ชีวิตหลังการปลิดปลิวดั่งใบไม้ ของบุตรีขุนนางชั้นสูงเริ่มดีขึ้น หานซูหลินสามารถล่วงรู้อนาคตข้างหน้าได้ไม่ยากนัก การที่นางฟื้นคืนชีพ ทำให้ตนเองเริ่มปฎิบัติตัวใหม่ การเหินห่างจากราชวงศ์มิใช่สิ่งที่ควรกระทำ แต่การกระชับมั่นเสียอีกคือหนทางแห่งแสงสว่างหญิงสาวในตอนนี้เปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์ที่งอกขึ้นใหม่ พร้อมเติบโต แกร่งกล้า และเรียนรู้ธรรมชาติ รูปแบบเช่นนี้ นำไปสู่การเลียนแบบต้นไม้ที่งอกงาม ล้วนมีอยู่อย่างมากมายในแผ่นดินนี้ ทั้งหมดปกคลุมรายล้อมอยู่รอบพระราชวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าและงดงาม เช่นดั่งอาณาจักรฉางอันแห่งนี้ อำนาจรอบด้านที่นางมองเห็น หาใช่ความหวังดีไม่ แต่มันจะกลายเป็นกาฝากที่เกี่ยวรัดอำนาจของฮ่องเต้ ให้จบสิ้นในไม่ช้าผู้อื่นยิ่งใหญ่ได้ นางก็ยิ่งใหญ่ได้ หากนางถูกโค่น ก็หามีผู้ใดอยู่ค้ำจุนได้เช่นกัน ทุกอย่างต้องมลายสิ้นไปพร้อมตน หานซูหลินตั้งใจไว้เช่นนั้นนางเข้าหาองค์ชายหลงเทียนมากขึ้น เรียนรู้สิ่งที่พระชายาควรมี ทั้งการตัดเย็บ การประดิษฐ์ดอกไม้ การชงชาที่แสนจะละมุน นั่นคือการปรนนิบัติสำหรับองค์รัชทายาททั้งสิ้น แม้แต่การร่ายรำ นางก็ต้องใส่ใจมากกว่าเดิมรวมทั้งการสอดส่องผู้ที่คิดคดต่อราช
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าสัญญาว่าจะอดทนจนถึงที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะเด็ดปีกนางเอง เวลานี้เจ้าผยองให้ดีเถอะหานซูหลิน อีกไม่นานเจ้าก็ร่วงลงจากฟ้า” เม่ยเจียงฉีก้าวตามบิดานางไปอย่างว่องไว ส่วนหานซูหลินเองยังมิได้รู้ด้วยซ้ำว่านางถูกหมายหัวเอาไว้แล้วนอกจากนั้น ยังมีเงาร่างของใครบางคนเหมือนวิ่งผ่านไปราวลมพัด ซึ่งมิได้ทำให้ทุกคนเอะใจแต่อย่างใดหญิงสาวถวายผลผิงกั๋วให้แก่ฮองเฮา ทรงชื่นชมว่านางนั้นช่างเป็นสตรีที่เอาใจใส่ดีแท้ วันนี้ฮองเฮาทรงประทานดนตรีให้นางหนึ่งบทเพลง เพื่อใช้ในการร่ายรำ ให้เป็นสิ่งครรลองจิตใจในพระราชตำหนักทองคำแห่งนี้ หานซูหลินใช้ท่วงท่าที่อ่อนช้อย และพลิ้วไหวดุจกิ่งเหมย อีกทั้งดนตรียังไพเราะยิ่งขึ้น เมื่อได้บรรเลงคู่กับนางหงส์เช่นนี้ฮองเฮาทรงประทานเสียงปรบมือให้นาง เมื่อร่ายรำจนจบเพลง“ยอดเยี่ยมมากหานซูหลิน เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งพระชายาในอนาคต ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ มาให้ข้าเชยชมเจ้าใกล้กว่านี้หน่อย” ฮองเฮามทรงเมตตานางยิ่งนัก เวลานี้ทรงประทับพระหัตถ์บนพวงแก้มของนางอย่าเอ็นดู“ใบหน้าเจ้าช่างดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก ปีนี้เจ้าก็ได้เวลาปักปิ่นแล้วสินะ องค์รัช
