“วันนี้ข้าจะประกาศเรื่องมงคลอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการเสกสมรสขององค์ชายหลงเทียน ซึ่งจะเป็นองค์ไท่จื่อในวาระถัดไป”
ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ตรัสสิ่งนั้นออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ พลางหันพระพักตร์มายังองค์ชายหลงเทียน
“วันนี้บุตรชายของข้าเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม และมีความปรีชาไม่น้อยไปกว่าข้าเลย เป็นอันว่าเขาน่าจะมีคู่ครองได้แล้ว และเขาก็มีว่าที่พระชายาที่รักมากอีกด้วย”
องค์ชายยังมีใบหน้าที่เรียบเฉย พลางหันมามองหานซูหลิน และสบตากับนาง โดยที่ยังคงมีแววตาซึ่งไม่สามารถเดาอะไรได้
“ท่านหลิวกงกง ไหนเจ้าลุกขึ้นว่าราชโองการให้ข้าอีกครั้งสิ”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีของราชวงศ์เปิดราชโองการฉบับถัดไป เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย พลางหันหน้ามามองหานซูหลิน ก่อนจะถอนหายใจหนึ่งช่วง
“พระราชโองการของฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ฉบับที่สอง ทรงมีคำสั่งให้องค์รัชทายาท องค์ชายหลงเทียน อภิเษกสมรสกับบุตรีของเสนาบดี เม่ยจือลั่ว ให้เป็นพระชายาอย่างถูกต้อง เพราะท่านเสนาบดีกรมการคลัง ได้ทำคุณงามความดีและปราบปรามกบฏของแผ่นดินเอาไว้ได้ จึงยกความดีความชอบในครั้งนี้ ให้เป็นการแต่งงาน ในอีกสามวันข้างหน้า
และทรงตัดสินใจปลดว่าที่พระชายาคนเดิม คือหานซูหลินออกอย่างเป็นทางการ”
“ขอให้ทุกคนรับรู้และรับราชโองการจากฮ่องเต้”
คนที่ตกใจที่สุดคงเป็นอดีตว่าที่พระชายาอย่างหานซูหลิน
ไม่นะ! ที่เม่ยเจียงฉี สมเพชข้าก็เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือ ข้าคงมิได้แต่งงานกับองค์ชายหลงเทียนอีกแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกันเล่า มิต้องกลายเป็นหญิงที่ไร้ที่พึ่งพิงสินะ
“และทรงรับสั่งให้หานซูหลิน สมรสกับองค์ชายต่างแคว้นเสีย เพื่อเป็นราชบรรณาการแก่แคว้นหลู่ และเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน จบราชโองการ”
ทันทีเมื่อคำประกาศสิ้นสุด องค์ชายหลงทียน และองค์ชายต่างแคว้น จึงลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพ และรับราชโองการนี้ในทันใด
“กระหม่อมรับราชโองการพะยะค่ะ”
แต่เรื่องเหล่านี้มันมิได้ยุติธรรมเลย สำหรับหานซูหลิน นางไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น การที่บิดานางถูกใส่ร้ายจนต้องติดคุก ไม่วายถูกประหารอย่างแน่แท้ จวนตระกูลหานถูกรื้อค้นจนไม่มีชิ้นดี เหล่าบริวารถูกไล่ให้ออกไปจากจวน ต่างหมดสิ้นหนทางทำมาหากิน เพราะเป็นสาวรับใช้ บ่าวรับใช้ในจวนกบฏ มารดาของตนก็กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน อ่อนแอไร้ทางสู้ มิได้อุดหนุนงานของสามีเลยสักนิด ฮูหยินตระกูลหานเป็นแค่สตรีที่เรียบร้อยและอ่อนโยน
ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนของคนชั่ว หานซูหลินก็มิอาจอยู่บนแผ่นดินฉางอันนี้ได้อีกต่อไป นางมิอยากได้ตำแหน่งพระชายาบรรณาการ นั่นแสดงว่าตนต้องเป็นเชลยของอาณาจักรฉางอันไปชั่วชีวิต อีกทั้งนางยังมิเคยพบเจอกับองค์ชายแคว้นลู่เลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะเหี้ยมโหดหรือไม่ เมื่อส่งนางไปยังแคว้นอื่น หานซูหลินก็อาจจะไปเป็นชายาเชลย และอาจต้องได้รับทุกข์ทนไปชั่วชีวิต หากเป็นเช่นนั้นการตายจากโลกนี้ไปคงจะดีเสียยิ่งกว่าเป็นแน่
