมื่อองค์รัชทายาทจากแคว้นหลู่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่รอช้า รีบออกมาจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ทันที“องค์ชายขอรับ พวกเราทหารสนับสนุนพร้อมแล้วที่จะทำตามพระประสงค์ขององค์ชาย ได้โปรดทรงออกคำสั่งมาได้เลยขอรับ” หัวหน้าสำนักเอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า ออกคำสั่งกับหัวหน้าทหารโดยทันที“เจ้าอย่าได้ออกตัวว่าเป็นทหารจากแคว้นหลู่ ในครานี้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นมากมายนัก ข้าอยากให้เจ้าสำนึกรักแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ชั่วคราว สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ ตระกูลจ้าว จะไม่ยอมอยู่เฉย และพร้อมที่จะกำราบพวกโจรชั่วเหล่านั้น ส่วนข้าจะออกตัวมิได้ เพราะเป็นเพียงผู้มาเยี่ยมเยือนแคว้นนี้เท่านั้น หาได้มีสิทธิ์อันใดไม่ นอกจากต้องขอราชโองการจากฮ่องเต้หย่งเจิ้ง เพื่อปราบจลาจลในครั้งนี้ก่อนเจ้าจงให้คนประกาศออกไป ว่าตระกูลจ้าวจะปราบโจรผู้ร้ายในครั้งนี้เอง ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่ามีผู้ใดที่ร้อนรนในครั้งนี้กัน” องค์ชายอวิ๋นหลงคิดแผนการอยู่ในใจ เขาต้องสืบอีกต่อไปว่า เป็นองค์ชายหลงเทียนหรือไม่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง“ขอรับองค์ชาย พวกข้าทั้งหมดจะไปปราบปรามพวกชั่วช้านี่เอง เพื่อความผาสุขของทั้งสอง
“คาราวะขอรับใต้เท้าหาน ด้วยความเมตตาของท่าน ข้าน้อยนั้นสบายดียิ่งขอรับ แต่หาได้สบายใจนัก พวกข้าจึงได้ออกหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็ปรากฎว่าได้รับข่าวเดียวกันกับข่าวว่าที่พระชายา นำมาปรึกษาท่านในวันนี้ด้วยขอรับ” บัณฑิตหลิว หันไปทำความเคารพต่อว่าที่พระชายาหานซูหลิน ซึ่งนางก็ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย บุรุษหนุ่มผู้เรียนรู้และประสิทธิประสาทวิชา จากสำนักที่มีชื่อสียง และได้รับการเรียนรู้ขัดเกลาความดีจากใต้เท้าหาน เอ่ยความจริงเรื่องของ เม่ยจือลั่วออกมาอีกมามาย“เสนาบดีกรมการคลังปลอมแปลงเอกสารส่งตัวนักโทษขอรับ โดยอ้างว่านักโทษคนนั้นตายลงด้วยไข้พิษ แท้จริงแล้วเขายังไม่ตาย แค่ดื่มพิษจากดอกไม้เมืองหนาวเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ลมหายใจขาดช่วงชั่วครู่ และแม้แต่หมอหลวงก็ยังตรวจชีพจรผิดพลาด”องค์ชายอวิ๋นหลงครุ่นคิด“เขาทำอย่างนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน ท่านบัณฑิตทราบหรือไม่”“ข้าทราบขอรับท่านองครักษณ์ซ่ง เพราะเหรินเจิ้นผู้นั้นคือพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่น่าเสียดายที่เขาทำความผิดเท่าภูเขา จึงถูกจับกุม และนำตัวมาให้ใต้เท้าหานไต่สวนคดี และได้รับโทษจำคุกเกินครึ่งของอายุขัยตัวเองด้วยซ้ำขอรับ” เมื่อเขาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยิน ควา