เสนาบดีใจชั่วยังคงชี้หน้าหานซูหลิน แววตาหมายมาดอยากให้นางได้รับการถูกลงโทษเหมือนกับบิดา เพราะหากว่าหญิงสาวยังได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้อยู่เช่นนี้ รังจะเป็นหอกแหลมทิ่มแทงให้บุตรสาวของตนชอกช้ำใจได้ องค์ชายหลงเทียนเองก็ยังมิได้ตกปากรับคำให้ เม่ยเจียงฉี ขึ้นเป็นพระสนมเอกของเขา ความไว้วางใจของเม่ยจือลั่วนั้นยังไม่สัมฤทธิ์ผล“เจ้าปากเก่งดีนี่! หานซูหลิน สมแล้วที่เป็นบุตรีของคนที่คงความยุติธรรมบนแผ่นดิน ทำชั่วก็ต้องได้รับกรรม เจ้าก็เห็นแล้วว่าตระกูลหานทำชั่ว จึงได้รับผลกรรมทันตาเห็นเช่นนี้!!”ชายร่างกำยำผู้มีริ้วผมหงอกขาว เจือปนอยู่ครึ่งค่อนศีรษะถลึงแววตาใส่นาง เขายื่นพัดที่มีปลายคมมีดบางเฉียบ เข้ามาจ่อตรงบริเวณต้นคอของหญิงสาว หานซูหลินผงะเอียงตัวไปด้านข้าง นางตกใจจนตาเหลือกลาน ไม่นึกมาก่อนว่าเขาจะข่มขู่นางเช่นนี้ ท่ามกลางทหารที่ล้อมรอบอยู่นับสิบ พวกนั้นคงไม่เห็นว่าพัดเล่มยาวนี้ติดอาวุธคมมีดอยู่ด้วย“นะ…นี่เจ้า!!”“ทำไมหรือ! แค่เพียงปลายพัดเจ้าก็รู้สึกกลัวข้าแล้วหรือ เจ้าเองก็รักตัวกลัวตายเหมือนกันนี่นา แล้วแบบนี้เจ้าจะยังปากเก่งอยู่อีกไหม หา!”หานซูหลินมิได้กลัวเกรงเสนาบดีใจคดคนนี้ นางเพีย
“ถอยออกไปให้ห่างข้านะเจ้าจิ้งจอกเฒ่า! เจ้าช่างน่ารังเกียจยิ่งกว่ามูลสัตว์ เน่าหนอนยิ่งกว่าแร้งกา โดยเฉพาะคำพูดที่ใส่ร้ายผู้อื่น ใส่ร้ายข้าและตระกูลหาน ออกไปนะ!!”“นี่เจ้ายังคิดว่าตำแหน่งว่าที่พระชายานั้นยังใช้ได้อยู่อีกหรือ ข้าว่าตอนนี้มันมิได้มีความหมายอันสดแล้วเสียอีก หรือเจ้าว่าไม่จริง ฮ่า ๆ ๆ” เม่ยจือลั่วหัวเราะออกมาเสียงดัง มันก้องไปทั้งจวน ส่วนบุตรสาวที่เห็นบิดาทำท่าเช่นนั้น ก็ทำตามอย่างบ้าง ความนิ่งงันทั้งหมดตกอยู่กับหานซูหลิน คนพวกนี้วิกลจริตไปแล้วหรือไรกัน“ข้าจะคิดว่าเจ้าเป็นคนฟั่นเฟือนไปแล้วนะว่าที่พระชายา หานซูหลินที่ข้ารู้จักนั้นเป็นหญิงฉลาด แล้วก็มีความหลักแหลมพอดู แต่ไม่นึกเลยว่าพอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เจ้าจะกลายเป็นคนโง่เขลาในพริบตา”“นี่เจ้าพูดอะไรกัน ใครกันเป็นคนโง่เง่า เจ้าบอก กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ตำแหน่งของข้ายังคงอยู่มิได้เปลี่ยนแปลงไปสักนิด ข้าเป็นคู่หมั้นขององค์ชายตั้งแต่ยังแบเบาะ มีหรือที่เขาจะไม่ช่วยข้ากับท่านพ่อ!”หานซูหลินชี้หน้าใส่ทั้งคู่ แม้แววตาจะระริกสั่นไหวด้วยความเกลียดชังและคั่งแค้น แต่นางก็มิได้ฟั่นเฟือนไปอย่างที่พวกนี้พูด“ตำแหน่งของเจ้าน่ะหรือ
หญิงสาวยังคงติดอยู่ในภวังค์ความฝันย้อนกลับ หานซูหลินไม่สามารถเปิดเปลือกตาของนางได้เลย ราวกับว่าเจ้าแห่งนรกมิได้ยินยอม ความหวั่นเกรงและช้ำชอกที่นางได้รับมาในราตรีเดียว ยังคงหลอนหลอกด้วยเหตุการณ์ที่ตนเคยได้ถูกกระทำมา…ในราตรีสีทึบนั้นกลับสว่างขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวที่ถูกปลดจากว่าที่พระชายา ยังคงร้องให้ร้องห่มอยู่ในจวนของตน ร่างของนางสั่นคลอนเพราะการสะอื้นนานกว่าร้อยเค่อ ชีวิตหลังจากนี้หญิงสาวไม่อาจรู้ได้ แต่นางไม่อยากยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ในเมื่อบิดาที่นางรักไม่มีส่วนใดเกี่ยวของกับการกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และซ่องสุมรังโจรเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ในจวนเหลือเพียงมารดาที่นั่งเศร้าซึมอยู่ตรงหัวมุมห้อง