เพื่อพิชิตใจแม่ทัพหนุ่มที่หมายปอง นางผู้เป็นองค์หญิงถึงกับปลอมตัวเข้าไปเป็นทหารเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดเขา แต่เหตุการณ์มันไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะเขาเข้าใจว่านางเป็นบุรุษ แล้วนางจะเกี้ยวเขาสำเร็จได้อย่างไร
View More“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายถึงเรื่องใด” ว่าจบก็เข้าไปนั่งลงข้างร่างเล็กแล้วโอบไหล่บางเข้าหา “ทะ ท่าน! เดี๋ยวก่อนสิ” หยางจูสะดุ้ง ดันตัวเขาออก คราวนี้มู่หรงเซียวหนานหัวเราะดังกว่าเดิม “ท่านแกล้งข้า” หยางจูต่อว่าและเชิดหน้าขึ้นอย่างแง่งอน “ข้าขอโทษ เอาละ หน้าที่ของเจ้าบ่าวเช่นข้า ก่อนอื่นข้าต้องเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวของข้าเสียก่อน” ว่าจบเขาก็ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของหยางจูออก ใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มอย่างดีทำให้มู่หรงเซียวหนานค้างไปชั่วขณะ ปกตินางเป็นหญิงงามอยู่แล้ว แต่ในวันนี้นางดูอิ่มเอิบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขทำให้นางดูน่ามองยิ่งขึ้น และเขารู้สึกภูมิใจที่ความสุขของนางในวันนี้มีเขาเป็นส่วนหนึ่ง “ท่านงามมากองค์หญิงหยางจู” เขาบอกคล้ายละเมอ “ท่านยังเรียกข้าว่าองค์หญิงอยู่อีกหรือ” “อ้อ นี่คงเป็นอีกข้องผิดพลาดของข้าสินะ ท่านเป็นสตรีที่อยู่สูงกว่าข้าจนข้ามิอาจเอื้อม ชาติกำเนิดรึก็สูงปานนั้น ความงามรึก็งามราวเทพธิดา ข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยที่มิคู่ควรกับท่านเลย” “แต่ตอนนี้ท่านเป็นสามีข้า ยังเรียกเสียห่างเหินอีกหรือ” หยางจูท้วง “ข้ารู้ เอาเป็นว่าข้าเรี
ช่วงวสันต์ตอนปลายสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยหอบเอาความเย็น สดชื่นของฤดูเหมันต์ปะปนมาทำให้อากาศในตอนนี้ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหล่าต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีและผลัดใบ ดอกไม้ฤดูหนาวเริ่มผลิบาน ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งช่วงหนึ่ง บนถนนสายหลักทั้งสองฟากถูกประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดง บางที่ก็มีการจุดประทัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงคึกคัก ชาวเมืองทุกคนต่างพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสออกมายืนเฝ้ารอเพื่อชมความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนเจ้าสาวขององค์หญิงหยางจูซึ่งเป็นพระธิดาองค์โปรดของฮ่องเต้ ขบวนเจ้าสาวของขององค์หญิงหยางจูนี้มีความยาวตั้งแต่ประตูวังหลวงไปจนถึงสามช่วงถนน หากมองจากหัวขบวนไปยังท้ายขบวนก็มิอาจคำนวณได้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ใด หัวขบวนมีองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่ง เป่ยหนานขี่ม้านำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวขนาดแปดคนหาม ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุด เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผ้าแพรสีแดง องค์หญิงหยางจูสวมมงกุฎหงส์นั่งอยู่บนเกี้ยว หัวใจของนางกำลังกระหน่ำเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ด้านนอกมีลู่อิงที่เดินขนาบด้านข้าง และองครักษ์เซี่ยที
เท้าในรองเท้าปักลวดลายสวยงามก้าวย่างด้วยความเร่งรีบไปตามทางเดินคดเคี้ยวสลับซับซ้อน ความร้อนใจทำให้นางเดินชนกับนางกำนัลถึงสองครั้ง ซึ่งพวกนางก็ตาลีตาเหลือกลงไปคุกเข่ากับพื้น แต่นางก็ได้แต่รวบชุดสวยยกขึ้นจากพื้นเพื่อจะออกวิ่งอย่างสุดกำลัง แล้วก็ไปปะทะกับทหารยามที่ยืนอยู่ข้างตำหนักใหญ่ จนพวกเขาตกอกตกใจกันยกใหญ่ “เสด็จพ่อประทับอยู่ในตำหนักหรือเปล่า” หยางจูละล่ำละลักถามกงกง “อยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานมาขอเข้าเฝ้า” นางตาเหลือกเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นความจริง เผลอยกมือกัดเล็บด้วยความกังวล “ไปกราบทูลว่าข้าต้องการเข้าเฝ้า” “แต่ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้ใครรบกวนระหว่างนี้พ่ะย่ะค่ะ” “เสด็จพ่อจะอนุญาตหากเป็นข้า” กงกงอ้าปากจะค้านต่อ แต่ร่างคุ้นตาได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูบานใหญ่ เดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เป็นนางเสียอีกที่อยากจะถลาเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้องนั้น “องค์หญิงหยางจู ข้าตามหาท่านอยู่พอดี” “หาหม่อมฉันหรือเพคะ” นางหันไปหาองค์ชายเฟิงจวิ้นที่มาผิดที่ผิดเวลาอย่างที่สุด ก่อนจะหันกลับไปมองประตูมังกรอย
หลังจากวันนั้น มู่หรงเซียวหนานมีโอกาสเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์บ่อยครั้ง รวมถึงองค์หญิงหยางจูด้วย แม้นางจะใช้เวลากับองค์ชายแคว้นเยี่ยน วาดภาพ แต่งกลอน หรือแม้แต่ชมสวนด้วยกัน เขาก็จะเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ แม้มันจะสร้างความไม่พอใจให้กับองค์ชายถึงเพียงใด เขาก็ทำเป็นตาบอด ไม่เห็นความขุ่นข้องนั้นเสีย “ดอกไม้นี่ช่างงามแท้” หยางจูรำพึงรำพัน ทอดสายตามองไปไกล มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างผู้ที่รื่นรมย์กับธรรมชาติ “วังของข้าก็มีอุทยานที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม แถมยังใหญ่เสียจนเดินแทบไม่รอบ ข้าว่าเจ้าน่าจะชอบ โดยเฉพาะวสันตฤดู ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกพอดิบพอดี เจ้าก็จะได้เห็น” “บุปผางดงามจับตาอย่างไม่อาจหาใดเทียบ เห็นจะอยู่ตรงหน้านี่แล้ว” มู่หรงเซียวหนานเดินตรงเข้ามาหาทั้งสอง มือไพล่หลัง ท่าทางสบายอารมณ์ “ก็นั่นละ หากบุปผางามเช่นองค์หญิงหยางจูได้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้เหล่านั้น นางก็จะได้เป็นเช่นนางพญาแห่งบุปผาทั้งมวล” “ท่านทั้งสองออกจะชมข้าเกินไป ธรรมชาติคือสิ่งที่สวรรค์ สรรสร้าง มิมีอะไรจะงามเทียบ” องค์ชายเฟิงจวิ้นทำท่าจะต่อประโยค แต่แม่ทัพหนุ
“อ้อ เจ้านี่เป็นคนใกล้ชิดรองแม่ทัพ ยังสบายดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วยังมี เอ่อ ข้าก็จำได้ไม่แม่นยำนัก ชื่อเฉิงหรือเฉินอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเฉิงชุนกระมัง” “คนผู้นี้กระหม่อมไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าอยู่กองเดียวกับหยางหยาง ทหารรับใช้ของกระหม่อมเอง แต่หลังกลับจากค่ายก็ไม่ได้เห็นอีกเลย” ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดลงกว่าเดิมร้อยเท่า องค์ชายที่เสร็จจากการสั่งอาหาร หันมาเห็นเข้าก็ทำหน้าตาตื่น “องค์หญิงไม่สบายหรือ” เขาถือวิสาสะวางฝ่ามือบนหน้าผากนาง “ไม่มีไข้นี่นา” “หม่อมฉันแค่...แค่ร้อนน่ะเพคะ” นางแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ขอบตาร้อนผ่าว เพียงแค่นึกว่าสหายที่ร่วมลำบากด้วยกันมาอาจไม่มีชีวิตรอด นางจึงรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา “ได้กินอะไรอร่อย ๆ คงหายเพคะ” “แน่ใจหรือ หากท่านรู้สึกแย่ เรากลับเสียตอนนี้เลยก็ได้” “ไม่เพคะ หม่อมฉันอยากอยู่ต่อ” “เช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากท่านไม่ไหว ต้องบอกข้าทันทีเลยนะ” หยางจูผงกศีรษะรับ ขณะก้มหน้าก้มตา สองมือบนตักบีบกันแน่น มู่หรงเซียวหนานมองนาง แต่ไม่ได้มองอย่างจงใจนัก เขาไม่สบอารมณ์กับความห่วงใยออกนอกหน้าขององค์ชายผู้นี้ แ
