ความอึดอัดท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจเมื่อได้ยินคำตำหนิว่าอาหารรสชาติแปลกประหลาด หยางจูรู้ดีว่าต้องเป็นเพราะเกลือที่นางโรยลงไปตามคำสั่งเป็นแน่ แต่คงจะใส่มากไปหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดจนรสชาติอาหารออกมาผิดแผกไปจากเดิม
“คนครัวคนเดิมหรือเปล่า” “คนเดิมขอรับ” มู่หรงเซียวหนานมุ่นหัวคิ้ว ลองตักน้ำแกงพร้อมกับเนื้อไก่กินอีกครั้ง “น้ำแกงนี่ใส่อะไรลงไปบ้าง” ตายล่ะ นางไม่ได้เป็นคนทำทุกขั้นตอนเสียเมื่อไหร่ แค่ถอนขนไก่ยังไม่ได้เลย แถมตอนปรุงน้ำแกงด้วยสมุนไพร นางก็กำลังแล่หมูอยู่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะตอบคำถามของเขาได้อย่างไร แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตา นางก็จำต้องหาคำตอบมาให้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่คนเป็นแม่ทัพ เคยแต่จับหอกจับดาบก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอาหารมากนัก “ก็ใส่เครื่องยาจีนทั่วไปขอรับ” “ลองไล่มาสิ ข้าจะดูว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป” “เอ่อ หากท่านกังวลเรื่องการวางยาพิษ ทางหน่วยได้มีการทดลองชิมและใช้เครื่องเงินทดสอบแล้วนะขอรับ” “ไม่ใช่เรื่องการวางยาอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกแปลกใจกับรสชาติอาหารน่ะ จึงอยากจะรู้ให้แน่ชัด” หรือนางจะใส่อย่างอื่นแทนเกลือกันนะ ? ในเมื่อนางไม่เคยเข้าครัวมาก่อน จะรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใดบ้าง “เอ่อ...ก็มีเกลือ เห็ดหอม อบเชยขอรับ” “อบเชย? น้ำแกงนี่ใส่อบเชยจริงหรือ” ท่าทางของเขาไม่ต่างจากตอนที่นางบอกใครสักคนว่าหมูบินได้ หยางจูอึกอัก สิ่งเดียวที่นางรู้จักดีก็คือโสมราคาแพงเท่านั้น และมันไม่มีทางไปอยู่ในน้ำแกงนี่แน่ “ข้าน้อยอาจจะจำผิดขอรับ ที่จริงพ่อครัวน่าจะใส่...” “เอาเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะไม่สบายจนกินอะไรก็รสชาติเปลี่ยนไปหมดก็ได้” เมื่อเห็นท่าทางของนายทหารหนุ่มตรงหน้า เขาก็ไม่อยากจะสืบหาความใด ๆ อีก “ท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าน้อยตามหมอหรือไม่ขอรับ” “ไม่ต้องหรอก ข้ากินได้” “แต่หากมันไม่อร่อย ข้าคิดว่าทำมาใหม่จะดีกว่า” “ต่อให้เป็นแม่ทัพก็ไม่ควรเลือกกินมากนัก ทหารอื่นได้กินอาหารเดิม ๆ บางวันก็แทบจะเหมือนอาหารหมู ข้าก็เป็นทหารคนหนึ่ง จะเลือกมากได้อย่างไร” “เสบียงขาดแคลนหรือขอรับ” นางถามอย่างแปลกใจ ในเมื่อน้องชายรองของท่านแม่ทัพเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่งร่ำรวยมาก หากเกิดปัญหาอะไรก็น่าจะพอช่วยได้บ้าง “ไม่ถึงกับขาดแคลนหรอก แค่ต้องเก็บไว้เผื่อยามจำเป็นน่ะ” “สถานการณ์แย่มากหรือขอรับ” นางถามอย่างสนใจ แต่เขากลับเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาคมปลาบจ้องเขม็งจนนางนึกหวาดหวั่นกับสายตาคู่นั้น “เจ้าคงอยู่ในครัวนานไปกระมัง ถึงได้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เราเตรียมตัวรับข้าศึกหนักมากเพียงใด” “เห็นจะเป็นเช่นนั้นขอรับ ข้าน้อยขออภัย คราวหลังจะสนใจให้มากกว่านี้” “ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ” “หยางหยางขอรับ” “หยางหยาง” เขาทวนคำ ทำท่าครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง เพราะสิ่งที่คิดนั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี “เจ้าหน้าตาเหมือนใครคนหนึ่งที่ข้ารู้จัก” “อาจจะเป็นเพราะใบหน้าของข้าไม่น่าจดจำ จึงไปเหมือนใครเขาทั่วไปหมดกระมัง” มู่หรงเซียวหนานหัวเราะสั้น ๆ ทว่าเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนมองใจสั่นสะท้านได้ เมื่อแววตาเฉยชาเป็นประกายขึ้นมาเพราะขบขัน เขาก็น่ามองขึ้นเป็นสิบเท่า “ไม่หรอก คนที่ข้ารู้จักน่ะไม่มีทางเหมือนใครได้ ไม่มีทางเลย จริง ๆ” เขากำลังคิดถึงสตรีที่อยู่สูงกว่าตัวเองมากนัก นางมีลักษณะท่าทางบางอย่างคล้ายกับหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้า อาจจะเป็นการพูดจาฉะฉานนั่นก็ได้ หรือดวงตากลมเป็นประกายสดใสที่เปล่งประกายทุกครั้งเมื่อเอื้อนเอ่ยวาจา หากแต่เขาก็ไม่พบเจอนางนานเสียเหลือเกิน จนน่าฉงนว่าป่านนี้นางจะเป็นอย่างไร หรือถูกผู้เป็นบิดาจับให้สมรสกับใครไปเสียแล้วก็ไม่รู้ “นางในดวงใจของท่านหรือขอรับ” หยางจูนึกสงสัยใคร่รู้ เพราะท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าคนที่เขาเอ่ยถึงต้องเป็นคนสำคัญมากอย่างแน่นอน ซึ่งพอนึกแล้วหัวใจนางรู้สึกคันยุบยิบกระวนกระวายอย่างบอก ไม่ถูก คนฟังหัวเราะออกมาอีกรอบ ก่อนจะชี้ตะเกียบมาทางคนตัวเล็ก “เจ้าอย่าปากมากนักเลย” หยางจูใคร่รู้นักว่าหญิงสาวที่เขานึกถึงคือใคร จะใช่นางหรือไม่ แต่นางก็ต้องยอมรับว่าหากเทียบระหว่างเขาและนางแล้ว มู่หรงเซียวหนานแทบไม่ได้เจอนางเลย ในขณะที่นางแอบมองเขาเวลามาเข้าเฝ้าพี่ชายเป็นประจำ การจะให้เขามีจิตพิศวาสนางเห็นดูจะเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย “แล้วเจ้าล่ะ แต่งงานหรือยัง” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อย “แต่ดูท่าน่าจะยัง” “ทำไมถึงคิดว่าน่าจะยังล่ะขอรับ” “เพราะเจ้าดูราวกับหนุ่มน้อยที่อายุเพิ่งจะพ้นวัยเด็กก็ไม่ปาน ตัวรึก็เท่านี้ ยิ่งผิวพรรณยิ่งแล้วใหญ่ ดูท่าเจ้าจะไม่เคยทำงานหนักมาก่อนเลย เสียงเจ้าก็เช่นกัน ข้ามองอย่างไรก็ไม่น่าจะพร้อมสำหรับการแต่งงานไปได้”หยางจูนิ่งอึ้ง นึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าทำตาให้มอมแมมขมุกขมัวมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่านางอึกอัก ก็ยิ่งคิดว่านางอับอายเพราะถูกล้อว่าเหมือนเด็ก จึงพูดเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อทำงานใช้แรงไปเรื่อย ๆ ตัวของเจ้าก็จะหนาเสียจนลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นเด็กมาก่อน” “ขอรับ” นางปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ คิดจะแต่งงานเมื่อใดกัน” “ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ในหัวมีแต่จะกำราบศัตรูให้สิ้นซากอย่างไรก็เท่านั้น” “แต่หากท่านทำสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องพระราชทานรางวัลให้ ดีไม่ดี จะให้ท่านแต่งกับหญิงงามมียศถาบรรดาศักดิ์เสียด้วยซ้ำไป” “ข้ารู้” มู่หรงเซียวหนานพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงขนาดที่น้องสาวของเขาก็อภิเษกไปกับ หลี่อวี้อ๋อง แล้วบุตรชายคนโตจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร “หากเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์เถิด”เขาพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เข้าใจเรื่องราวและเตรียมใจไว้แล้ว อันตัวเขานั้น แม้จะมีหัวใจ แต่ภาระหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนอยู่แล้ว หยางจูก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบอะไรที่แปลกไป
หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพับแขนเสื้อขึ้
“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะไรทั้งนั้น ข้าจึงเอาเนื้อนี้มาให้ แล้วข้าก็คิดถูก นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ผมลงอย่างเห็นได้ชัด” หยางจูก้มลงมองตัวเอง นางไม่ได้ผอมลงไปแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ ลู่อิงก็ชอบกังวลเกินเหตุและกล่าวอะไรเกินจริงอยู่ตลอด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก” นางรับมาด้วยความเต็มใจ “หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่ใช่คนพื้นเพ ไม่สมควรจะรู้จักใครที่นี่” “เจ้าค่ะ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือองค์หญิงที่ตัวเองดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย รู้สึกว่ามือนั้นกร้านขึ้นก็ทั้งตกใจและสงสารจับใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรลู่อิง มือข้าก็ยังอยู่ดี” หยางจูพูดอย่างรู้ทันความคิด “โธ่…คุณชาย…” ลู่อิงโอดครวญตามประสา “เอาละ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว นี่ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าจะมีคนสงสัยเอาได้” “ขอรับ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” เป็นเซี่ยหานปิงชิงพูดขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะเอ่ยอะไรยืดยาวเป็นการไม่จบสิ้น และได้รับค้อนจากลู่อิงไปหนึ่งวง หยางจูเห็นดังนั้นจึงแอบอมยิ้ม