“เจ้าต้องดีใจนะหานซูหลิน เมื่อเสด็จพ่อทรงยกโทษให้เจ้าเสียกึ่งหนึ่ง นั่นก็เพราะบิดาของเจ้า เคยกระทำคุณงานความดีเอาไว้ให้แก่ฉางอันแห่งนี้ แม้ผืนดินของแคว้นนี้จะมิได้ต้อนรับเจ้าแล้วก็ตามที ข้าคิดว่าเจ้าควรจะแสดงตนรับพระราชโองการโดยไว”
คำพูดขององค์ชายหลงเทียนช่างทิ่มแทงจิตใจหานซูหลินนัก ถึงแม้เขาจะมิได้ต้องการนางอีกแล้ว แต่หญิงสาวก็เข่าอ่อนจนมิอาจพยุงตัวเองลุกขึ้นได้ ยิ่งสายตาเศร้าสร้อยของนางเหลือบไปเห็น พระชายาคนใหม่ขององค์ชายหลงเทียน ยิ่งทำให้ตนเองอยากกัดลิ้นตายไปเสียสิ้น
“ได้โปรดลุกขึ้นเถิดหานซูหลิน หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ ก็จงเอ่ยปากรับราชโองการนี้”
เสนาบดีหนึ่งในบริเวณนั้นเอ่ยขึ้น เพราะเจายังหวังดีกับบุตรสาวของเสนาบดีกรมการยุติธรรม จึงไม่อยากให้นางต้องมาจบชีวิตลงตายไปเหมือนกับบิดาของตนเอง
แต่คนอย่างหานซูหลินมิได้อยากมีลมหายใจอยู่บนแผ่นดินนี้อีกแล้ว นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลุกขึ้นประจัญหน้าอย่างห้าวหาญ และย่างก้าวเข้าไปยืนต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ หย่งเจิ้น และฮองเฮา ในเวลานี้น้ำตาของหญิงสาวหยดลงอาบแก้มเรื่อ สายตาของหานซูหลินบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง และไม่เข้าใจการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมนี้เลย
“ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันมิอาจยินดีรับราชโองการที่พระองค์ทรงประทานให้ได้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงให้อภัยหม่อมฉัน และทรงยินดีที่จะส่งหม่อมฉันสู่แคว้นลู่อันยิ่งใหญ่ แต่มิอาจเทียบเทียมฉางอันแห่งนี้ แต่หม่อมฉันขอยืนยันว่าไม่อาจทำเช่นที่พระองค์ต้องการได้”คำพูดของนาง ทำให้ทุกคนต้องตกใจ และนิ่งงัน พร้อมกับคิด ว่าสตรีนางนี้คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเป็นแน่ จึงได้เอ่ยเช่นนั้นออกไปต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้“เจ้าจะขัดคำสั่งข้าเช่นนั้นหรือ บุตรสาวของกบฏแผ่นดิน จะโต้แย้งอันใดกับข้า เจ้ารู้ว่าไม่มีสิทธิ์นั้นให้กับเจ้าแน่ ยังจะยืนเทียบเสมอตัวเช่นนี้อีก”“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ว่ามิอาจขัดราชโองการขององค์ฮ่องเต้ได้ แต่หม่อมฉันก็อยากบอกกับพระองค์ว่า หม่อมฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับองค์ชายต่างแคว้น หรือแม้แต่บุรุษผู้ใดในใต้หล้านี้!”หานซูหลินเอ่ยวาจาอันแข็งกร้าวใส่ผู้ครองแผ่นดิน จนเขาต้องตบพนักพิงดังลั่น ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นพร้อมชี้หน้าหญิงผู้สามหาว และไม่หวั่นเกรงต่อโทษทัณฑ์“เจ้าบังอาจนัก!! บุตรสาวของกรมการยุติธรรม เจ้าไม่ชอบใจในการตัดสินโทษอันน้อยนิดของเจ้าเช่นนั้นหรือ ข้านึกว่านี่คือการลดโทษของพวกเจ้าลงมากแล้ว ข้าสั่