ฮูหยินแห่งตระกูลหานลุกขึ้นได้เมื่อเหล่าทหารใจโฉด เดินทางกลับไปแล้ว แม้นางจะเป็นฮูหยินของจวนนี้ แต่ก็มิได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราชการของสามี และเรื่องราวที่ขับเคลื่อนราชวงศ์ สิ่งเดียวที่หรงฮูหยินต้องทำก็มีเพียง เนรเทศตัวเองออกไปจากจวน ที่ถูกเก็บเป็นสมบัติของคลังแห่งราชวงศ์ในเวลานี้เท่านั้น“หลินเอ๋อร์ พวกเรามิอาจทำสิ่งใดได้ต่อไปอีกแล้วลูกรัก สาสน์จากราชการในองค์ฮ่องเต้ มีคำสั่งเด็ดขาดถึงเพียงนี้ พวกเ
ฮูหยินหานเกรงกลัวต่อคำสั่งของฮ่องเต้นัก ถึงขนาดส่งเสนาบดีกรมคลังอย่างเม่ยจือลั่ว มารื้อจวนพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินกันอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ เห็นทีว่าชีวิตตนคงไม่มีที่ให้ยืน แม้ในเสี้ยวของวันพรุ่งนี้อีกแน่ นั่นคือข้อหาเรื่องนางขัดราชโองการ คนชั่วเช่นเขาคงไม่มีวันปล่อยคนของตระกูลหานไปอย่างง่ายดาย นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงพยายามกล่อมลูกสาวให้เดินทางไปด้วยกันให้จงได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางก็ต้องปล่อยมือ ให้หานซูหลินเดินย่ำไปในขวากหนามแต่เพียงผู้เดียว“ท่านแม่รีบไปเถอะเจ้าค่ะ และได้โปรดรักษาชีวิตของตนเองไว้ มิต้องห่วงลูกหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวมิอาจทัดทานมารดาให้อยู่กับนางได้ นางเข้าใจและห่วงใยมารดาไม่น้อยไปกว่าบิดาเลย หรงฮูหยินได้แต่ร้องให้ ก่อนจะขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังแคว้นเหยาตามลำพังรุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง แม้ในความฝันก็ยังสว่างเจิดจ้า หานซูหลินรีบรุดไปยังตำหนักหลงจินขององค์ชายหลงเทียน ในคราแรกมีทหารหลายนายที่เฝ้าประตูวัง มิให้นางย่างกรายเข้าไปได้ เพราะตระกูลหานมีรายนามคือกบฏแผ่นดิน ในสายตาของทุกคนก็นับนางด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเจ้าตัวโอดครวญและต้องการพบโอรสมังกรให้จงได้ เหล่าท
“ไม่จริง!!”หานซูหลินเดินทางกลับไปยังจวนที่พักของนาง แม้จะเล็กและคับแคบ มีกลิ่นเหม็นอับบ้างแต่ก็ยังมีความหมาย หญิงสาวกุมหยกสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นตราประจำตระกูลหานเอาไว้ในมือแน่น ภาวนาต่อสรวงสวรรค์ให้รับคำอธิฐานจากนางหากแม้นต้องสิ้นชีพ ก็ขอให้บิดาและมารดารอดพ้นจากเพทภัย หากนางต้องไปเป็นชายาขององค์ชายต่างแคว้นจริง ก็ขอให้นางหามีชีวิตไม่ จิตใจที่แน่วแน่ของตน เกิดความเกลียดชังในราชวงศ์ สาปแช่งผู้ครองแผ่นดิน ผู้นำความอัปยศมาให้ นางไม่ยินยอมต่อการจำนนนี้อีกต่อไปในค่ำคืนที่ใกล้ตัดสินชะตาชีวิต หานซูหลินก็หลับไปอย่างเหนื่อยล้า ภาพที่เห็นในภวังค์ตัดขาดออกจากกัน พร้อมกับวันใหม่เผยขึ้นอีกครั้ง