วันหนึ่งระหว่างที่หยางจูกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าและทำความสะอาดบริเวณครัวทั้งหมด มีกลุ่มนายทหารสี่นายที่แวะเวียนเข้ามาคุยกับนางเป็นครั้งคราว ทุกคนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี หากจำไม่ผิดชายตัวสูงโย่งและผอมยิ่งกว่าลี่ถังคือเฉิงชุน คนที่ยืนข้าง ๆ เขาที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเป็นลูกน้องคือตงฟาง ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยและไม่ค่อยพูดมากนักจนดูไม่เข้ากับทุกคนชื่อเล่อเหลียน แต่อีกคนนั้นนางจำไม่ได้ “หยางหยาง เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” “ช่ายยย เห็นหน้าซื่อตาใสเช่นนี้ ที่ไหนได้ กลับซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนมิด” “เรารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ทีนี้ก็เล่ามาให้หมดเปลือก” หยางจูยืนตัวแข็ง มือที่จับไม้กวาดแทบจะร่วงผล็อยลงข้างตัว แต่นางก็ยังทำไขสือ “พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” “แน่ใจหรือ แต่พวกข้าซึ่งมีตาแปดคู่มองเห็นชัดแจ้งเลยนะ ว่าเจ้าแอบทำอะไรเมื่อวันก่อน” นางแอบไปทำอะไรให้คนพวกนี้จับได้นะ ในเมื่อเวลาแต่งตัว นางก็อยู่แต่ในกระโจม ไปอาบน้ำหรือก็หอบผ้าหอบผ่อนไปตอนกลางคืน แถมบ่อน้ำยังอยู่ด้านหลังโน่น หรือพวกเขาแอบเจาะรูผนัง! ไม่น่าใช่
“เจ้าอย่ามาสนใจข้าเลย เราไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันแม้แต่นิด” “แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่หว่า” ว่าแล้วก็เหวี่ยงถังน้ำของตัวเองมากระแทกขานางเต็มแรง “โอ๊ย!!” หยางจูล้มลงไปกับพื้น ขณะที่ไอ้อันธพาลก็หัวเราะชอบใจ น้ำที่แบกมาอย่างยากลำบากเจิ่งนองไปทั่ว ภายนอกนางไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่นางเจ็บใจมากกว่า “ไอ้ชั่ว ข้าอุตส่าห์มาได้ไกลถึงขนาดนี้ เจ้าทำน้ำข้าหกหมด” “นี่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ” มือหยาบกร้านจับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วบีบอย่างแรง “หยุด!!” เสียงห้วนห้าวบอกถึงความมีอำนาจดังก้อง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มเข้ามาหาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านรองแม่ทัพ” นางครางด้วยความโล่งใจ “เจ้าทำอะไร รังแกผู้อื่นงั้นหรือ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายพี่น้องร่วมทัพกับเจ้า” เมื่อจางซื่อหมิงสวมบทบาทขึงขังเอาจริงเอาจัง หยางจูก็อดรู้สึกแปลกใจระคนกลัวเกรงไม่ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “ทะ...ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้...” “อย่าคิดที่จะปฏิเสธ ข้าเห็นเต็มสองตา บอกชื่อของเจ้ามา” เจ้าคนอันธพาลอึกอักเหงื่อตก ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา ต่างจากตอนที่รังแกนางลิบลับ เห็นแล้วน่าสมเพชนัก “ข้าถา
ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเลื่อนยศให้อย่างง
“เฉิงชุน” นางดึงเสื้อเขาไว้เมื่อชายหนุ่มร่างหนาทำท่าจะพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นความยียวนของอีกฝ่าย นางไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน เพราะนางยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม “ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกัน” หัวหน้าตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติ “ไม่มีขอรับ ข้ากำลังจะไปทำงานตามที่ท่านหัวหน้าสั่งขอรับ” ฟาหยางตะโกนตอบ ก่อนจะหันมายิ้มหยันตบท้าย แล้วเดินวางโตออกไป “เจ้าน่าจะให้ข้าได้สั่งสอนมัน เห็นอยู่ว่ามันตั้งใจจะแกล้งเจ้า” เฉิงชุนแค้นใจแทน “ข้ารู้ แต่หากเจ้าตอบโต้มัน เจ้าเองก็จะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน คนแบบนี้หากหมดสนุกก็คงเลิกไปเอง” นางพูดเพื่อสงบอารมณ์ของเฉิงชุนเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านิสัยอันธพาลไม่ได้หายง่าย ๆ “เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่” ลี่ถังมองด้วยสายตาเป็นห่วง แขนยังคงโอบประคองนางไว้ “ข้าไหวน่า ถึงจะตัวเล็ก แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ แค่ล้ม จะเจ็บแค่ไหนกันเชียว” หยางจูแสร้งก้มลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา แต่ความเจ็บแล่นปลาบ นางก็ได้แต่กัดฟันทน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะพากันเรียกนางว่าเจ้าปวกเปียกไปหมด “กลับไปทำงานกันเถอะ” นางบอกพวกเขา เมื่อเห็นคนตัวเล็กหันหลังเดินไปเต
ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้น่าจะเป็นกระบี่
“เปล่า! ข้าไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย นางตอบกลับอย่างร้อนรน เมื่อได้พูดออกไปแล้ว ลู่อิงก็นึกได้ถึงจุดประสงค์ที่ตนมาแต่แรก นางพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมาปกติ “ข้าแค่อยากจะมาขอบคุณท่าน...สิ่งนี้ของท่านใช่หรือไม่” นางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ยื่นให้เขาดูเซี่ยหานปิงมองปิ่นปักผมในมือของลู่อิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่”จากนั้นเขาก็เดินเลยนางไป หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดกระบี่ของตนอย่างทะนุถนอมลู่อิงขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่เข้าใจ หากไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของใครกัน แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยถามออกไป เสียงทุ้มต่ำของเซี่ยหานปิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “บัดนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว เป็นฮูหยินของนายพราน จะมีปิ่นปักผมสวย ๆ สักชิ้นก็ไม่แปลกนักหรอก” เขาหันมามองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์หาเงินได้มากเท่าใด”“ท่านนี้มัน....เฮ้อ!” ลู่อิงอดไม่ได้ที่จะหลุดถอนหายใจเบา ๆ ในใจนางรู้สึกอึดอัดเพราะคำพูดนั้น แต่เมื่อคิดถึงน้ำใจของเขา คำพูดต่อว่ามากมายก็ถูกนางกลืนลงท้องไป แล้วเอ่ยถามกลับด้ว
ตรงหน้านางคือปิ่นปักผมที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่สวยงาม นางจำได้ว่าได้หยุดแวะดูตอนเดินผ่านหน้าแผงขายก่อนที่จะไปเยี่ยมองค์หญิงหยางจู แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันแพงเกินไปสำหรับหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างตน ทว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็ไม่รู้ ครุ่นคิดไปก็น่าจะเป็นเซี่ยหานปิงเป็นแน่แม้ปิ่นนี้จะเรียบง่าย มีไข่มุกเพียงเม็ดเดียวอยู่ตรงด้าม แต่กลับถูกใจนางเป็นอย่างมาก แต่เพราะนางกำลังรับบทเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา จึงมิควรใช้ของแพง ๆ เช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นที่น่าสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดยิ้มออกมามิได้เมื่อคิดถึงเซี่ยหานปิง อาจจะเป็นเขาที่ซื้อมันมาให้เพื่อเป็นการเอาใจ หรืออาจจะเป็นแค่ความใส่ใจเล็กน้อยจากเขาเท่านั้น แต่สำหรับนางคงมิอาจปิดบังความดีใจได้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณ นางจึงตัดสินใจหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องพักของเซี่ยหานปิง นางเคาะประตูอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ นางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย และเมื่อไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่ภายในห้องกลับไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของบนโต๊ะยังคงอยู่ในที่เดิม ไม่มี