องค์ชายอวิ๋นหลงและหานซูหลินไม่รอช้า เพื่อเปิดโปงความชั่วของเม่ยจื่อลั่ว พวกเขาจึงดั้นด้นไปสืบหาต้นตอของรายชื่อที่อยู่ในสุสานของนักโทษ ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากพื้นที่เดิม ผ่านเนินเขาจนสุดถึงชายป่า ดูแล้วช่างลี้ลับนัก เพราะเหล่านักโทษพวกนี้มิได้มีครอบครัวต้อนรับอีกแล้ว การฝังและทำลายจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ พวกที่มิได้รับอนุญาตนำออกไปจากห้องกักขังมีจำนวนมากกว่า แต่นักโทษรายนี้มีคำสั่งเป็นลายเซ็นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นั่นก็คือฮ่องเต้ ร่างของเขาได้ถูกประทานที่ดินฝังกลบไปโดยปริยายหานซูหลินและองค์ชายหลงเทียนปกปิดตัวตนด้วยการแต่งกายมิดชิด ทั้งสองสวมอาภรณ์สีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี เวลาฟ้ามืดทึบเป็นช่วงที่เหมาะสมยิ่ง เข้าสู่ปลายยามชวีแล้ว ผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักทั้งวัน พวกเขาพร้อมเข้าอยู่ในครัวเรือนของตนกันหมด หากจะมีอาคันตุกะในความมืดปรากฎในเวลานี้ เห็นทีคงเป็นภูตผีหรือไม่ก็โจรร้ายแน่แล้ว ช่างเหมือนกับพวกเขาที่แต่งกายเฉกเช่นจอมโจรขโมยสุสานไม่มีผิดไม่นานนักหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ก็เหยียบย่างลงบนพื้นที่ซึ่งมิอยากมีใครต้องการเดินทางมา นอกจากคนตาย ทั้งสองมองหน้ากันเพื่อนับเวลา
“ข้ามิทราบขอรับ รู้เพียงแค่ทั้งโจรและทหารต่างเป็นพวกเดียวกัน และทหารวังก็มิเคยปกป้องราษฎรได้เลย พวกเขาแค่ทำไปตามหน้าที่ เหมือนกับหุ่นฟางไม่มีผิด”“เอาล่ะ ถือว่าข้ารับเรื่องนี้เอาไว้ก็แล้วกัน อย่าห่วงเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้ในไม่ช้า” เมื่อเสร็จสิ้นจากการหาข้อมูลโดยบังเอิญ องค์ชายอวิ๋นหลงจึงควบม้าไปยังจวนตระกูลหานโดยไวแรงจากอาชาว่องไวประหนึ่งสายลมพัด ในไม่ใช้เขาก็มาถึงจวนที่ต้องการ องค์ชายอวิ๋นหลงทรงผูกม้าไว้ข้างจวน ก่อนจะเร้นกายเข้าไปพบหานซูหลินด้านใน เพื่อมิให้ใครสังเกตเขาได้“หลินเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว”เสียงทักทายอันอบอุ่น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ ราวกับว่าหานซูหลินเองกำลังรอคอยองค์ชายอวิ๋นหลงผู้นี้อยู่เช่นกัน“องครักษ์ซ่งซือฟง เจ้าเข้ามาจากทางไหนกันหรือนี่ ช่างน่าแปลกใจนัก เหตุใดเจ้าถึงแอบย่องเข้ามาในจวนข้า”นางรู้สึกตกใจมิใช่น้อย หากเขาเข้าทางประตู แน่นอนว่าต้องมีสาวใช้เข้ามารายงานนางก่อนอยู่แล้ว“เจ้าทำเช่นนี้ข้าขวัญผวานัก นึกว่าเป็นผีบรรพบุรุษเรียกหาเสียอีก ต่อไปเจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้ากลัว”“ดูท่าทางเหมือนเจ้าขนลุกจริง ๆ ด้วย ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วยหลินเอ๋อร์ แต่ข้าจำเป็นต้องทำเช่