ร่างกายที่สั่นเทิ้มในชาติภพใหม่มีเหงื่อผุดพรายออกมาเม็ดใหญ่เท่าลูกเห็บ นางรู้ดีว่าใกล้สิ้นสุดความฝันอันโหดร้ายนี้เข้าไปทุกที ชีวิตครั้งเก่าน่าสงสารยิ่งนัก น้ำตาของหญิงสาวหยดลงข้างดวงตาเป็นสาย ทั้งที่ยังมิได้รู้สึกตัวภาพที่นางเห็นในความทรงจำที่แสนเจ็บปวด คือตนเองใส่ชุดสีขาวเหลือบทอง เนื้อผ้าแสนสวยทิ้งตัวราวปีกหงส์ ผ้าบางที่คลุมกายยาวเหยียดเสียจนครอบคลุมพื้นที่ระหว่างทางเดินเสียสามส่วน แม้นตกต่ำก็ยังคงมีค
“เจ้าคงมิรู้ตัว ว่าที่เอ่ยออกมานั้นมิได้ส่งผลดีต่อเจ้าเลย การฎีกาเป็นอำนาจของศาล ซึ่งข้ามิได้เกี่ยวข้องอันใด นั่นคือส่วนของราชการ ข้ามิอาจสอดมือเข้าไปเกี่ยวข้องได้ แต่นี่เจ้าและบิดาของเจ้าทำความผิดร้ายแรง ถึงขั้นล้มล้างราชบัลลังก์ เจ้ามิได้รู้เลยว่ามีผู้ใดบ้างที่ลงนาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกินครึ่งของราชสำนัก ที่ลงนามตัดสินโทษบิดาของเจ้า!”ฮ่องเต้ทรงเอ่ยวาจาออกมา สุรเสียงดังก้องไปจนถึงชั้นฟ้า เขามิได้ทำการด้วยความพอใจเพียงผู้เดียว แต่ด้วยการสนับสนุนจากฝ่ายราชสำนัก และส่วนราชเลขาก็ลงนามทั้งสิ้น แม้จะเสียใจอยู่เพียงใดก็ตาม แต่นั่นคือหน้าที่ของพระองค์ คือการตัดสินลงนามในราชโองการ พระองค์ก็ถูกบังคับด้วยข้าราชบริพารเช่นกัน“ข้าเป็นถึงผู้ครองแคว้นครองแผ่นดิน ต้องรับฟังความจากคนหมู่มาก และข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้เช่นกัน ว่าข้าอยู่เหนือฎีกาและกฎทั้งปวง จงจำไว้หานซูหลิน เจ้ามิได้มีสิทธิ์ยื่นฎีกาใด ๆ ทั้งสิ้น ข้ามอบโอกาสให้เจ้าและมารดารอดพ้นจากโทษแล้ว ก็ขอให้เพียงพอเสียที เห็นแก่บิดาเจ้าที่รับใช้ราชสำนักมาเนิ่นนาน เจ้าจงไปเสียเดี๋ยวนี้!”วาจาขององค์ฮ่องเต้คือสิ้นสุด ทรงตรัสแล้วหาคืนคำไม่ หานซูหลินมีความ
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน
“เรื่องอันใด ข้าคงตอบเจ้าได้หากเกิดคำถามขึ้นมาแล้ว”“เจ้าทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เรื่องที่ต่อไปจะเกิดการกบฎขึ้น ข้ารู้สึกสงสัย เพราะก่อนหน้าที่จะมีการซ่องสุมโจรผู้ร้าย เจ้าก็เคยบอกข้าว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วก็เป็นจริง ครานี้เจ้าบอกข้าว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง เจ้าก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครอยู่เนือง ๆ อีกทั้งยังบอกกล่าวบิดาให้ซ่อนตัวเพื่อพ้นภัยอันตรายอีกด้วย หรือว่าเจ้ามี…”เขาชะงักคำพูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดสิ่งใดออกมา“ข้ามีลางสังหรณ์น่ะ เจ้าจะบอกเช่นนี้หรือไม่ซือฟง”“ใช่แล้วหลินเอ๋อร์ ข้าเพียงแต่นึกคำนั้นไม่ออก เจ้ามีความพิเศษนี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิได้สงสัยอันใดแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า ความพิเศษของสตรีนั้นมีคำเล่าขานมาอย่างยาวนาน หากว่าสตรีใดที่มีลางบอกเหตุ ก็จงเชื่อฟังนาง โดยเฉพาะหากเป็นคนที่รักแล้วยิ่งต้องเชื่อ โดยมิต้องมีคำโต้แย้ง มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”“นี่เจ้าจะบอกอะไรข้า เจ้านี่นะช่างเล่นคำเสียเหลือเกิน” บางทีนางอยากจะแกล้งโง่บ้าง เมื่อเขาพูดจาทำให้นางมีริ้วแก้มแดงเพราะเลือดฝาด “ข้าจะออกไปก่อน เชิญเจ้าคิดอะไรต่อไปให้พอเถอะ!”“เดี๋ยวก่อนสิหลินเอ๋อร์ เจ้