เซี่ยหานปิง ที่ปกติสงวนวาจา ยามนี้กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่เคย “เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าองค์หญิงเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี นางมีไหวพริบยอดเยี่ยมและเข้มแข็งกว่าที่คิดมาก อีกทั้งพวกทหารชั้นประทวนนายอื่นยังมีชีวิตที่ลำบากกว่าองค์หญิงมาก”ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดยาวเช่นนี้จากเขา “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะพูดมากขนาดนี้เลยนะ ท่านรู้จักการใช้ชีวิตในค่ายทหารดีนักหรือ”เซี่ยหานปิงหัวเราะเบา ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเขา “ข้าเคยผ่านมันมามาก่อน พอจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้าคิดว่าองค์หญิงหยางจูเข้มแข็งกว่าที่ท่านคิด ท่านควรเชื่อมั่นในนาง”“เราไปหาองค์หญิงกันอีกครั้งดีหรือไม่” ลู่อิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แม้ดวงตาของนางจะเต็มไปด้วยความหวัง แต่นางก็รู้ว่าเซี่ยหานปิงมักจะไม่อนุญาต“ไม่ได้ ไปบ่อยจะยิ่งทำให้น่าสงสัย” เซี่ยหานปิง ที่ยังคงสงบนิ่งดั่งภูผา ส่ายศีรษะเบา ๆ น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึมตามปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองและดวงตาละห้อยของลู่อิง แววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามผ่อนคลายท่าทางขอ
เซี่ยหานปิงจัดการติดต่อกับรองแม่ทัพจางซื่อหมิงเพื่อขอพบองค์หญิงหยางจู ระหว่างรอ ลู่อิงก็ยืนกระสับกระส่ายด้วยความกังวลและเป็นห่วง โดยมีเซี่ยหานปิงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ“องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน“จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน“คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่“นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู”“อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก“แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย”“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้“นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะ
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก
เมื่อเย็นย่ำอาทิตย์จวนจะลับฟ้า เทศกาลล่าไก่ป่าก็สิ้นสุดลง เซี่ยหานปิงกลับมาพร้อมกับไก่ป่าสิบห้าตัว เหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยเช่นเคย ดูท่าว่าเขาจะไม่ออมมือให้กับชายอื่นในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อยลู่อิงมองสามีกำมะลอของนางด้วยความชื่นชมปนขำขัน นางรู้นิสัยเขาดี เซี่ยหานปิงไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คงจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฝีมือการล่าสัตว์ได้ง่าย ๆ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่ป่าเท่านั้น แต่ข้าง ๆ ยังมีหมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกล่ามาอีกตัว“ยินดีด้วยแม่นางเซี่ย สามีเจ้าชนะการแข่งขันล่าไก่ป่าครั้งนี้แล้ว ไปรับของรางวัลกับท่านผู้นำหมู่บ้านเถอะ” ฮูหยินจางเดินเข้ามาแสดงความยินดีก่อนใคร ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำชมจากบรรดาหญิงสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ลู่อิงยิ้มรับคำยินดีด้วยท่าทีที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีไม่น้อยของรางวัลที่ได้รับเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างดีและไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีกสองตัว ลู่อิงอดคิดไม่ได้ว่าเทศกาลล่าไก่ป่ากลับได้ไก่บ้านมาเป็นรางวัล นางยิ้มขำในใจแต่ยังคงกล่าวขอบคุณท่านผู้นำหมู่บ้า