หานซูหลินล้มตึงลงไปท่ามกลางผู้คนนับร้อย ในงานเลี้ยงสำคัญของราชวงศ์ที่ทรยศต่อตนเอง หญิงสาวไม่อาจรับรู้ความเป็นไปหลังจากนั้นได้ แม้แต่เสียงที่ได้ยินก็พลันดับวูบลงไปเสียสนิท ยาพิษร้ายแรงทำลายประสาททั้งห้าของนางอย่างไม่รีรอ แม้ในขณะห้วงสุดท้ายของคำพูดที่ได้ยินรำไร นางก็ไม่อาจล่วงรู้ว่ามีใครสักคนที่ร่ำร้องขานชื่อของนางอยู่ตรงหน้า เขาคือผู้ใดกัน… อดีตพระชายาที่ไร้ค่าเช่นนี้ จะมีใครกันเล่าที่ปรารถนา…หานซูหลิน อดีตพระชายาของอาณาจักรฉางอันที่รุ่งเรือง ได้สิ้นชีพลงไปแล้วจากการดื่มพิษแมงมุมแม่หม้ายดำ ที่ไม่รู้ว่าใครส่งมอบให้กับนาง แม้จะชอกช้ำใจสักเพียงใด แต่การดื่มยาพิษย้อมใจนี่มันก็ร้ายแรงเกินไปสำหรับตนเอง“นี่ข้าตายแล้วหรือ ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าตายไปแล้วจริง ๆ”หญิงสาวยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาพิศดู ก็เห็นว่ามันมีสีที่ซีดขาว อีกทั้งบนผิวหนังซีดเผือดนั้นกลับมีเส้นเลือดสีดำ แผ่ขยายไปจนครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในกาย หาได้มีส่วนใดที่ดูดีสักนิด บรรยากาศรอบกายก็พลันหม่นหมอง มีกลุ่มควันสีดำรายล้อมอยู่รอบด้านเต็มไปหมด นางไม่เคยนึกถึงเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ในวันที่ชีพจรดับสูญจนมิอาจฟื้นคืนทุกอย่างได้ จะม
หานซูหลินหลับตาลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลริน การร้องขอความเห็นใจของนาง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้น ไฟจากนรกมอดไหม้ลง พร้อมกับพื้นที่แห่งนั้นกลับมาสงบอีกครั้ง กายที่โปร่งบางเมื่อครู่ก็พลันกลับเข้าสู่กายเนื้อ จนบัดนี้หญิงสาวหาได้มีเส้นเลือดดำติดอยู่ที่ตัวอีกแล้ว นางยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจและยินดีในคราเดียวกัน“ข้าคงไม่ตายซ้ำซ้อนอีกใช่หรือไม่ แล้วผู้ใดกันที่เข้ามาช่วยเหลือวิญญาณของข้าในครั้งนี้กันนะ” นางมีเวลาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย ก่อนที่สุรเสียงลึกลับจะปรากฎดังอยู่รอบทิศทาง“หานซูหลิน! บัดนี้เจ้าได้รับโอกาสที่สอง ตามที่ได้ร้องขอเอาไว้กับข้า จงรับมันเอาไว้ซะ!!” เสียงปริศนาที่ปรากฏขึ้น ทำให้นางหันดูรอบกาย ทั้งในที่สูงรวมสี่ทิศ และเบื้องล่างในแอ่งน้ำตรงหน้า แต่นางกลับไม่พบกับสิ่งใดทั้งนั้น“เจ้าเป็นใครกัน ใยถึงช่วยเหลือข้า แล้วข้าต้องแลกกับสิ่งใดหรือไม่”เสียงของนางดังก้องอบอวลไปทั่ว มันสะท้อนกลับเข้าสู่โสตประสาทของนาง จนทำให้หญิงสาวต้องใช้ฝ่ามืออุดหูเอาไว้“เจ้าไม่ต้องแลกสิ่งใดทั้งสิ้น จงมองภาพเหล่านี้ซะ!!”แม้เสียงในสายลมจะบอกว่าให้ดูภาพเสีย แต่หานซูหลินหาได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แม้แต่หรี่
เจ้าของร่างในอากาศคำรามออกมา ทำให้นางต้องรีบอุดใบหูที่เหมือนกับว่าโลหิตจะหลั่งออกมาจากภายในกายเสียให้จงได้ เสียงนั้นมีพลานุภาพอย่างที่ตนเองก็มิเคยได้พบเจอมาก่อน “ขะ…ข้า ข้าขออภัยต่อท่านผู้ทรงอำนาจ ข้าน้อยอยากเห็นว่าท่านมีร่างกายหรือไม่”“เจ้าจึงคิดจะแตะต้องกายข้าเช่นนั้นหรือ หึหึ! ช่างน่าขันเสียเหลือเกินเจ้าเด็กน้อย แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะมิได้คำตอบอันใด”“เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเถิด”“เจ้าค่ะ ท่านผู้ทรงอำนาจ”“การตายของเจ้ามีผลต่ออาณาจักรฉางอันอย่างยิ่งยวด ที่แผ่นดินต้องล่มสลายเร็วกว่ากำหนดในอีกสองร้อยปีข้างหน้า มันทำให้วงจรของห้วงเวลาผิดเพี้ยน และเจ้าจะต้องรับผิดชอบ เพราะมันเกิดขึ้นจากการตายของเจ้า! ขอให้รู้เอาไว้เสีย หานซูหลิน!”“ไม่จริงเจ้าค่ะ ข้ามิใช่เบี้ยตัวใดในแผ่นดินฉางอัน ข้ามิได้มีอำนาจ หากข้าตายไปก็เหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวเพียงเท่านั้น ข้าไม่สามารถเข้าใจที่ท่านบอกกล่าวนี้ได้”หานซูหลินยังคงปฎิเสธไม่เว้นวาง นางได้ทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ แม้ครุ่นคิดเช่นไรตนเองก็ไม่อาจพบต้นตอนั้นเลย“ข้าจะให้เจ้าจดจำภาพที่ผ่านสายตาเมื่อครู่ จงจำไว้ให้ดีเชียวล่ะ”“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ทำไมข้าต้องทำเช่นนั
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านกลับมาจากราชการอันเหน็ดเหนื่อย ได้โปรดเชิญนั่งก่อน ข้าจะเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติให้ท่านพี่นะเจ้าคะ”ฮูหยิน หรงซื่อเหม่ย เดินเข้ามาหาสามีซึ่งเป็นเสนาบดีกรมการยุติธรรม เขาได้ว่าความที่ศาลแห่งเมืองต้าเซิ่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปสักประมาณสิบลี้เห็นจะได้ หานเจียจิ้ง เป็นสามีที่ทรงความยุติธรรมที่สุดแล้วในแผ่นดินฉางอันแห่งนี้ ในทุกครั้งที่มีงานสำเร็จราชการ เพื่อว่าความในคดีต่าง ๆ เขาจะเดินทางไปยังเมืองต้าเซิ่นเพื่อทำงานอันยุติธรรม ตัดสินคดีทุกอย่างในแผ่นดินแห่งนี้ แม้จะมีศาลอีกสองสามที่ก็ตามที แต่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และเที่ยงธรรมที่สุด เห็นทีจะมิได้พ้นศาลแห่งนี้“ช่วยเอาหนังสือพวกนี้ไปเก็บที หลิวเยี่ย วันนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”ชายวัยกลางคนบอกกับบันฑิตหลิว ซึ่งตอนนี้เป็นคนสนิทของเขา ขอแรงให้ช่วยนำเอกสารสำคัญไปเก็บไว้ภายในห้องหนังสือ ซึ่งมันคือห้องทำงานของเขาด้วยเช่นกัน“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ การว่าความที่มีเรื่องราวให้ปวดหัวแทบทุกวันเช่นนี้ ข้าเกรงว่าท่านพี่จะทำไม่ไหวในสักวันหนึ่งเจ้าคะ”ฮูหยินหรงซื่อเหม่ย ห่วงใยในตัวของสามี นางเป็นสตรีที่ดี มีความรักสามีเสียจนหาหญิงใดใน
“ท่านพี่เจ้าคะ เมื่อคืนสาวใช้บอกว่านางมีไข้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นหรือยัง อีกอย่างหนึ่งนางเอาแต่ละเมอ และกรีดร้องในยามราตรี ข้าเป็นห่วงลูกสาวของเรามากเหลือเกิน ปกตินางก็ร่าเริงสดใสดี ยังคงชื่นชมดอกไม้งามตามประสาเด็กสาวแรกรุ่นอยู่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินบอกแก่สามี ทำให้เขาต้องรีบลุกจากเก้าอี้ตัวโปรด เพื่อเข้าไปดูบุตรสาวในหอนอน“ไหนข้าขอเข้าไปดูหานซูหลินหน่อย นางต้องได้รับการปลอบใจจากฝันที่ร้ายกาจนั่น เจ้าหลีกไปเสียสาวใช้!”“เจ้าค่ะนายท่าน คุณหนูฟื้นแล้ว นางอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานเจ้าของจวน ก่อนที่จะขยับตัวออกมาจากหน้าประตูหอนอนของหานซูหลิน“ซูหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ เห็นแม่เจ้าบอกว่าลูกของพ่อไม่สบายเช่นนั้นหรือ” เขาก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะพบว่าลูกสาวของตนนั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่ก่อนแล้ว“ท่านพ่อ!! ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับท่านอีก! ฮือ ๆ”เมื่อเห็นบิดาของตนเดินเข้ามา นางก็เข้าไปสวมกอด และร้องให้ปริ่มจะขาดใจ นางได้กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่จ้าวแห่งความมืดได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ น้ำตาของหญิงสาวยังคงไหลอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง“ข้านึกว่าจะมิได้พบพานท่านพ่อกับท่านแม่อีกแล้ว ขอบคุณสวรรค์จริง