องค์ชายอวิ๋นหลงรีบควบม้าศึกประจำตัว ห้อตะบึงลู่ลมมายังสถานที่นัดพบของพวกเขาทั้งสองคน หวังว่าหานซูหลินยังคงรอคอยเขาอยู่ที่เดิม ความจริงที่ว่าเขาคิดถึงนางยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นคือเรื่องที่มิอาจเสแสร้งได้เลยองค์ชายอวิ๋นหลงผูกม้าเอาไว้หน้าถ้ำน้ำตก เขาเร้นกายเข้าไปสู่จุดหมายด้านในอย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่ลึกเข้าไปนับลมหายใจได้แทบพันครั้ง เขาก็พบเจอกับหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนธิดาสวรรค์บนพื้นแผ่นดิน กำลังนั่งรอเขาอยู่ กลางสวนดอกไม้และทุ่งหญ้าเรืองแสงเปล่งประกาย ภายใต้ความมืดทึบ ที่ตรงนี้ช่างสว่างไสวยิ่งนัก ซึ่งเขามิเคยรู้มาก่อนสักนิด จนกระทั่งหานซูหลินนำทางเขามาในวันนี้ นางบอกในจดหมายว่าให้เขาเดินเข้ามายังจุดที่ลึกสุดภายในถ้ำ ก็จะพบเจอกับนางที่รอคอยตรงใจกลางถ้ำน้ำพุ“ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีจุดนัดพบเช่นนี้เกิดขึ้นในปฐพี ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองถ้ำลึกลับแห่งนี้“เจ้ามาก็ดีแล้วซือฟง ข้ามิเคยนำพาผู้ใดมายังที่แห่งนี้เลยสักครั้ง มีเพียงเจ้าคนเดียว ที่ได้พบและเห็นมัน เจ้าชอบหรือไม่”หญิงสาวเอ่ยถามเขา พร้อมทั้งเดินออกมายังบริเวณลานกว้าง“ช่างน่าแปลกใจอย่างที
น่าแปลกใจที่วันถัดมา องค์ชายหลงเทียนทรงแวะมาเยี่ยมเยียนองค์ชายอวิ๋นหลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสหายกัน แต่ทุกอย่างมิได้รู้สึกไว้ใจกันเสียทีเดียว มันเป็นการเจริญสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรัชทายาท ที่ยังต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันต่อไป“ขอประทานอภัยด้วยองค์ชายอวิ๋นหลง ที่ข้ามิได้เข้ามาสนทนากับท่านนานแล้ว ครั้งท้ายสุด เห็นทีว่าจะเป็นวันแรกที่ท่านจากบ้านเมืองมาใช่หรือไม่”องค์ชายหลงเทียนทรงไต่ถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาหวังว่าองค์ชายแห่งแคว้นหลู่ก็คงตอบรับไมตรีนี้เช่นกัน“เป็นดั่งเช่นท่านกล่าวมานั่นแหละองค์ชาย ข้าเป็นอาคันตุกะต่างเมือง เวลานี้ยังมิได้ไปเที่ยวชมที่ใดมากนัก เกรงว่าจังหวะและเวลาคงมิได้อำนวยเสียทีเดียว ในเมื่อบ้านเมืองของท่านระส่ำระสายถึงเพียงนี้ ข้าก็คงต้องอยู่ในตำหนักตามเดิม”องค์ชายอวิ๋นหลงทรงพักจิบชาที่ทำจากเปลือกไม้หอม กลิ่นที่ส่งมาช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก เขาผายมือให้อีกฝ่ายลองลิ้มรสที่น่าอัศจรรย์นี้“ชารสดีจากแคว้นหลู่ ใบชาชั้นดีผสมกับเปลือกอบเชย เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเชียวนะ ข้าอยากให้ท่านลิ้มลองสักครั้ง ได้โปรดให้เกียรติข้าด้วยองค์ชายหลงเทียน”“เยี่ยมมากองค์ชาย ถ้าเช่นนั้นข้า