ทั้งสามออกมานอกวังด้วยกัน โดยสวมเสื้อผ้าให้ดูธรรมดาสามัญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าการมาเยือนขององค์ชายจะยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ความตั้งใจจริงของเขา คงจะเป็นการได้คำรับรองว่าจะได้อภิเษกแล้วพานางกลับไปยังแคว้นด้วยกัน หยางจูเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี แต่นางไขว้เขวไปเพราะการปรากฏตัวของมู่หรงเซียวหนาน การได้พบเจอเขาอีกครั้งทำให้นางรู้ว่าใจนางโหยหาเขามากเพียงใด หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ถูกขนาบข้างไปด้วยบุรุษสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งคือบัณฑิตทรงภูมิที่มีรอยยิ้มสดใส อีกคนร่างกายสูงใหญ่กำยำ แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่มิอาจทำลายความหล่อเหลาน่าเกรงขามของเขาไปได้ หยางจูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขณะที่องค์ชายเฟิงจวิ้นอยากจะเอาใจด้วยการซื้อข้าวของมากมาย แต่มู่หรงเซียวหนานกลับชวนนางกินของอร่อยไม่ขาด และนางก็เพลิดเพลินเสียจนรู้ตัวอีกที ก็ซื้อของทุกอย่างเต็มไม้เต็มมือไปหมด “ท่านรู้จักกินอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ” นางมองขนมเคลือบน้ำตาลที่ มู่หรงเซียวหนานยื่นให้ด้วยความสนใจ “ชิงเอ๋อร์ชอบออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกมาก อย่างที่องค์หญิงน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง และบ่อยครั้ง พ
“เพคะ”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ”ด้วยความที่คิดมาก่อนแล้ว เขาร่ายวรรคแรกขึ้นมาอย่างลื่นไหล จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษ ตามมาด้วยเยว่ชิงที่ต่อกลอนได้รวดเร็วไม่แพ้กัน เพราะเตี๊ยมกันมาแล้ว เพราะลำพังความสามารถของมู่หรงเยว่ชิง นางไม่มีหัวทางด้านศาสตร์และศิลป์ในการแต่งกลอนสักนิด ให้นางนับเงินเห็นจะเป็นอะไรที่นางถนัดที่สุดดังฉายาของนางที่ว่าท่านหญิงตำลึงทองมู่หรงเซียวหนานคิดอยู่เล็กน้อย เขาเลือกเอ่ยถึงคืนจันทร์วันเพ็ญที่ไม่อาจข่มตาหลับในค่าย หยางจูเกิดความรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเขากล่าวถึงนาง นางจึงแต่งต่อว่าด้วยความงดงามของดวงจันทร์ พร้อมทั้งเขียนกลอนลงไปโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดปลายพู่กันขององค์หญิงหยางจูสะดุดตามู่หรงเซียวหนานนัก เพราะมันเหมือนกับลายมือของใครบางคนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน เขาจึงตั้งใจพินิจทุกตัวอักษรจนนึกสงสัยอะไรบางอย่าง แม้สิ่งที่คิดอยู่เห็นจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่มันกลับจุดประกายความหวังเล็ก ๆ ขึ้นในใจเขา เห็นทีเขาคงเสียสติเสียแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมขอกระดาษแผ่นนี้ได้หรือไม่”“เอาไปสิ ถือเป็นของขวัญต้อนร
เปลวแดดไหวระริกราวกับนักเต้นระบำกำลังอวดฝีเท้าท่ามกลางแดดแผดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใสมีปุยเมฆขาวลอยแต่งแต้มชวนมองอยู่เหนือศีรษะ สองพี่น้องยืนอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม เขม้นมองนกเป็ดน้ำที่กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยความสำราญใจในบ่อที่ขุดและจัดตกแต่งเอาไว้อย่างดี ลมเย็นพัดมาเบา ๆ พอให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง “เรื่องจดหมายที่พี่เขียนมาหาข้า” มู่หรงเยว่ชิงเกริ่น “ไม่สำคัญเสียแล้ว” มู่หรงเซียวหนานตอบพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เหตุใดจึงไม่สำคัญ” “เพราะพี่ไม่ได้ทำตามที่เจ้าแนะนำ ทั้งที่ควรจะทำเช่นนั้น มันจึงสายไป” “แม้จะสายเกินไป แต่ข้าก็อยากรู้ว่าอาการที่พี่พูดถึงคืออะไรกันแน่” มู่หรงเซียวหนานเพียงแต่ถอนหายใจ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น “พี่ใหญ่ ใช่เรื่องที่เขาลือกันว่าพี่เป็นพวกตัดแขนเสื้อหรือไม่” มู่หรงเยว่ชิงเห็นว่าคงต้องเข้าประเด็นโดยเร็วเท่านั้น มู่หรงเซียวหนานหันขวับไปหาผู้เป็นน้อง “เจ้ารู้?” “ไม่ต้องตกใจไปเจ้าค่ะ ข่าวไม่ได้แพร่มาถึงในวังหลวง เพียงแต่องค์ชายชางมีสหายอยู่ในกองทัพ จึงนำเรื่องมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเท่านั้น” นางพูดปดด้วยความแนบเนียน “องค์ชายน่ะรึ”
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหยางจูกับองค์ชายเฟิงจวิ้นเป็นไปด้วยความเรียบเรื่อย เกือบทุกวันทั้งสองคนจะออกไปหาความสำราญข้างนอก เที่ยวเล่นและพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน ราวกับนางไม่เคยจากวังหลวงมาก่อน กระทั่งวันหนึ่ง ลู่อิงเอาข่าวมาแจ้งว่ากองทัพที่ชายแดนปราบกบฏจนสิ้นซาก ซ้ำยังบุกไปตีและยึดเมืองของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ศพของศัตรูกองพะเนินเทินกันรอให้นกแร้งมาจิกกิน เมื่อมันเริ่มเน่าก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว พวกที่หนีรอดไปได้ต่างเร่ร่อนผอมโซเป็นที่น่าอดสู มู่หรง เซียวหนานก็ไม่วายส่งคนข้ามไปตามจับกลับมาเป็นเชลย เขากำลังจะกลับเข้าวังหลวงเพื่อรับความดีความชอบในอีกไม่กี่วัน หัวใจของหยางจูเต้นกระหน่ำเมื่อคิดว่าจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ว่านี่คือหยางหยาง แต่นางหวังให้เขาจำไม่ได้ เพื่อที่เขาจะได้ทำเย็นชาและวางตนห่างเหิน นางจะไม่ต้องเหนื่อยกับการปฏิเสธหรืออธิบายสิ่งใด แม้นั่นจะเจ็บปวดมากก็ตามที “ช่วงนี้เจ้าดูเหม่อ ๆ นะหยางจู” องค์ชายชางทักตามประสาพี่ชายที่คอยตามดูน้องสาวอยู่ห่าง ๆ และเห็นว่าตั้งแต่กลับมา หยางจูดูไม่มีความสุขเลย ยิ่งมีข่าวว่ามู่หรงเซียวหนานกำ
“หา!! เจ้าบอกว่าอยากทำสิ่งใดนะ พูดให้พี่ฟังอีกทีซิ”ภายในตำหนักขนาดใหญ่ที่ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงฐานะของผู้อยู่อาศัย บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เบิกตามองสตรีใบหน้าจิ้มลิ้มที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องของตนด้วยความตื่นตระหนกตกใจระคนเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่นางเพิ่งจะเอ่ยขอ จนถึงกับต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ รวมทั้งคาดหวังให้ตัวเองฟังผิด“ข้าอยากปลอมตัวเข้าไปอยู่ในกองทัพของสหายท่าน อนุญาตเถอะนะเพคะ” เสียงใสตอบกลับกึ่งอ้อนวอน“แต่เจ้าเป็นองค์หญิง!”เฉินไป่ชางหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหนานร้องออกมาอย่างเหลืออด สองมือจับไหล่บอบบางของน้องสาว แล้วมองเข้าไปในดวงตากลมโตสุกใสอย่างเคร่งขรึมจริงจัง“เจ้าปลอมตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นไม่ได้ ไม่เด็ดขาดหยางจู”ย้ำท้ายประโยคด้วยเสียงเด็ดขาดที่ไม่ค่อยได้ใช้กับนางบ่อยนัก แต่หากไม่ย้ำให้ชัด มีหรือที่น้องสาวจอมแก่นของเขาจะฟังดรุณีน้อยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสุกสกาวเมื่อครู่หม่นแสงลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ แต่นั่นก็เป็นอยู่เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น นางก็กลับมาร่าเริงอีกคร...
Comments