“เอาละ เพื่อความสบายใจของฮูหยิน ข้าจะรับฟังเจ้าก็แล้วกันหลินเอ๋อร์ ไหนว่ามาสิ”บิดานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว ในเวลานี้หานซูหลินแต่งตัวเสร็จแล้ว นางนุ่งห่มอาภรณ์ด้วยสีขาวมุก ประดับปิ่นปักผมพร้อมกับเครื่องทองและทับทิมบนศีรษะ แต่งแต้มลวดลายระหว่างหน้าผาก เป็นรูปดอกบัวสีชาดสามกลีบ ก่อนจะเข้าพบบิดาในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา“ท่านพ่อ หากข้ากล่าวอ้างถึงความฝัน ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ ได้โปรดบอกข้ามาก่อน มิเช่นนั้นข้าอาจเป็นบุตรที่ท่านคิดว่าเพ้อเจ้อ แต่ข้ามิอยากให้ท่านคิดเป็นแบบอื่นเจ้าค่ะ”นางถูกบิดาเชิญให้นั่งลงก่อน ครานี้บุตรสาวของตนมีท่าทางแปลกไปกว่าเดิม หานซูหลินคนก่อนมิได้ห้าวหาญเช่นนี้ นางมีความอ่อนหวาน และอ่อนโยนดั่งเช่นสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี เพื่อเข้ารับตำแหน่งพระชายาขององค์ไท่จื่อ นี่นางแปลกไปเพราะเหตุอันใดกัน…“ไหนเจ้าลองว่ามา ข้าจะเป็นคนบอกเองว่าเจ้าฟั่นเฟือนหรือไม่”“ท่านพ่อ! หากท่านสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีเสนาบดีฝ่ายค้านอยู่หลายคนทีเดียว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นปฎิปักษ์กับท่านใช่หรือไม่”“จ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าไปสืบเรื่องราวในวังมาหรือไร ช่างเก่งเกินสตรีไปแล้วหานซูหลิน”หานเจ
“เจ้าดูนี่สิ! ข้าได้รับคำเชิญ เพื่อให้เข้าร่วมงานในราชวัง ตามที่ฮ่องเต้ส่งมา ตระกูลหานของเราต้องเข้าร่วมในครั้งนี้ และเจ้าจะต้องเตรียมตัวเอาไว้หลินเอ๋อร์ เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญในงานนี้ด้วยเช่นกัน หานซูหลิน ผู้เป็นว่าที่พระชายา ในองค์ชายรัชทายาทหลงเทียน วันนี้จงบอกกล่าวมารดาของเจ้า ให้ตระเตรียมชุดที่สวยงาม พร้อมทั้งของขวัญชิ้นใหญ่ เพื่อส่งมอบให้องค์ชายแคว้นหลู่ ด้วย” หานเจียจิ้งออกคำสั่งแก่บุตรสาว นางยังมิได้รู้เลยว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการซ้ำรอยในตอนที่ได้รับยาพิษหรือไม่“งานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายต่างแคว้นหรือเจ้าคะท่านพ่อ” นางถามออกมาด้วยความสงสัย“ใช่แล้วล่ะ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพยัคฆ์ขาว แห่งแคว้นทางเหนือ ทรงเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองฉางอันของเรา เนื่องจากว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่สุดในแผนที่ และมีเหล่าไพร่พลทหาร รวมทั้งแม่ทัพที่เก่งกาจอยู่มากมายนัก แคว้นหลู่จึงมิอาจต่อการได้ จึงคิดหาหนทางเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดี ให้เกิดขึ้นแก่แคว้นตนเอง นับว่าฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นมีความฉลาดปราญเปรื่องยิ่งนัก”“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะให้บิดา“อีกสองวันงานจะเกิดขึ้น เจ้
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน
“เรื่องอันใด ข้าคงตอบเจ้าได้หากเกิดคำถามขึ้นมาแล้ว”“เจ้าทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เรื่องที่ต่อไปจะเกิดการกบฎขึ้น ข้ารู้สึกสงสัย เพราะก่อนหน้าที่จะมีการซ่องสุมโจรผู้ร้าย เจ้าก็เคยบอกข้าว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วก็เป็นจริง ครานี้เจ้าบอกข้าว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง เจ้าก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครอยู่เนือง ๆ อีกทั้งยังบอกกล่าวบิดาให้ซ่อนตัวเพื่อพ้นภัยอันตรายอีกด้วย หรือว่าเจ้ามี…”เขาชะงักคำพูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดสิ่งใดออกมา“ข้ามีลางสังหรณ์น่ะ เจ้าจะบอกเช่นนี้หรือไม่ซือฟง”“ใช่แล้วหลินเอ๋อร์ ข้าเพียงแต่นึกคำนั้นไม่ออก เจ้ามีความพิเศษนี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิได้สงสัยอันใดแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า ความพิเศษของสตรีนั้นมีคำเล่าขานมาอย่างยาวนาน หากว่าสตรีใดที่มีลางบอกเหตุ ก็จงเชื่อฟังนาง โดยเฉพาะหากเป็นคนที่รักแล้วยิ่งต้องเชื่อ โดยมิต้องมีคำโต้แย้ง มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”“นี่เจ้าจะบอกอะไรข้า เจ้านี่นะช่างเล่นคำเสียเหลือเกิน” บางทีนางอยากจะแกล้งโง่บ้าง เมื่อเขาพูดจาทำให้นางมีริ้วแก้มแดงเพราะเลือดฝาด “ข้าจะออกไปก่อน เชิญเจ้าคิดอะไรต่อไปให้พอเถอะ!”“เดี๋ยวก่อนสิหลินเอ๋อร์ เจ้
องค์ชายอวิ๋นหลงรีบควบม้าศึกประจำตัว ห้อตะบึงลู่ลมมายังสถานที่นัดพบของพวกเขาทั้งสองคน หวังว่าหานซูหลินยังคงรอคอยเขาอยู่ที่เดิม ความจริงที่ว่าเขาคิดถึงนางยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นคือเรื่องที่มิอาจเสแสร้งได้เลยองค์ชายอวิ๋นหลงผูกม้าเอาไว้หน้าถ้ำน้ำตก เขาเร้นกายเข้าไปสู่จุดหมายด้านในอย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่ลึกเข้าไปนับลมหายใจได้แทบพันครั้ง เขาก็พบเจอกับหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนธิดาสวรรค์บนพื้นแผ่นดิน กำลังนั่งรอเขาอยู่ กลางสวนดอกไม้และทุ่งหญ้าเรืองแสงเปล่งประกาย ภายใต้ความมืดทึบ ที่ตรงนี้ช่างสว่างไสวยิ่งนัก ซึ่งเขามิเคยรู้มาก่อนสักนิด จนกระทั่งหานซูหลินนำทางเขามาในวันนี้ นางบอกในจดหมายว่าให้เขาเดินเข้ามายังจุดที่ลึกสุดภายในถ้ำ ก็จะพบเจอกับนางที่รอคอยตรงใจกลางถ้ำน้ำพุ“ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีจุดนัดพบเช่นนี้เกิดขึ้นในปฐพี ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักหญิงสาว ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองถ้ำลึกลับแห่งนี้“เจ้ามาก็ดีแล้วซือฟง ข้ามิเคยนำพาผู้ใดมายังที่แห่งนี้เลยสักครั้ง มีเพียงเจ้าคนเดียว ที่ได้พบและเห็นมัน เจ้าชอบหรือไม่”หญิงสาวเอ่ยถามเขา พร้อมทั้งเดินออกมายังบริเวณลานกว้าง“ช่างน่าแปลกใจอย่างที
น่าแปลกใจที่วันถัดมา องค์ชายหลงเทียนทรงแวะมาเยี่ยมเยียนองค์ชายอวิ๋นหลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสหายกัน แต่ทุกอย่างมิได้รู้สึกไว้ใจกันเสียทีเดียว มันเป็นการเจริญสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรัชทายาท ที่ยังต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันต่อไป“ขอประทานอภัยด้วยองค์ชายอวิ๋นหลง ที่ข้ามิได้เข้ามาสนทนากับท่านนานแล้ว ครั้งท้ายสุด