หานฮูหยินยกเรื่องราวอันน่าสะเทือนขวัญมาตักเตือนบุตรสาว “เดินทางช่วงนี้มีแต่เสียเปรียบนะลูกรัก ถึงเจ้าจะมิได้กลัว แต่แม่นั้นหวั่นในใจยิ่ง เราหาทางส่งข่าวสารให้พ่อเจ้ามิได้หรือ นกพิราบสื่อสารนั่นอย่างไร ข้าเห็นจวนของนายท่านกรมการยุทธโธปกรณ์ ก็ส่งสารกันโดยใช้วิธีนั้นอยู่บ้าง”“ท่านแม่เจ้าคะ อย่าได้ห่วงข้าเลย”หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือของมารดาเพื่อปลอบใจ “ข้าทราบดีว่าท่านเป็นห่วง แต่หากว่าเราอยู่เฉยเช่นนี้ หามีเรื่องที่ดีแน่ ท่านแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกเคยบอกว่าอย่างไร เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว หากตระกูลหานของเราไม่ทันระวังตนเอง ชื่อเสียงก็จะหมดสิ้นไปนะเจ้าคะ อีกอย่างการสื่อสารด้วยนกพิราบตามอย่างจวนอื่น ก็มิได้มีการปรึกษาใด ๆ ข้าไปด้วยตัวเองจะดีกว่ามากเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย” นางปลอบใจมารดา“แล้วนี่เจ้าจะเดินทางไปตามลำพังเช่นนั้นหรือ เห้อ! ข้ารู้สึกกลุ้มใจเสียจริง ไม่เอาแล้ว ๆ แม่ไม่ให้เจ้าไปหรอกนะหลินเอ๋อร์” ทว่ามารดายังทำใจมิได้ เพราะเกรงกลัวโจรร้ายตามทางจะพรากชีวิตบุตรสาวของนางไปชั่วกาล เวลานี้หานฮูหยินน้ำตารื้นขึ้นมาปรกตา“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้เดินทางไปแต่เพียงผู้เดียวหรอกเจ้าค่ะ ข้ายั
“หาใช่ที่ใดก็มียาพิษไม่ ข้าจะแสดงให้ดูว่ายาพิษกัดกร่อนกระดูกมันเป็นเช่นไร เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี”เขานำเข็มเงินหนึ่งเล่มออกมาชี้ตรงหน้า ก่อนจะรินน้ำชานั่นใส่ในจอกสีขาว แล้วนำเข็มเงินวาววับจุ่มลงไปครึ่งเล่ม เพียงแค่พริบตาเดียวเข็มที่เปล่งประกายกลับเปลี่ยนเป็นสีดำที่เศร้าหมอง เหมือนชีวิตที่ดับแสงเทียน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นผุยผงไปจนสิ้น เข็มเงินเล่มนั้นแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนมันจะปลิวไปตามลมที่พัดพาทุกสิ่งไปในห้วงอันธกาล“เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าพิษนี้มันช่างร้ายแรงยิ่งนัก ข้าจะให้ทหารมาทำความสะอาดพื้นที่แห่งนี้เสีย และห้ามผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด ส่วนเจ้าก็อยู่แต่ในส่วนของจวนเถอะ อย่าได้ออกมาข้างนอกเลย เวลานี้ช่างอันตรายเจ้าต้องเชื่อข้า” ซ่งซือฟงสบตาของนางเขม็ง เขาถือวิสาสะจับท่อนแขนสองข้างของนาง“รับปากข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าขอร้อง ตอนนี้แม้แต่ในราชวังยังวุ่นวายนัก ถนนหนทางต่างเหมือนแดนสนธยา มีคนตายเกิดขึ้นมากมาย เจ้ามิควรต้องออกไปไหน”“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีการนองเลือดที่ไหนบ้าง ในแคว้นหลู่อยู่ไปก็มิได้ปลอดภัย ครั้นเดินทางมาที่ฉางอัน ราชวงศ์ของเจ้าก็ยังมิปลอดภัยอีกหรือ” หานซู
