ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเลื่อนยศให้อย่างง
“เฉิงชุน” นางดึงเสื้อเขาไว้เมื่อชายหนุ่มร่างหนาทำท่าจะพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นความยียวนของอีกฝ่าย นางไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน เพราะนางยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม “ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกัน” หัวหน้าตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติ “ไม่มีขอรับ ข้ากำลังจะไปทำงานตามที่ท่านหัวหน้าสั่งขอรับ” ฟาหยางตะโกนตอบ ก่อนจะหันมายิ้มหยันตบท้าย แล้วเดินวางโตออกไป “เจ้าน่าจะให้ข้าได้สั่งสอนมัน เห็นอยู่ว่ามันตั้งใจจะแกล้งเจ้า” เฉิงชุนแค้นใจแทน “ข้ารู้ แต่หากเจ้าตอบโต้มัน เจ้าเองก็จะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน คนแบบนี้หากหมดสนุกก็คงเลิกไปเอง” นางพูดเพื่อสงบอารมณ์ของเฉิงชุนเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านิสัยอันธพาลไม่ได้หายง่าย ๆ “เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่” ลี่ถังมองด้วยสายตาเป็นห่วง แขนยังคงโอบประคองนางไว้ “ข้าไหวน่า ถึงจะตัวเล็ก แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ แค่ล้ม จะเจ็บแค่ไหนกันเชียว” หยางจูแสร้งก้มลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา แต่ความเจ็บแล่นปลาบ นางก็ได้แต่กัดฟันทน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะพากันเรียกนางว่าเจ้าปวกเปียกไปหมด “กลับไปทำงานกันเถอะ” นางบอกพวกเขา เมื่อเห็นคนตัวเล็กหันหลังเดินไปเต
ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้น่าจะเป็นกระบี่
หยางจูหลบอยู่ในกระโจมของจางซื่อหมิงซึ่งไม่ต่างจากของ มู่หรงเซียวหนานนัก เพียงแค่มีอาวุธมากกว่า และตำราน้อยกว่าเท่านั้น อาจเพราะทั้งสองคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่ต่างก็เป็นกำลังสำคัญของกองทัพทั้งคู่ นางไม่กล้าเดินไปมามากนัก นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว ยังกลัวผู้ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ เห็นเงาของนางอยู่ในนี้ นางจึงนั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียง เฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก ทั้งเสียงตะโกนสั่งการ เสียงทหารเกือบหมื่นนายตอบรับคำสั่ง การขยับเท้า ชุดเกราะที่เสียดสีกันและเสียงอาวุธหลากชนิด รวมถึงเสียงม้า ทุกอย่างเป็นไปอย่างพร้อมเรียงและน่าเกรงขาม จนนางนึกอยากจะเห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ หากแต่นางก็รู้ดีว่าต่อให้นางจะแข็งแรงเพียงใด แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน ไม่มีทางที่จะอยู่รอดในวงล้อมแห่งความทรหดเช่นนั้นได้ นางนึกเสียใจที่ไม่ได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาก่อน หากนางขอให้องครักษ์ช่วยสอน อย่างน้อยนางก็คงจะไม่ต้องมาหลบเป็นตัวตุ่นเพราะจับอาวุธไม่เป็นเช่นนี้หรอก ยังมีทหารอยู่ข้างนอกที่เดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป น่าจะเป็นทหารเวรที่ทำหน้าที่เฝ้าค่าย หยางจูยังคงนั่งอยู่แบบนั้นด้วยความเบื่อหน
ด้วยความกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย หยางจูจึงกระทืบเท้าคนที่รวบตัวนางเอาไว้ จากนั้นก็ก้มลงกัดมือที่ยึดแขนนางจนจมเขี้ยว ทั้งสองคนร้องลั่น รีบปล่อยนางออก นางจึงมีโอกาสหลุดจากพันธนาการ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ ฟาหยางก็เข้าขัดขวาง แต่นางเตะที่เป้าของมันเต็มแรง “โอ๊ย!!!!” ฟาหยางยกสองมือกุมเป้า ตัวงอทรุดลงไปกับพื้น เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดทำให้หยางจูยิ้มด้วยความสะใจ นางรีบเบี่ยงตัวจะเดินไปอีกทาง แต่ถึงแม้จะเจ็บจนหน้าเขียวหน้าเหลือง มันก็ยังมิวายเอามือมาบีบข้อเท้านางไว้ “คิดจะไปไหน” “เจ้านี่” นางสะบัดขา แต่มือที่แข็งแกร่งก็จับยึดไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วยังจะดึงให้นางล้มคว่ำไปกับพื้นอีก เหตุการณ์ดูจะกลายเป็นความบันเทิงให้ทหารที่เหนื่อยล้าและเครียดจากการฝึกรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปเสียแล้ว ไม่มีใครอยากจะเข้ามาห้ามหรือช่วยเหลือ เพราะตั้งตารอตอนจบของความขัดแย้งนี้กันอยู่ทั้งนั้น และเพราะไม่มีใครคิดว่านางคือหญิงสาวที่ถูกรังแก แต่เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เรื่องที่นางจะถูกจับเปลื้องผ้า จึงดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เคลื่อนผ่านผู้คนเข้ามากลางวง ทำให้พวกที่รุมล
หรือเขาจะใช้ชีวิตในกองทัพมากเกินไป เขาตั้งคำถามกับตัวเอง หลังจากก้มหน้าก้มตาอยู่กับการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ และแบกชีวิตผู้คนนับหมื่นในค่ายแห่งนี้ไว้บนบ่ามานานปี “ท่านแม่ทัพ ท่านดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน” หยางจูเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าตาและไหล่ที่ลู่ลงของเขาในยามนี้ ซึ่งต่างจากยามปกติที่ผ่ายผึงตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา “เพราะข้าเหนื่อยจริง ๆ” เป็นครั้งแรกที่เขายอมเอ่ยบอกความรู้สึกกับใครสักคน “ถ้าเช่นนั้นก็พักเถอะขอรับ ท่านอยากได้สิ่งใด ขอให้บอกข้ามาได้เลย” “แค่อย่าให้ใครเข้ามากวนข้าสักครู่ก็พอ” เขาถอดเสื้อเกราะ แต่ก็ปลดสายที่ผูกกันอยู่ไม่ออก “มาช่วยข้าหน่อย” หยางจูทำตาโต นางไม่ทันคิดว่าการเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของเขา ก็ต้องช่วยเขาทำทุกอย่างแม้แต่การแต่งตัวด้วย “หยางหยาง” เขาเรียกซ้ำ “ขอรับ ๆ” นางเดินเข้าไปใกล้ พยายามคิดว่าการถอดและสวมเสื้อเกราะนี่มันต้องทำเช่นไร แต่เมื่อเขากระตุกมือว่าจะให้นางช่วยแก้เชือกที่ผูกอยู่ออก นางก็รีบทำให้ จากนั้นก็รับเสื้อเกราะ เอาไปแขวนไว้ด้านหลังราวแขวน ถึงแม้จะไม่ได้สวมชุดเกราะหนาหนัก แต่เขาก็ยังตัวใหญ่เหมือนเดิม หยางจูมองเขาก้มลงถอดรองเท้าด้วยตัวเอง นางลังเล
การถูกลงโทษอย่างรุนแรงสร้างความเจ็บแค้นให้แก่ฟาหยางยิ่งนัก นอกจากจะต้องอกสั่นขวัญแขวนกับบทลงโทษในห้องมืด ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแล้ว ยังรู้สึกอัปยศที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับไอ้คนอ่อนปวกเปียกเช่นนั้น แทนที่จะรู้สำนึก ทว่าการลงโทษนี้มีแต่จะสุมไฟภายในใจให้ลุกโพลงขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ฟาหยางต้องทำไม่ใช่การเข็ดหลาบอย่างคนแพ้ หากแต่เป็นการแก้แค้นให้สาสม แต่การแก้แค้นในครั้งต่อไปจะต้องมั่นใจได้ว่าเจ้าหยางหยางนั่น มันจะต้องถูกขับออกจากค่ายแห่งนี้อย่างหมาขี้เรื้อนเลยทีเดียว หรือถ้าถึงขนาดที่จะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในที่แห่งนี้ เขาก็จะยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ฟาหยางนั่งเอาศีรษะพิงผนังหินเย็นเฉียบ เขามองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง ได้ยินเสียงสัตว์บางอย่างวิ่งพล่านไปมา เดาว่าน่าจะเป็นหนู และสัตว์เลื้อยคลานสกปรก ๆ อีกหลายชนิด แม้จะเข้ามาได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาก็รู้สึกกระวนกระวาย เหงื่อแตกพลั่ก ในอกระส่ำระสายไปหมด โดยไม่รู้เลยว่าจะต้องอยู่ในนี้ไปอีกนานเพียงใด และทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะเจ้าอ่อนปวกเปียกนั่นคนเดียว การที่มันทำตัวแปลกประหลาด อ่อนแอและหวงเนื้อหวงตัวผิดปกติ ทำให้เขารู้สึกเคลือบแคลง มันต้องมีบางอย่างซ
“แม้จะดื่มสุรากับท่านรองแม่ทัพ ก็ไม่ช่วยให้หลับ แสดงว่าเรื่องที่อยู่ในใจของท่าน จะต้องหนักหน่วงมากแน่” หยางจูทำใจกล้าชวนเขาคุย “หึ” เขาทำเสียงในลำคอ “มีแม่ทัพคนไหนนอนหลับสนิทบ้าง” หยางจูนึกไปถึงแม่ทัพตัวอ้วนฉุหลายต่อหลายคนในราชสำนักที่เสด็จพ่อแต่งตั้งขึ้น เอาแต่เดินไปเดินมาในชุดเกราะเงาวับ แล้วก็อยากจะตอบกลับไปนักว่าเจ้าพวกนั้นน่ะนอนหลับสบายอยู่บนกองเงินกองทอง หากไม่ติดว่าจะต้องรักษาความลับ นางคงสนทนากับเขาได้อย่างออกรสมากกว่านี้ ก็เจ้าพวกนั้นน่ะ แค่ถือดาบก็น่าจะล้มหงายหลังตึง “น่าจะมีหลายคนที่เหนื่อยล้าจนฝืนต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีบางคนพยายามจะฝืน” นางเหล่ตามองให้คนที่ถูกกระทบกระเทียบรู้ตัว “ฮื่อ เจ้านี่ปากมากจริง” “เขาเรียกว่าช่างพูดขอรับ” คราวนี้ใบหน้าขรึมถึงกับยิ้มออกมา เขาอยากจะเขกหัวคนที่เดินอยู่ข้างกายแล้วเอาแต่ต่อปากต่อคำไม่หยุด แต่ก็นึกเอ็นดูอยู่ในใจ หยางหยางช่างพูดช่างจาเหมือนน้องเยว่ชิงไม่มีผิด ต่างกันแค่นั่นคือหญิง นี่คือชายก็เท่านั้น “พระจันทร์สวยนะขอรับ ท่านชอบชมจันทร์หรือไม่” มู่หรงเซียวหนานชะงักเท้า เงยหน้าขึ้นมองดวงเดือนสีเหลืองนวลที่มีหมู่ดาวรายล้อมก่อนจะ
“เปล่า! ข้าไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย นางตอบกลับอย่างร้อนรน เมื่อได้พูดออกไปแล้ว ลู่อิงก็นึกได้ถึงจุดประสงค์ที่ตนมาแต่แรก นางพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมาปกติ “ข้าแค่อยากจะมาขอบคุณท่าน...สิ่งนี้ของท่านใช่หรือไม่” นางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ยื่นให้เขาดูเซี่ยหานปิงมองปิ่นปักผมในมือของลู่อิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่”จากนั้นเขาก็เดินเลยนางไป หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดกระบี่ของตนอย่างทะนุถนอมลู่อิงขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่เข้าใจ หากไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของใครกัน แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยถามออกไป เสียงทุ้มต่ำของเซี่ยหานปิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “บัดนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว เป็นฮูหยินของนายพราน จะมีปิ่นปักผมสวย ๆ สักชิ้นก็ไม่แปลกนักหรอก” เขาหันมามองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์หาเงินได้มากเท่าใด”“ท่านนี้มัน....เฮ้อ!” ลู่อิงอดไม่ได้ที่จะหลุดถอนหายใจเบา ๆ ในใจนางรู้สึกอึดอัดเพราะคำพูดนั้น แต่เมื่อคิดถึงน้ำใจของเขา คำพูดต่อว่ามากมายก็ถูกนางกลืนลงท้องไป แล้วเอ่ยถามกลับด้ว