เห็นทีว่าจะเป็นวันแรกที่ท่านจากบ้านเมืองมาใช่หรือไม่”องค์ชายหลงเทียนทรงไต่ถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาหวังว่าองค์ชายแห่งแคว้นหลู่ก็คงตอบรับไมตรีนี้เช่นกัน“เป็นดั่งเช่นท่านกล่าวมานั่นแหละองค์ชาย ข้าเป็นอาคันตุกะต่างเมือง เวลานี้ยังมิได้ไปเที่ยวชมที่ใดมากนัก เกรงว่าจังหวะและเวลาคงมิได้อำนวยเสียทีเดียว ในเมื่อบ้านเมืองของท่านระส่ำระสายถึงเพียงนี้ ข้าก็คงต้องอยู่ในตำหนักตามเดิม”องค์ชายอวิ๋นหลงทรงพักจิบชาที่ทำจากเปลือกไม้หอม กลิ่นที่ส่งมาช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก เขาผายมือให้อีกฝ่ายลองลิ้มรสที่น่าอัศจรรย์นี้“ชารสดีจากแคว้นหลู่ ใบชาชั้นดีผสมกับเปลือกอบเชย เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเชียวนะ ข้าอยากให้ท่านลิ้มลองสักครั้ง ได้โปรดให้เกียรติข้าด้วยองค์ชายหลงเทียน”“เยี่ยมมากองค์ชาย ถ้าเช่นนั้นข้า
หานฮูหยินยกเรื่องราวอันน่าสะเทือนขวัญมาตักเตือนบุตรสาว “เดินทางช่วงนี้มีแต่เสียเปรียบนะลูกรัก ถึงเจ้าจะมิได้กลัว แต่แม่นั้นหวั่นในใจยิ่ง เราหาทางส่งข่าวสารให้พ่อเจ้ามิได้หรือ นกพิราบสื่อสารนั่นอย่างไร ข้าเห็นจวนของนายท่านกรมการยุทธโธปกรณ์ ก็ส่งสารกันโดยใช้วิธีนั้นอยู่บ้าง”“ท่านแม่เจ้าคะ อย่าได้ห่วงข้าเลย”หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือของมารดาเพื่อปลอบใจ “ข้าทราบดีว่าท่านเป็นห่วง แต่หากว่าเราอยู่เฉยเช่นนี้ หามีเรื่องที่ดีแน่ ท่านแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกเคยบอกว่าอย่างไร เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว หากตระกูลหานของเราไม่ทันระวังตนเอง ชื่อเสียงก็จะหมดสิ้นไปนะเจ้าคะ อีกอย่างการสื่อสารด้วยนกพิราบตามอย่างจวนอื่น ก็มิได้มีการปรึกษาใด ๆ ข้าไปด้วยตัวเองจะดีกว่ามากเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย” นางปลอบใจมารดา“แล้วนี่เจ้าจะเดินทางไปตามลำพังเช่นนั้นหรือ เห้อ! ข้ารู้สึกกลุ้มใจเสียจริง ไม่เอาแล้ว ๆ แม่ไม่ให้เจ้าไปหรอกนะหลินเอ๋อร์” ทว่ามารดายังทำใจมิได้ เพราะเกรงกลัวโจรร้ายตามทางจะพรากชีวิตบุตรสาวของนางไปชั่วกาล เวลานี้หานฮูหยินน้ำตารื้นขึ้นมาปรกตา“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้เดินทางไปแต่เพียงผู้เดียวหรอกเจ้าค่ะ ข้ายั
“หาใช่ที่ใดก็มียาพิษไม่ ข้าจะแสดงให้ดูว่ายาพิษกัดกร่อนกระดูกมันเป็นเช่นไร เจ้าจงระวังเอาไว้ให้ดี”เขานำเข็มเงินหนึ่งเล่มออกมาชี้ตรงหน้า ก่อนจะรินน้ำชานั่นใส่ในจอกสีขาว แล้วนำเข็มเงินวาววับจุ่มลงไปครึ่งเล่ม เพียงแค่พริบตาเดียวเข็มที่เปล่งประกายกลับเปลี่ยนเป็นสีดำที่เศร้าหมอง เหมือนชีวิตที่ดับแสงเทียน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นผุยผงไปจนสิ้น เข็มเงินเล่มนั้นแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนมันจะปลิวไปตามลมที่พัดพาทุกสิ่งไปในห้วงอันธกาล“เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าพิษนี้มันช่างร้ายแรงยิ่งนัก ข้าจะให้ทหารมาทำความสะอาดพื้นที่แห่งนี้เสีย และห้ามผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด ส่วนเจ้าก็อยู่แต่ในส่วนของจวนเถอะ อย่าได้ออกมาข้างนอกเลย เวลานี้ช่างอันตรายเจ้าต้องเชื่อข้า” ซ่งซือฟงสบตาของนางเขม็ง เขาถือวิสาสะจับท่อนแขนสองข้างของนาง“รับปากข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าขอร้อง ตอนนี้แม้แต่ในราชวังยังวุ่นวายนัก ถนนหนทางต่างเหมือนแดนสนธยา มีคนตายเกิดขึ้นมากมาย เจ้ามิควรต้องออกไปไหน”“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีการนองเลือดที่ไหนบ้าง ในแคว้นหลู่อยู่ไปก็มิได้ปลอดภัย ครั้นเดินทางมาที่ฉางอัน ราชวงศ์ของเจ้าก็ยังมิปลอดภัยอีกหรือ” หานซู