เสียงของแข็งกระทบเข้ากับร่างกายของคน จนเกิดเสียงที่ไม่น่าฟัง นางเขวี้ยงสิ่งนั้นออกไป ก่อนที่คนร้ายจะทันบุกเข้าหาองครักษ์จากแคว้นหลู่ ทำให้มันล้มตึงลงกลางอากาศ จนกระทั่งซือฟงดึงมีดสั้นออกมาจากข้างตัว และปาใส่จนคนร้ายหญิงได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ หานซูหลินเข้ามาหาเขาและมองท่อนแขนที่เต็มไปด้วยโลหิตสีชาด มันซึมออกมาจากบาดแผล แม้เขาจะมีปลอกแขนอยู่แล้วก็ตาม“เจ้าเป็นอะไรไหมองครักษ์ เจ้าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” หานซูหลินประคองชายหนุ่มลงไปนั่งยังม้าหิน เขาหอบหายใจแรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบกับใบหน้างดงามของนาง“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร บาดแผลเพียงเท่านี้ มิอาจทำอันตรายข้าได้หรอกพระชายา” แม้จะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เลือดก็มิได้หยุดไหลลงสักนิด หานซูหลินพอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้าง หญิงสาวนำผ้าขาวบางซึ่งกรองตัวแป้งทำขนมออกมาดึง ให้มีด้านความยาวเพิ่มขึ้น ความกว้างนั้นเท่ากลางฝ่ามือ ก่อนจะดึงทึ้งมันเป็นสี่ส่วน“ข้าจะใช้ผ้านี้กดบาดแผลให้เจ้าก่อน พอเลือดหยุดไหลข้าจะนำยามาป้ายให้เจ้าอีกที เพื่อลดความเจ็บปวดของบาดแผลที่โดนเมื่อครู่ หวังว่าเจ้าจะทนได้นะท่านองครักษ์” หานซูหลินก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ชายหนุ่มอย่
หญิงสาวเอ่ยขออภัยต่อเขา ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด หานซูหลินเขินอาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้พิทักษ์องค์ชายแคว้นหลู่ ซึ่งเขาเองก็มีท่าทีมิได้ต่างกับนางเลย เขาเองก็ใบหูแดงไม่แพ้กัน“นี่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องให้ข้าอย่างไรล่ะ จน เกือบทำขนมอันล้ำค่าเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะผละออกจากนาง ซึ่งหานซูหลินเองยังมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี“ช่างเถอะ! ถือว่าข้ามิได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ ส่วนเจ้าก็ออกไปห่าง ๆ ข้าก็แล้วกัน” นางพูดจาแง่งอนใส่ พร้อมกับรับถาดขนมกลับมาวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม องครักษ์หนุ่มมิได้เข้าใจท่าทางของสตรีนัก เขายังคงจับตาดูสาวใช้คนใหม่อยู่อย่างมิวางตาแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่หานซูหลินก็มิได้ใส่ใจ นางเริ่มทำสิ่งเดิมต่อไป สาวใช้นำน้ำจากกามาผสมลงในขนมอีกส่วน นางบอกแก่หญิงสาวว่ารสหวานของแป้งมีน้อยเกินไป นางจึงต้องการผสมใหม่เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและหวานล้ำกว่านี้ แต่ทว่า…การกระทำของสาวใช้นั้นดูผิดแปลกไป ทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นแท้ ๆ แต่กลับรู้จักสัดส่วนของอาหาร ปกตินางคงมิใช่คนที่จ