องค์ชายอวิ๋นหลงเร่งรีบตั้งใจสืบข่าว เรื่องที่หานซูหลินเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยเหลือ แม้ตนเองจะมิใช่คนในราชวงศ์นี้ก็ตามที แต่เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเขาที่เป็นผู้เจริญสัมพันธไม่ตรีก็มิอาจทนดูอยู่ได้ อีกทั้งหานซูหลิน เป็นสตรีที่เขาชื่นชมหากนางไร้แผ่นดินอยู่ มิหนำซ้ำยังถูกคนร้ายย่ำยีตระกูลดั่งเช่นที่นางเอ่ยมา เขาก็มิอาจทนได้ องค์ชายอวิ๋นหลงจะมิยอมให้ว่าที่พระชายาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้เป็นแน่ หากเขาสามารถช่วยยุติสิ่งเลวร้ายนี้ได้ เขาก็ยินดีทำเพื่อสตรีที่ตนปรารถนาอยู่เนือง ๆองค์ชายอวิ๋นหลงส่งสายสืบเข้าไปในคุกหลวง แต่กลับมิได้รับข่าวคราวอันใดมากไปกว่าเดิม นั่นอาจเป็นเพราะในคุกมีคนของเม่ยจื่อลั่วอยู่มากมายก็เป็นได้“กราบทูลองค์ชายอวิ๋นหลง กระหม่อมได้สืบเสาะเรื่องราวในคุกหลวงแล้วพะยะค่ะ ได้ข่าวมาไม่มากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังไม่พบพิรุธอันใด เกรงว่าหากสืบไปมากกว่านี้ ทางสำนักพระราชวังคงต้องจับตาดูความเป็นอยู่ขององค์ชายมากกว่านี้แน่ กระหม่อมคาดคะเนว่า จะส่งผลร้ายต่อองค์ชายนะพะยะค่ะ ทางแคว้นหลู่ของเราควรรามือเสีย ทรงหาทางอื่นเถอะพะยะค่ะ”องครักษ์คู่ใจกล่าวกับเขาเช่นนั้น ซึ่
ซ่งซือฟงตัดบท ก่อนที่จะขอตัวออกไปตำหนักที่ประทับขององค์ชายแห่งแคว้นหลู่ เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้จงได้ ไม่แน่ว่าการศึกที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาจเป็นแคว้นหลู่ของเขาก็ได้บุรุษหนุ่มแห่งแคว้นหลู่เดินทางออกมายังด้านนอก ถึงแม้เขามิได้เป็นคนในราชวงศ์นี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้หย่งเจิ้งและองค์ชายหลงเทียน มิได้ทรงเดือดร้อนพระทัยกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสองเดือนนี้เลย ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาในบริเวณตัวเมือง ซึ่งมีผู้คนอยู่ล้นหลาม เขาสังเกตุได้ว่า หลายคนมีใบหน้าเศร้าสร้อย การซื้อขายหาได้คึกคัก ประชาชนเหมือนตกอยู่ในความโศกเศร้ามากกว่าความสดชื่น และหนึ่งในคนค้าขายก็เข้ามาไต่ถามเขาให้ช่วยซื้อสินค้าบางอย่าง“ใต้เท้าขอรับ โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถอะ ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง ช่วยอุดหนุนสินค้าของข้าบ้างจะได้หรือไม่ นี่เป็นอาหารแห้งที่ข้านำมาขาย แต่หาได้มีผู้ใดมีเงินสักครึ่งตำลึงมาซื้อหาเลย นายท่านขอรับ ได้โปรดช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวที่ยากจนของข้าน้อยด้วยเถอะ” พ่อค้าทำท่าเคารพเขา เพราะอยากขายสินค้าได้ และกลับบ้านไปหาครอบครัว“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เจ้าช่วยบอกข้าสักนิดได้หรือไม่” ซ่งซือฟงไต่ถามควา
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน