“ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันมิอาจยินดีรับราชโองการที่พระองค์ทรงประทานให้ได้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงให้อภัยหม่อมฉัน และทรงยินดีที่จะส่งหม่อมฉันสู่แคว้นลู่อันยิ่งใหญ่ แต่มิอาจเทียบเทียมฉางอันแห่งนี้ แต่หม่อมฉันขอยืนยันว่าไม่อาจทำเช่นที่พระองค์ต้องการได้”
คำพูดของนาง ทำให้ทุกคนต้องตกใจ และนิ่งงัน พร้อมกับคิด ว่าสตรีนางนี้คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเป็นแน่ จึงได้เอ่ยเช่นนั้นออกไปต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้
“เจ้าจะขัดคำสั่งข้าเช่นนั้นหรือ บุตรสาวของกบฏแผ่นดิน จะโต้แย้งอันใดกับข้า เจ้ารู้ว่าไม่มีสิทธิ์นั้นให้กับเจ้าแน่ ยังจะยืนเทียบเสมอตัวเช่นนี้อีก”
“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ว่ามิอาจขัดราชโองการขององค์ฮ่องเต้ได้ แต่หม่อมฉันก็อยากบอกกับพระองค์ว่า หม่อมฉันจะไม่ยอมแต่งงานกับองค์ชายต่างแคว้น หรือแม้แต่บุรุษผู้ใดในใต้หล้านี้!”
หานซูหลินเอ่ยวาจาอันแข็งกร้าวใส่ผู้ครองแผ่นดิน จนเขาต้องตบพนักพิงดังลั่น ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นพร้อมชี้หน้าหญิงผู้สามหาว และไม่หวั่นเกรงต่อโทษทัณฑ์
“เจ้าบังอาจนัก!! บุตรสาวของกรมการยุติธรรม เจ้าไม่ชอบใจในการตัดสินโทษอันน้อยนิดของเจ้าเช่นนั้นหรือ ข้านึกว่านี่คือการลดโทษของพวกเจ้าลงมากแล้ว ข้าสั่งประหารบิดาเจ้าก็เพราะเขาทำผิดร้ายแรง อันหมายถึงการปองร้ายข้า ส่วนเจ้ากับมารดา ข้าลดหย่อนโทษให้โดยการที่ปล่อยมารดาเจ้าไปสู่ถิ่นฐานเดิม และห้ามกลับเข้ามาในฉางอันอีกชั่วชีวิต!
ส่วนเจ้า! บุตรีตระกูลหาน ข้ามอบความสว่างไสวให้เจ้าได้ดิบได้ดีในแคว้นอื่น แล้วเช่นนี้ข้ายังมิดีพออีกหรือ! หรือว่าเจ้าอยากต้องโทษสิ้นชีวิตตามบิดาของเจ้าไปด้วย หา!!”
ฮ่องเต้ หย่งเจิ้น ทรงพระโกรธามากมายนัก เมื่อได้ยินที่หานซูหนิงยอกย้อนพระองค์
“หาเช่นนั้นไม่เพคะ หากหม่อมฉันมิได้อยากอยู่บนแผ่นดินนี้แล้ว หม่อมฉันก็ขอสิ้นชีพไปเองเสียดีกว่า แต่ก่อนที่จะจบชีวิตลง หม่อมฉันขอสาปแช่งราชวงศ์นี้ และขอให้แผ่นดินฉางอันลุกเป็นไฟ! เพราะฮ่องเต้ทรงไร้ความยุติธรรม เพราะพระองค์ทรงหูเบา และเข้าข้างคนชั่วช้าอย่าง เม่ยจือลั่ว!! เขาคนนั้นต่างหากที่คิดล้มล้างราชวงศ์ เขาเป็นกบฏ หาใช่บิดาของข้า!! บิดาของข้ามิได้ผิดอันใดเพคะ!!”
หานซูหลินร่ำร้องทั้งน้ำตา นางหันหน้าไปหาคนชั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างของฮ่องเต้ พร้อมกับชี้กราดไปหาพวกเขาเหล่านั้น เสนาบดีกรมการคลัง และพวกของเขาหลายฝ่าย ยังคงนั่งอยู่ข้างฮ่องเต้โดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน และยังสำราญกับงานเลี้ยงในครั้งนี้ ด้วยหน้าตาชื่นบาน
“เจ้ากล่าวโทษผู้อื่นเช่นนี้นับว่าความผิดเจ้าได้เพิ่มไปอีกหลายข้อ หานซูหลิน! นอกจากว่าเจ้าไม่ยอมรับทุกอย่าง เจ้ายังกล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความเป็นธรรมอีกด้วย เห็นทีว่าเจ้าเองคงมิอยากเป็นพระชายาต่างแคว้นแล้ว ข้าคงต้องทำโทษเจ้าเสียบ้าง!!”
“ทหาร!! จับตัวนางเอาไว้เดี๋ยวนี้!!”
เหล่าทหารวิ่งออกมาเรียงแถวกันหลายสิบคน ตอนนี้ในงานช่างโกลาหลนัก แต่หานซูหลินเตรียมใจมาแล้ว นางคว้าเอาสิ่งที่อยู่รอบกายขึ้นมาขว้าบปาใส่ผู้คน ก่อนที่จะขอความเห็นใจจากองค์ชายหลงเทียน
“องค์ชายหลงเทียน ช่วยข้าด้วย!!”
แต่อีกฝ่ายกลับปฎิเสธเยื่อใยกับนางโดยสิ้นเชิง เขาสะบัดชายผ้า พร้อมกับเดินหันหลังออกไปจากบริเวณนั้น รวมถึง เหม่ยเจียงฉี ที่ป้องปากยิ้มเยาะใส่หานซูหลิน ก่อนจะเดินตามองค์ชายหลงเทียนออกไปด้วยอีกคน
“ทะ…ท่าน องค์ชายหลงเทียน ทำไมทำกับข้าเช่นนี้ ข้ารักท่านจนสุดหัวใจ เหตุใดท่านถึงได้ทำร้ายจิตใจของข้า”
หานซูหลินหลั่งน้ำตาจนแก้มแทบอาบเป็นสีเลือด นางทุกข์ตรมต่อภาพตรงหน้านัก หญิงสาวไร้ความหวังใด ๆ หาได้รับความยุติธรรมในครั้งนี้ นางก็มิอยากมีชีวิตอยู่ หานซูหลินหยิบขวดยาพิษที่มีคนหยิบยื่นให้ ในตอนที่นางกำลังเดินเข้ามาในงานส่วนพระราชวัง คนผู้นั้นกล่าวว่า หากนางทนชีวิตหลังจากนี้ไม่ไหว ก็ให้ดื่มสิ่งที่อยู่ในขวดนี้เสีย และคราวนี้ก็เป็นเช่นนั้น
นางมิอาจทนอยู่ด้วยความปราชัยได้อีกแล้ว
หานซูหลินกรอกยาพิษใส่ปากตนเอง มันคือพิษร้ายจากแมงมุมแม่หม้ายดำ แค่เพียงหยดเล็ก ๆ ก็สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้นับร้อย
นางดึ่มมันเข้าไปครึ่งอึก หวังจบชีวิตลงกลางท้องพระโรงแห่งนี้ ชีวิตที่ย่ำแย่ของตนจะได้จบสิ้นลงเสียที
“หานซูหลิน!! ทำไม่เจ้าถึงเป็นเช่นนี้ ทำไม่ไม่รอข้า!!”
ในขณะที่สายตาหญิงสาวพร่ามัว เพราะฤทธิ์เดชจากพิษร้าย หานซูหลินได้ยินเสียงเพรียกหาตนจากความว่างเปล่าตรงหน้า นางเห็นเงาเลือนรางจากบุรุษคนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเห็นหน้าค่าตาได้ จะมีก็แค่เพียงเสียงที่เปล่งออกมาเท่านั้น
“คะ…ใคร ใครกันที่ยังคงห่วงหาข้า เจ้าเป็นใคร…”
แต่นางได้เพียงแค่นึกคิดเท่านั้น ก่อนที่ร่างกายจะอ่อนล้าไร้เรียวแรง เหมือนตัวเองได้ถูกดึงกระดูกออกไปจากตัวจนหมดสิ้น ความเจ็บปวดหลังจากดื่มยาพิษ ทำให้นางทรมานในกายอย่างยิ่งยวด แต่ก็หาได้เอ่ยถึงความเจ็บปวดนั้นออกมา จนกระทั่งโลหิตในกายกระฉูดออกมาจากทวารทั้งห้า หานซูหลินจึงสิ้นใจลง
หานซูหลินล้มตึงลงไปท่ามกลางผู้คนนับร้อย ในงานเลี้ยงสำคัญของราชวงศ์ที่ทรยศต่อตนเอง หญิงสาวไม่อาจรับรู้ความเป็นไปหลังจากนั้นได้ แม้แต่เสียงที่ได้ยินก็พลันดับวูบลงไปเสียสนิท ยาพิษร้ายแรงทำลายประสาททั้งห้าของนางอย่างไม่รีรอ แม้ในขณะห้วงสุดท้ายของคำพูดที่ได้ยินรำไร นางก็ไม่อาจล่วงรู้ว่ามีใครสักคนที่ร่ำร้องขานชื่อของนางอยู่ตรงหน้า เขาคือผู้ใดกัน… อดีตพระชายาที่ไร้ค่าเช่นนี้ จะมีใครกันเล่าที่ปรารถนา…หานซูหลิน อดีตพระชายาของอาณาจักรฉางอันที่รุ่งเรือง ได้สิ้นชีพลงไปแล้วจากการดื่มพิษแมงมุมแม่หม้ายดำ ที่ไม่รู้ว่าใครส่งมอบให้กับนาง แม้จะชอกช้ำใจสักเพียงใด แต่การดื่มยาพิษย้อมใจนี่มันก็ร้ายแรงเกินไปสำหรับตนเอง“นี่ข้าตายแล้วหรือ ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าตายไปแล้วจริง ๆ”หญิงสาวยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาพิศดู ก็เห็นว่ามันมีสีที่ซีดขาว อีกทั้งบนผิวหนังซีดเผือดนั้นกลับมีเส้นเลือดสีดำ แผ่ขยายไปจนครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในกาย หาได้มีส่วนใดที่ดูดีสักนิด บรรยากาศรอบกายก็พลันหม่นหมอง มีกลุ่มควันสีดำรายล้อมอยู่รอบด้านเต็มไปหมด นางไม่เคยนึกถึงเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ในวันที่ชีพจรดับสูญจนมิอาจฟื้นคืนทุกอย่างได้ จะม
หานซูหลินหลับตาลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลริน การร้องขอความเห็นใจของนาง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้น ไฟจากนรกมอดไหม้ลง พร้อมกับพื้นที่แห่งนั้นกลับมาสงบอีกครั้ง กายที่โปร่งบางเมื่อครู่ก็พลันกลับเข้าสู่กายเนื้อ จนบัดนี้หญิงสาวหาได้มีเส้นเลือดดำติดอยู่ที่ตัวอีกแล้ว นางยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจและยินดีในคราเดียวกัน“ข้าคงไม่ตายซ้ำซ้อนอีกใช่หรือไม่ แล้วผู้ใดกันที่เข้ามาช่วยเหลือวิญญาณของข้าในครั้งนี้กันนะ” นางมีเวลาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย ก่อนที่สุรเสียงลึกลับจะปรากฎดังอยู่รอบทิศทาง“หานซูหลิน! บัดนี้เจ้าได้รับโอกาสที่สอง ตามที่ได้ร้องขอเอาไว้กับข้า จงรับมันเอาไว้ซะ!!” เสียงปริศนาที่ปรากฏขึ้น ทำให้นางหันดูรอบกาย ทั้งในที่สูงรวมสี่ทิศ และเบื้องล่างในแอ่งน้ำตรงหน้า แต่นางกลับไม่พบกับสิ่งใดทั้งนั้น“เจ้าเป็นใครกัน ใยถึงช่วยเหลือข้า แล้วข้าต้องแลกกับสิ่งใดหรือไม่”เสียงของนางดังก้องอบอวลไปทั่ว มันสะท้อนกลับเข้าสู่โสตประสาทของนาง จนทำให้หญิงสาวต้องใช้ฝ่ามืออุดหูเอาไว้“เจ้าไม่ต้องแลกสิ่งใดทั้งสิ้น จงมองภาพเหล่านี้ซะ!!”แม้เสียงในสายลมจะบอกว่าให้ดูภาพเสีย แต่หานซูหลินหาได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แม้แต่หรี่
เจ้าของร่างในอากาศคำรามออกมา ทำให้นางต้องรีบอุดใบหูที่เหมือนกับว่าโลหิตจะหลั่งออกมาจากภายในกายเสียให้จงได้ เสียงนั้นมีพลานุภาพอย่างที่ตนเองก็มิเคยได้พบเจอมาก่อน “ขะ…ข้า ข้าขออภัยต่อท่านผู้ทรงอำนาจ ข้าน้อยอยากเห็นว่าท่านมีร่างกายหรือไม่”“เจ้าจึงคิดจะแตะต้องกายข้าเช่นนั้นหรือ หึหึ! ช่างน่าขันเสียเหลือเกินเจ้าเด็กน้อย แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะมิได้คำตอบอันใด”“เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเถิด”“เจ้าค่ะ ท่านผู้ทรงอำนาจ”“การตายของเจ้ามีผลต่ออาณาจักรฉางอันอย่างยิ่งยวด ที่แผ่นดินต้องล่มสลายเร็วกว่ากำหนดในอีกสองร้อยปีข้างหน้า มันทำให้วงจรของห้วงเวลาผิดเพี้ยน และเจ้าจะต้องรับผิดชอบ เพราะมันเกิดขึ้นจากการตายของเจ้า! ขอให้รู้เอาไว้เสีย หานซูหลิน!”“ไม่จริงเจ้าค่ะ ข้ามิใช่เบี้ยตัวใดในแผ่นดินฉางอัน ข้ามิได้มีอำนาจ หากข้าตายไปก็เหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิวเพียงเท่านั้น ข้าไม่สามารถเข้าใจที่ท่านบอกกล่าวนี้ได้”หานซูหลินยังคงปฎิเสธไม่เว้นวาง นางได้ทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ แม้ครุ่นคิดเช่นไรตนเองก็ไม่อาจพบต้นตอนั้นเลย“ข้าจะให้เจ้าจดจำภาพที่ผ่านสายตาเมื่อครู่ จงจำไว้ให้ดีเชียวล่ะ”“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ทำไมข้าต้องทำเช่นนั
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านกลับมาจากราชการอันเหน็ดเหนื่อย ได้โปรดเชิญนั่งก่อน ข้าจะเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติให้ท่านพี่นะเจ้าคะ”ฮูหยิน หรงซื่อเหม่ย เดินเข้ามาหาสามีซึ่งเป็นเสนาบดีกรมการยุติธรรม เขาได้ว่าความที่ศาลแห่งเมืองต้าเซิ่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปสักประมาณสิบลี้เห็นจะได้ หานเจียจิ้ง เป็นสามีที่ทรงความยุติธรรมที่สุดแล้วในแผ่นดินฉางอันแห่งนี้ ในทุกครั้งที่มีงานสำเร็จราชการ เพื่อว่าความในคดีต่าง ๆ เขาจะเดินทางไปยังเมืองต้าเซิ่นเพื่อทำงานอันยุติธรรม ตัดสินคดีทุกอย่างในแผ่นดินแห่งนี้ แม้จะมีศาลอีกสองสามที่ก็ตามที แต่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และเที่ยงธรรมที่สุด เห็นทีจะมิได้พ้นศาลแห่งนี้“ช่วยเอาหนังสือพวกนี้ไปเก็บที หลิวเยี่ย วันนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”ชายวัยกลางคนบอกกับบันฑิตหลิว ซึ่งตอนนี้เป็นคนสนิทของเขา ขอแรงให้ช่วยนำเอกสารสำคัญไปเก็บไว้ภายในห้องหนังสือ ซึ่งมันคือห้องทำงานของเขาด้วยเช่นกัน“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ การว่าความที่มีเรื่องราวให้ปวดหัวแทบทุกวันเช่นนี้ ข้าเกรงว่าท่านพี่จะทำไม่ไหวในสักวันหนึ่งเจ้าคะ”ฮูหยินหรงซื่อเหม่ย ห่วงใยในตัวของสามี นางเป็นสตรีที่ดี มีความรักสามีเสียจนหาหญิงใดใน
“ท่านพี่เจ้าคะ เมื่อคืนสาวใช้บอกว่านางมีไข้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นหรือยัง อีกอย่างหนึ่งนางเอาแต่ละเมอ และกรีดร้องในยามราตรี ข้าเป็นห่วงลูกสาวของเรามากเหลือเกิน ปกตินางก็ร่าเริงสดใสดี ยังคงชื่นชมดอกไม้งามตามประสาเด็กสาวแรกรุ่นอยู่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินบอกแก่สามี ทำให้เขาต้องรีบลุกจากเก้าอี้ตัวโปรด เพื่อเข้าไปดูบุตรสาวในหอนอน“ไหนข้าขอเข้าไปดูหานซูหลินหน่อย นางต้องได้รับการปลอบใจจากฝันที่ร้ายกาจนั่น เจ้าหลีกไปเสียสาวใช้!”“เจ้าค่ะนายท่าน คุณหนูฟื้นแล้ว นางอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานเจ้าของจวน ก่อนที่จะขยับตัวออกมาจากหน้าประตูหอนอนของหานซูหลิน“ซูหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ เห็นแม่เจ้าบอกว่าลูกของพ่อไม่สบายเช่นนั้นหรือ” เขาก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะพบว่าลูกสาวของตนนั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่ก่อนแล้ว“ท่านพ่อ!! ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับท่านอีก! ฮือ ๆ”เมื่อเห็นบิดาของตนเดินเข้ามา นางก็เข้าไปสวมกอด และร้องให้ปริ่มจะขาดใจ นางได้กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่จ้าวแห่งความมืดได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ น้ำตาของหญิงสาวยังคงไหลอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง“ข้านึกว่าจะมิได้พบพานท่านพ่อกับท่านแม่อีกแล้ว ขอบคุณสวรรค์จริง
“เอาละ เพื่อความสบายใจของฮูหยิน ข้าจะรับฟังเจ้าก็แล้วกันหลินเอ๋อร์ ไหนว่ามาสิ”บิดานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว ในเวลานี้หานซูหลินแต่งตัวเสร็จแล้ว นางนุ่งห่มอาภรณ์ด้วยสีขาวมุก ประดับปิ่นปักผมพร้อมกับเครื่องทองและทับทิมบนศีรษะ แต่งแต้มลวดลายระหว่างหน้าผาก เป็นรูปดอกบัวสีชาดสามกลีบ ก่อนจะเข้าพบบิดาในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา“ท่านพ่อ หากข้ากล่าวอ้างถึงความฝัน ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ ได้โปรดบอกข้ามาก่อน มิเช่นนั้นข้าอาจเป็นบุตรที่ท่านคิดว่าเพ้อเจ้อ แต่ข้ามิอยากให้ท่านคิดเป็นแบบอื่นเจ้าค่ะ”นางถูกบิดาเชิญให้นั่งลงก่อน ครานี้บุตรสาวของตนมีท่าทางแปลกไปกว่าเดิม หานซูหลินคนก่อนมิได้ห้าวหาญเช่นนี้ นางมีความอ่อนหวาน และอ่อนโยนดั่งเช่นสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดี เพื่อเข้ารับตำแหน่งพระชายาขององค์ไท่จื่อ นี่นางแปลกไปเพราะเหตุอันใดกัน…“ไหนเจ้าลองว่ามา ข้าจะเป็นคนบอกเองว่าเจ้าฟั่นเฟือนหรือไม่”“ท่านพ่อ! หากท่านสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีเสนาบดีฝ่ายค้านอยู่หลายคนทีเดียว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นปฎิปักษ์กับท่านใช่หรือไม่”“จ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าไปสืบเรื่องราวในวังมาหรือไร ช่างเก่งเกินสตรีไปแล้วหานซูหลิน”หานเจ
“เจ้าดูนี่สิ! ข้าได้รับคำเชิญ เพื่อให้เข้าร่วมงานในราชวัง ตามที่ฮ่องเต้ส่งมา ตระกูลหานของเราต้องเข้าร่วมในครั้งนี้ และเจ้าจะต้องเตรียมตัวเอาไว้หลินเอ๋อร์ เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญในงานนี้ด้วยเช่นกัน หานซูหลิน ผู้เป็นว่าที่พระชายา ในองค์ชายรัชทายาทหลงเทียน วันนี้จงบอกกล่าวมารดาของเจ้า ให้ตระเตรียมชุดที่สวยงาม พร้อมทั้งของขวัญชิ้นใหญ่ เพื่อส่งมอบให้องค์ชายแคว้นหลู่ ด้วย” หานเจียจิ้งออกคำสั่งแก่บุตรสาว นางยังมิได้รู้เลยว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการซ้ำรอยในตอนที่ได้รับยาพิษหรือไม่“งานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายต่างแคว้นหรือเจ้าคะท่านพ่อ” นางถามออกมาด้วยความสงสัย“ใช่แล้วล่ะ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพยัคฆ์ขาว แห่งแคว้นทางเหนือ ทรงเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองฉางอันของเรา เนื่องจากว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่สุดในแผนที่ และมีเหล่าไพร่พลทหาร รวมทั้งแม่ทัพที่เก่งกาจอยู่มากมายนัก แคว้นหลู่จึงมิอาจต่อการได้ จึงคิดหาหนทางเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดี ให้เกิดขึ้นแก่แคว้นตนเอง นับว่าฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นมีความฉลาดปราญเปรื่องยิ่งนัก”“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะให้บิดา“อีกสองวันงานจะเกิดขึ้น เจ้
“เจ้างดงามจริง ๆ ข้ามิได้ชื่นชมเจ้าด้วยวาจาโป้ปดเสียหน่อยหลินเอ๋อร์ อันที่จริงข้าอยากไปรับเจ้าด้วยตัวเอง แต่เพราะข้าต้องช่วยงานเสด็จพ่อ จึงต้องอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ใจข้านั้นคิดถึงเจ้ามากมายนัก”เขากล่าวคำหวานออกมาไม่ขาดสาย ทำให้หานซูหลินใจเต้นแรง แม้นางจะเคยเห็นว่าเขาหักหลังตนเองมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ใจของนางมิได้คิดเคืองแค้นอันใด เพราะสิ่งที่เขาทำไปในเวลานั้น นางรู้ดีว่าชายคนนี้ต้องถูกบังคับเป็นแน่หากใจนางมืดบอด ก็คงมิให้อภัยบุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างนางได้“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกันกับพระองค์ แต่ในเวลานี้นับว่าไม่เหมาะสม สำหรับการเรียกร้องความรักที่องค์ชายทรงมีให้แก่หม่อมฉันเพคะ ทรงสดับรับฟังพระราชโองการจากฮ่องเต้ ด้วยความตั้งใจเถอะเพคะ”หานซูหลินปรามความปรารถนาในจิตใจของบุรุษข้างกาย นางทราบดีว่าเขาตื่นเต้นเพียงใดที่พบเจอตน แม้ว่านางเห็นเช่นนั้นก็ตามที แต่หญิงสาวก็เก็บอาการเอาไว้เช่นกัน นางเองก็รู้สึกดีไม่น้อยไปกว่าเขาฮ่องเต้ หย่งเจิ้ง ทรงทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารมากมาย รายล้อมอยู่เต็มทั้งในตำหนัก และท้องพระโรง พวกเขาต่างยิ้มชื่นให้กับการฉลองในวาระนี้ แค่เพียงเท่านี้พระ
ในวันเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง เสนาบดีแต่ละฝ่าย ต่างจดจ้องเพื่อที่จะรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้แก่บิดาของแผ่นดินได้รับรู้ แต่ครานี้เม่ยจือลั่วที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ได้เสนอเรื่องการก่อกบฏของตระกูลหาน เรื่องซ่องสุมโจรร้ายและเป็นภัยแก่ราชวงศ์ในขณะนี้“กราบทูลฝ่าบาท นี่คือเรื่องจริงที่กระหม่อมได้ไปสืบทราบมาจากหลายฝ่าย ผู้นำตระกูลหาน มิได้เป็นคนดีอย่างที่ทุกคนคิด ตอนนี้เขาได้ซ่องสุมโจรขึ้นมา และทำการปล้นทรัพย์อย่างอุกอาจ กระหม่อมมีหลักฐานอยู่ในมือทั้งหมดพะยะค่ะ ทรงพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกระหม่อม เพื่อนำความสันติมาให้ดินแดนฉางอันของเรา” เขานำหลักฐานเท็จมาให้ฮ่องเต้ทรงอ่าน เพื่อประทับสายพระเนตรลงไป“ในนี้เขียนว่ามีการปลดปล่อยนักโทษร้ายแรงเช่นนั้นหรือ มันเป็นผู้ใดกัน เจ้ารู้หรือไม่”“พะยะค่ะฝ่าบาท คนผู้นั้นเป็นนักโทษคดีร้ายแรง และเหมือนกับว่าเสนาบดีกรมยุติธรรม ได้ปล่อยตัวออกไป เพราะนักโทษใกล้ถึงแก่ความตาย จึงอนุโลมให้ไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิด และให้ทหารทำศพให้หลังจากนั้นขอรับ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่นักโทษผู้นั้นมิได้ตายจาก แต่กลับเข่นฆ่าทหารที่ติดตามไปจนหมดสิ้น ก่อนจะตั้งก๊กและเหล่าขึ้น เพื่อท
เมื่อองค์รัชทายาทจากแคว้นหลู่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่รอช้า รีบออกมาจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ทันที“องค์ชายขอรับ พวกเราทหารสนับสนุนพร้อมแล้วที่จะทำตามพระประสงค์ขององค์ชาย ได้โปรดทรงออกคำสั่งมาได้เลยขอรับ” หัวหน้าสำนักเอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า ออกคำสั่งกับหัวหน้าทหารโดยทันที“เจ้าอย่าได้ออกตัวว่าเป็นทหารจากแคว้นหลู่ ในครานี้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นมากมายนัก ข้าอยากให้เจ้าสำนึกรักแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ชั่วคราว สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ ตระกูลจ้าว จะไม่ยอมอยู่เฉย และพร้อมที่จะกำราบพวกโจรชั่วเหล่านั้น ส่วนข้าจะออกตัวมิได้ เพราะเป็นเพียงผู้มาเยี่ยมเยือนแคว้นนี้เท่านั้น หาได้มีสิทธิ์อันใดไม่ นอกจากต้องขอราชโองการจากฮ่องเต้หย่งเจิ้ง เพื่อปราบจลาจลในครั้งนี้ก่อนเจ้าจงให้คนประกาศออกไป ว่าตระกูลจ้าวจะปราบโจรผู้ร้ายในครั้งนี้เอง ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่ามีผู้ใดที่ร้อนรนในครั้งนี้กัน” องค์ชายอวิ๋นหลงคิดแผนการอยู่ในใจ เขาต้องสืบอีกต่อไปว่า เป็นองค์ชายหลงเทียนหรือไม่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง“ขอรับองค์ชาย พวกข้าทั้งหมดจะไปปราบปรามพวกชั่วช้านี่เอง เพื่อความผาสุขของทั้งสอง
“คาราวะขอรับใต้เท้าหาน ด้วยความเมตตาของท่าน ข้าน้อยนั้นสบายดียิ่งขอรับ แต่หาได้สบายใจนัก พวกข้าจึงได้ออกหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็ปรากฎว่าได้รับข่าวเดียวกันกับข่าวว่าที่พระชายา นำมาปรึกษาท่านในวันนี้ด้วยขอรับ” บัณฑิตหลิว หันไปทำความเคารพต่อว่าที่พระชายาหานซูหลิน ซึ่งนางก็ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย บุรุษหนุ่มผู้เรียนรู้และประสิทธิประสาทวิชา จากสำนักที่มีชื่อสียง และได้รับการเรียนรู้ขัดเกลาความดีจากใต้เท้าหาน เอ่ยความจริงเรื่องของ เม่ยจือลั่วออกมาอีกมามาย“เสนาบดีกรมการคลังปลอมแปลงเอกสารส่งตัวนักโทษขอรับ โดยอ้างว่านักโทษคนนั้นตายลงด้วยไข้พิษ แท้จริงแล้วเขายังไม่ตาย แค่ดื่มพิษจากดอกไม้เมืองหนาวเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ลมหายใจขาดช่วงชั่วครู่ และแม้แต่หมอหลวงก็ยังตรวจชีพจรผิดพลาด”องค์ชายอวิ๋นหลงครุ่นคิด“เขาทำอย่างนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน ท่านบัณฑิตทราบหรือไม่”“ข้าทราบขอรับท่านองครักษณ์ซ่ง เพราะเหรินเจิ้นผู้นั้นคือพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่น่าเสียดายที่เขาทำความผิดเท่าภูเขา จึงถูกจับกุม และนำตัวมาให้ใต้เท้าหานไต่สวนคดี และได้รับโทษจำคุกเกินครึ่งของอายุขัยตัวเองด้วยซ้ำขอรับ” เมื่อเขาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยิน ควา
องค์ชายอวิ๋นหลงและหานซูหลินไม่รอช้า เพื่อเปิดโปงความชั่วของเม่ยจื่อลั่ว พวกเขาจึงดั้นด้นไปสืบหาต้นตอของรายชื่อที่อยู่ในสุสานของนักโทษ ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากพื้นที่เดิม ผ่านเนินเขาจนสุดถึงชายป่า ดูแล้วช่างลี้ลับนัก เพราะเหล่านักโทษพวกนี้มิได้มีครอบครัวต้อนรับอีกแล้ว การฝังและทำลายจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ พวกที่มิได้รับอนุญาตนำออกไปจากห้องกักขังมีจำนวนมากกว่า แต่นักโทษรายนี้มีคำสั่งเป็นลายเซ็นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นั่นก็คือฮ่องเต้ ร่างของเขาได้ถูกประทานที่ดินฝังกลบไปโดยปริยายหานซูหลินและองค์ชายหลงเทียนปกปิดตัวตนด้วยการแต่งกายมิดชิด ทั้งสองสวมอาภรณ์สีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี เวลาฟ้ามืดทึบเป็นช่วงที่เหมาะสมยิ่ง เข้าสู่ปลายยามชวีแล้ว ผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักทั้งวัน พวกเขาพร้อมเข้าอยู่ในครัวเรือนของตนกันหมด หากจะมีอาคันตุกะในความมืดปรากฎในเวลานี้ เห็นทีคงเป็นภูตผีหรือไม่ก็โจรร้ายแน่แล้ว ช่างเหมือนกับพวกเขาที่แต่งกายเฉกเช่นจอมโจรขโมยสุสานไม่มีผิดไม่นานนักหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ก็เหยียบย่างลงบนพื้นที่ซึ่งมิอยากมีใครต้องการเดินทางมา นอกจากคนตาย ทั้งสองมองหน้ากันเพื่อนับเวลา