ลู่อิงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันที่หมู่บ้านมีเทศกาลล่าไก่ป่า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักของชาวบ้าน เด็กน้อยชายหญิงวิ่งถือขนมหวานน้ำตาลปั้น ส่งเสียงหัวเราะสดใสทั่วทั้งบริเวณ ลู่อิงยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นความมีชีวิตชีวานั้น นางเองก็มาช่วยฮูหยินคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมอาหารในกระโจมใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ชายก็ออกไปล่าไก่ในป่าตามธรรมเนียมของเทศกาลแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความกังวลบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของลู่อิงองค์หญิงหยางจูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?องค์หญิงของนางอยู่ในค่ายทหารท่ามกลางความอันตรายโดยปลอมตัวเป็นทหาร คงเหน็ดเหนื่อยและลำบากมิใช่น้อย ลู่อิงคิดขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น นางจึงรีบไปหาเซี่ยหานปิงราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งขัดหัวลูกธนูเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมเทศกาลล่าไก่ป่า เขาครุ่นคิดว่าการเข้าร่วมเทศกาลนี้เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเข้าใกล้ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งยังได้ไก่ป่ากลับมาทำอาหารอีกด้วย และแน่นอน ลู่อิงคงจะดีใจที่มีไก่มาทำไก่ตุ๋นยาจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นางทำเป็นประจำแทบจะทุก ๆ สามสี่วัน เขาคิดว่าต
“หามิได้ เพียงแต่แม่นางลู่ลืมแล้วว่าเรามีภารกิจอันใด ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าไม่มีเวลาดูแลท่านได้ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น”“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเช่นนี้”ลู่อิงนอนนิ่งบนเตียง ความคิดสับสนวุ่นวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าภารกิจที่นางและเซี่ยหานปิงได้รับนั้นสำคัญเพียงใด การที่ทั้งสองต้องปลอมตัวมาอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่วางมาอย่างรอบคอบ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับ องค์หญิงหยางจู ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเป็นทหารรับใช้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานผู้ซึ่งนางแอบมีใจองค์หญิงหยางจู แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ นางเลือกที่จะเสี่ยงต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นชาย เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับมู่หรงเซียวหนานในฐานะทหารรับใช้ เพื่อหวังว่า ความใกล้ชิดและการอุทิศตนจะช่วยให้ท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมผู้นี้รู้สึกถึงความรักที่นางมีให้ลู่อิงชื่นชมความรักมั่นขององค์หญิงหยางจู และสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงของนางตัดสินใจทำเช่นนั้นเพราะ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะให้องค์หญิงหยางจูอภิเษกกับองค์ชายจากต่างแคว้นเพื่อเชื่
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เซี่ยหานปิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาสวมชุดผ้าไหมสะอาดสีดำที่มีกลิ่นหอมของดอกไห่ถังอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ลู่อิงใช้อบเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ขณะนั้นฮูหยินจางกำลังป้อนน้ำแกงรากบัวให้ลู่อิงพอดีเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา“เซี่ยหานปิง” ฮูหยินจางเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน“อืม...นางเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะพยายามซ่อนมันไว้“ดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่ ตาเฒ่าจางบอกว่าพักอีกสักสองสามวันก็คงหายดี” ฮูหยินจางตอบ“เช่นนั้น...”“เช่นนั้นท่านก็ป้อนน้ำแกงนี้ให้นางเถอะ ข้าจะไปดูยาต้มเสียหน่อย” ฮูหยินจางกล่าวตัดบท นางพอจะดูออกว่าสองสามีภรรยาห่างเหินกันยิ่งนัก ทั้งเมื่อวันก่อนตอนที่ลู่อิงถามถึงสามีกับนาง นางยังทันได้เห็นใบหน้าน้อยอกน้อยใจนั้นด้วย“แต่ข้า...”“เอาเถอะ ๆ ท่านป้อนนางไปดี ๆ แล้วกัน” ฮูหยินจางรีบยัดถ้วยน้ำแกงใส่มือของเซี่ยหานปิง ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งความกระอักกระอ่วนไว้ระหว่างสองสามีภรรยาเซี่ยหานปิงมองถ้วยน้ำแกงในมือด้วยความลังเลทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ถนัดเรื่องการดูแลคนป่วยนัก ลู