เสียงของแข็งกระทบเข้ากับร่างกายของคน จนเกิดเสียงที่ไม่น่าฟัง นางเขวี้ยงสิ่งนั้นออกไป ก่อนที่คนร้ายจะทันบุกเข้าหาองครักษ์จากแคว้นหลู่ ทำให้มันล้มตึงลงกลางอากาศ จนกระทั่งซือฟงดึงมีดสั้นออกมาจากข้างตัว และปาใส่จนคนร้ายหญิงได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ หานซูหลินเข้ามาหาเขาและมองท่อนแขนที่เต็มไปด้วยโลหิตสีชาด มันซึมออกมาจากบาดแผล แม้เขาจะมีปลอกแขนอยู่แล้วก็ตาม“เจ้าเป็นอะไรไหมองครักษ์ เจ้าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” หานซูหลินประคองชายหนุ่มลงไปนั่งยังม้าหิน เขาหอบหายใจแรง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบกับใบหน้างดงามของนาง“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร บาดแผลเพียงเท่านี้ มิอาจทำอันตรายข้าได้หรอกพระชายา” แม้จะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เลือดก็มิได้หยุดไหลลงสักนิด หานซูหลินพอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้าง หญิงสาวนำผ้าขาวบางซึ่งกรองตัวแป้งทำขนมออกมาดึง ให้มีด้านความยาวเพิ่มขึ้น ความกว้างนั้นเท่ากลางฝ่ามือ ก่อนจะดึงทึ้งมันเป็นสี่ส่วน“ข้าจะใช้ผ้านี้กดบาดแผลให้เจ้าก่อน พอเลือดหยุดไหลข้าจะนำยามาป้ายให้เจ้าอีกที เพื่อลดความเจ็บปวดของบาดแผลที่โดนเมื่อครู่ หวังว่าเจ้าจะทนได้นะท่านองครักษ์” หานซูหลินก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ชายหนุ่มอย่
หญิงสาวเอ่ยขออภัยต่อเขา ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด หานซูหลินเขินอาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้พิทักษ์องค์ชายแคว้นหลู่ ซึ่งเขาเองก็มีท่าทีมิได้ต่างกับนางเลย เขาเองก็ใบหูแดงไม่แพ้กัน“นี่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องให้ข้าอย่างไรล่ะ จน เกือบทำขนมอันล้ำค่าเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะผละออกจากนาง ซึ่งหานซูหลินเองยังมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี“ช่างเถอะ! ถือว่าข้ามิได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ ส่วนเจ้าก็ออกไปห่าง ๆ ข้าก็แล้วกัน” นางพูดจาแง่งอนใส่ พร้อมกับรับถาดขนมกลับมาวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม องครักษ์หนุ่มมิได้เข้าใจท่าทางของสตรีนัก เขายังคงจับตาดูสาวใช้คนใหม่อยู่อย่างมิวางตาแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่หานซูหลินก็มิได้ใส่ใจ นางเริ่มทำสิ่งเดิมต่อไป สาวใช้นำน้ำจากกามาผสมลงในขนมอีกส่วน นางบอกแก่หญิงสาวว่ารสหวานของแป้งมีน้อยเกินไป นางจึงต้องการผสมใหม่เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและหวานล้ำกว่านี้ แต่ทว่า…การกระทำของสาวใช้นั้นดูผิดแปลกไป ทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นแท้ ๆ แต่กลับรู้จักสัดส่วนของอาหาร ปกตินางคงมิใช่คนที่จ