“ข้ามิทราบขอรับ รู้เพียงแค่ทั้งโจรและทหารต่างเป็นพวกเดียวกัน และทหารวังก็มิเคยปกป้องราษฎรได้เลย พวกเขาแค่ทำไปตามหน้าที่ เหมือนกับหุ่นฟางไม่มีผิด”“เอาล่ะ ถือว่าข้ารับเรื่องนี้เอาไว้ก็แล้วกัน อย่าห่วงเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้ในไม่ช้า” เมื่อเสร็จสิ้นจากการหาข้อมูลโดยบังเอิญ องค์ชายอวิ๋นหลงจึงควบม้าไปยังจวนตระกูลหานโดยไวแรงจากอาชาว่องไวประหนึ่งสายลมพัด ในไม่ใช้เขาก็มาถึงจวนที่ต้องการ องค์ชายอวิ๋นหลงทรงผูกม้าไว้ข้างจวน ก่อนจะเร้นกายเข้าไปพบหานซูหลินด้านใน เพื่อมิให้ใครสังเกตเขาได้“หลินเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว”เสียงทักทายอันอบอุ่น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ ราวกับว่าหานซูหลินเองกำลังรอคอยองค์ชายอวิ๋นหลงผู้นี้อยู่เช่นกัน“องครักษ์ซ่งซือฟง เจ้าเข้ามาจากทางไหนกันหรือนี่ ช่างน่าแปลกใจนัก เหตุใดเจ้าถึงแอบย่องเข้ามาในจวนข้า”นางรู้สึกตกใจมิใช่น้อย หากเขาเข้าทางประตู แน่นอนว่าต้องมีสาวใช้เข้ามารายงานนางก่อนอยู่แล้ว“เจ้าทำเช่นนี้ข้าขวัญผวานัก นึกว่าเป็นผีบรรพบุรุษเรียกหาเสียอีก ต่อไปเจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้ากลัว”“ดูท่าทางเหมือนเจ้าขนลุกจริง ๆ ด้วย ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วยหลินเอ๋อร์ แต่ข้าจำเป็นต้องทำเช่
องค์ชายอวิ๋นหลงเร่งรีบตั้งใจสืบข่าว เรื่องที่หานซูหลินเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยเหลือ แม้ตนเองจะมิใช่คนในราชวงศ์นี้ก็ตามที แต่เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเขาที่เป็นผู้เจริญสัมพันธไม่ตรีก็มิอาจทนดูอยู่ได้ อีกทั้งหานซูหลิน เป็นสตรีที่เขาชื่นชมหากนางไร้แผ่นดินอยู่ มิหนำซ้ำยังถูกคนร้ายย่ำยีตระกูลดั่งเช่นที่นางเอ่ยมา เขาก็มิอาจทนได้ องค์ชายอวิ๋นหลงจะมิยอมให้ว่าที่พระชายาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้เป็นแน่ หากเขาสามารถช่วยยุติสิ่งเลวร้ายนี้ได้ เขาก็ยินดีทำเพื่อสตรีที่ตนปรารถนาอยู่เนือง ๆองค์ชายอวิ๋นหลงส่งสายสืบเข้าไปในคุกหลวง แต่กลับมิได้รับข่าวคราวอันใดมากไปกว่าเดิม นั่นอาจเป็นเพราะในคุกมีคนของเม่ยจื่อลั่วอยู่มากมายก็เป็นได้“กราบทูลองค์ชายอวิ๋นหลง กระหม่อมได้สืบเสาะเรื่องราวในคุกหลวงแล้วพะยะค่ะ ได้ข่าวมาไม่มากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังไม่พบพิรุธอันใด เกรงว่าหากสืบไปมากกว่านี้ ทางสำนักพระราชวังคงต้องจับตาดูความเป็นอยู่ขององค์ชายมากกว่านี้แน่ กระหม่อมคาดคะเนว่า จะส่งผลร้ายต่อองค์ชายนะพะยะค่ะ ทางแคว้นหลู่ของเราควรรามือเสีย ทรงหาทางอื่นเถอะพะยะค่ะ”องครักษ์คู่ใจกล่าวกับเขาเช่นนั้น ซึ่
ซ่งซือฟงตัดบท ก่อนที่จะขอตัวออกไปตำหนักที่ประทับขององค์ชายแห่งแคว้นหลู่ เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้จงได้ ไม่แน่ว่าการศึกที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาจเป็นแคว้นหลู่ของเขาก็ได้บุรุษหนุ่มแห่งแคว้นหลู่เดินทางออกมายังด้านนอก ถึงแม้เขามิได้เป็นคนในราชวงศ์นี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้หย่งเจิ้งและองค์ชายหลงเทียน มิได้ทรงเดือดร้อนพระทัยกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงสองเดือนนี้เลย ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาในบริเวณตัวเมือง ซึ่งมีผู้คนอยู่ล้นหลาม เขาสังเกตุได้ว่า หลายคนมีใบหน้าเศร้าสร้อย การซื้อขายหาได้คึกคัก ประชาชนเหมือนตกอยู่ในความโศกเศร้ามากกว่าความสดชื่น และหนึ่งในคนค้าขายก็เข้ามาไต่ถามเขาให้ช่วยซื้อสินค้าบางอย่าง“ใต้เท้าขอรับ โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถอะ ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง ช่วยอุดหนุนสินค้าของข้าบ้างจะได้หรือไม่ นี่เป็นอาหารแห้งที่ข้านำมาขาย แต่หาได้มีผู้ใดมีเงินสักครึ่งตำลึงมาซื้อหาเลย นายท่านขอรับ ได้โปรดช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวที่ยากจนของข้าน้อยด้วยเถอะ” พ่อค้าทำท่าเคารพเขา เพราะอยากขายสินค้าได้ และกลับบ้านไปหาครอบครัว“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เจ้าช่วยบอกข้าสักนิดได้หรือไม่” ซ่งซือฟงไต่ถามควา
ซ่งซือฟงรับปากหญิงสาว เขารู้สึกสงสัยนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายทาง จากที่รู้มาจากปากของหานซูหลินคือ เสนาบดีกรมการคลังมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการรวมอำนาจทั้งฝ่ายบุ้น และฝ่ายบู้เข้าด้วยกัน หากตนเองมีอำนาจจากการครอบครองทุกกรมกอง ย่อมที่จะก่อการกบฏได้โดยง่าย แม้ต้องล้มล้างราชวงศ์ก็ย่อมทำได้ แต่ตนเองก็มิอาจกุมอำนาจได้ทั้งหมด อย่างน้อยประชาชนฉางอันก็มิยอมสยบอย่างแน่แท้ มีหนทางเดียวคือต้องกล่อมคนในราชวงศ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตน ซึ่งมีอยู่สองคนที่จะเข้าร่วมได้ นั่นก็คือฮองเฮา และองค์ชายหลงเทียน แต่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายหลงเทียนมิได้มีคู่แข่งใด ๆ อ๋องที่เกิดจากเหล่านางสนมก็หามีไม่ เขาต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่แล้วนี่นา หรือว่ารอเวลามิได้กันเล่า เรื่องนี้สับสนเกินไปเสียแล้ว“หลินเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าลางสังหรณ์ของเจ้านั้นเกี่ยวกับการก่อกบฏของเม่ยจือลั่ว ข้ามิได้เห็นหนทาง ที่เขาจะทำการเช่นนั้นเลย ทุกอย่างไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องทำเช่นนั้น”ชายหนุ่มอยากให้นางคิดทบทวนให้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ลางสังหรณ์อาจบอกเจ้าในเรื่องอื่นหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบยิ่
“ฮองเฮาเพคะ ท่านได้ทรงทราบข่าวเกี่ยวกับการซ่องสุมโจรร้าย ในช่วงเวลานี้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกกว่าปกตินะเพคะ ราวกับว่า มีคนที่ไม่หวังดี คอยเกื้อหนุนกองโจรเหล่านี้อยู่”อันที่จริงเรื่องการเมืองการปกครอง ฮองเฮามิได้ใคร่รู้นัก แต่หากนางทราบ ก็คงจะไม่บอกหานซูหลินอยู่ดี“เรื่องเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหรือการปราบกบฏต่าง ๆ มิใช่หน้าที่ของข้า ว่าที่พระชายาคงถามผิดคนแล้ว ข้ามิได้ทราบเรื่องอันใดหรอกนะ เรามาปักผ้ากันต่อเถอะนะ” นางตัดบทสนทนาในทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มกว้างให้แก่หญิงสาว แววตาของฮองเฮามิได้ทรงเผยสิ่งใดออกมา แม้น้ำที่ลึกเกินหยั่งถึง ก็มิอาจหยั่งลึกลงไปในจิตใจของฮองเฮาเฟิ่งซูอิงได้ หานซูหลินจึงต้องยอมจำนน และคิดหาทางอื่นเพื่อดำเนินการต่อไปมันต้องมีสักทาง ที่นางจะต้องรู้ให้ได้ ว่านักโทษคนนั้นคือผู้ใด นิมิตมิได้หักหลังนาง และทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่แท้หานซูหลินเก็บความกังวลใจเอาไว้กับตัว หญิงสาวเตรียมตัวกลับจวนตระกูลหาน แต่มิทันไรกลับพบเจอกับบุตรีเสนาบดีกรมการคลัง เม่ยเจียงฉี เข้ามาทำสิ่งใดอยู่ตำหนักของฮองเฮา นางก็มิอาจรู้ได้ แม้สายตาของทั้งคู่จะเป็นอริกัน