ตรงหน้านางคือปิ่นปักผมที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่สวยงาม นางจำได้ว่าได้หยุดแวะดูตอนเดินผ่านหน้าแผงขายก่อนที่จะไปเยี่ยมองค์หญิงหยางจู แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันแพงเกินไปสำหรับหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างตน ทว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็ไม่รู้ ครุ่นคิดไปก็น่าจะเป็นเซี่ยหานปิงเป็นแน่แม้ปิ่นนี้จะเรียบง่าย มีไข่มุกเพียงเม็ดเดียวอยู่ตรงด้าม แต่กลับถูกใจนางเป็นอย่างมาก แต่เพราะนางกำลังรับบทเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา จึงมิควรใช้ของแพง ๆ เช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นที่น่าสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดยิ้มออกมามิได้เมื่อคิดถึงเซี่ยหานปิง อาจจะเป็นเขาที่ซื้อมันมาให้เพื่อเป็นการเอาใจ หรืออาจจะเป็นแค่ความใส่ใจเล็กน้อยจากเขาเท่านั้น แต่สำหรับนางคงมิอาจปิดบังความดีใจได้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณ นางจึงตัดสินใจหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องพักของเซี่ยหานปิง นางเคาะประตูอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ นางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย และเมื่อไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่ภายในห้องกลับไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของบนโต๊ะยังคงอยู่ในที่เดิม ไม่มี
เซี่ยหานปิง ที่ปกติสงวนวาจา ยามนี้กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่เคย “เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าองค์หญิงเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี นางมีไหวพริบยอดเยี่ยมและเข้มแข็งกว่าที่คิดมาก อีกทั้งพวกทหารชั้นประทวนนายอื่นยังมีชีวิตที่ลำบากกว่าองค์หญิงมาก”ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดยาวเช่นนี้จากเขา “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะพูดมากขนาดนี้เลยนะ ท่านรู้จักการใช้ชีวิตในค่ายทหารดีนักหรือ”เซี่ยหานปิงหัวเราะเบา ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเขา “ข้าเคยผ่านมันมามาก่อน พอจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้าคิดว่าองค์หญิงหยางจูเข้มแข็งกว่าที่ท่านคิด ท่านควรเชื่อมั่นในนาง”“เราไปหาองค์หญิงกันอีกครั้งดีหรือไม่” ลู่อิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แม้ดวงตาของนางจะเต็มไปด้วยความหวัง แต่นางก็รู้ว่าเซี่ยหานปิงมักจะไม่อนุญาต“ไม่ได้ ไปบ่อยจะยิ่งทำให้น่าสงสัย” เซี่ยหานปิง ที่ยังคงสงบนิ่งดั่งภูผา ส่ายศีรษะเบา ๆ น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึมตามปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองและดวงตาละห้อยของลู่อิง แววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามผ่อนคลายท่าทางขอ
เซี่ยหานปิงจัดการติดต่อกับรองแม่ทัพจางซื่อหมิงเพื่อขอพบองค์หญิงหยางจู ระหว่างรอ ลู่อิงก็ยืนกระสับกระส่ายด้วยความกังวลและเป็นห่วง โดยมีเซี่ยหานปิงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ“องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน“จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน“คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่“นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู”“อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก“แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย”“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้“นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะ
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก
เมื่อเย็นย่ำอาทิตย์จวนจะลับฟ้า เทศกาลล่าไก่ป่าก็สิ้นสุดลง เซี่ยหานปิงกลับมาพร้อมกับไก่ป่าสิบห้าตัว เหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเขายังเรียบเฉยเช่นเคย ดูท่าว่าเขาจะไม่ออมมือให้กับชายอื่นในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อยลู่อิงมองสามีกำมะลอของนางด้วยความชื่นชมปนขำขัน นางรู้นิสัยเขาดี เซี่ยหานปิงไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คงจะไม่ยอมให้ใครดูถูกฝีมือการล่าสัตว์ได้ง่าย ๆ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่ป่าเท่านั้น แต่ข้าง ๆ ยังมีหมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกล่ามาอีกตัว“ยินดีด้วยแม่นางเซี่ย สามีเจ้าชนะการแข่งขันล่าไก่ป่าครั้งนี้แล้ว ไปรับของรางวัลกับท่านผู้นำหมู่บ้านเถอะ” ฮูหยินจางเดินเข้ามาแสดงความยินดีก่อนใคร ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำชมจากบรรดาหญิงสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ลู่อิงยิ้มรับคำยินดีด้วยท่าทีที่สงบ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีไม่น้อยของรางวัลที่ได้รับเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างดีและไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อีกสองตัว ลู่อิงอดคิดไม่ได้ว่าเทศกาลล่าไก่ป่ากลับได้ไก่บ้านมาเป็นรางวัล นางยิ้มขำในใจแต่ยังคงกล่าวขอบคุณท่านผู้นำหมู่บ้า
ลู่อิงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันที่หมู่บ้านมีเทศกาลล่าไก่ป่า บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักของชาวบ้าน เด็กน้อยชายหญิงวิ่งถือขนมหวานน้ำตาลปั้น ส่งเสียงหัวเราะสดใสทั่วทั้งบริเวณ ลู่อิงยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นความมีชีวิตชีวานั้น นางเองก็มาช่วยฮูหยินคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมอาหารในกระโจมใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ชายก็ออกไปล่าไก่ในป่าตามธรรมเนียมของเทศกาลแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความกังวลบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของลู่อิงองค์หญิงหยางจูจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?องค์หญิงของนางอยู่ในค่ายทหารท่ามกลางความอันตรายโดยปลอมตัวเป็นทหาร คงเหน็ดเหนื่อยและลำบากมิใช่น้อย ลู่อิงคิดขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น นางจึงรีบไปหาเซี่ยหานปิงราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งขัดหัวลูกธนูเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมเทศกาลล่าไก่ป่า เขาครุ่นคิดว่าการเข้าร่วมเทศกาลนี้เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะเข้าใกล้ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งยังได้ไก่ป่ากลับมาทำอาหารอีกด้วย และแน่นอน ลู่อิงคงจะดีใจที่มีไก่มาทำไก่ตุ๋นยาจีน ซึ่งเป็นอาหารที่นางทำเป็นประจำแทบจะทุก ๆ สามสี่วัน เขาคิดว่าต
“หามิได้ เพียงแต่แม่นางลู่ลืมแล้วว่าเรามีภารกิจอันใด ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าไม่มีเวลาดูแลท่านได้ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น”“ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเช่นนี้”ลู่อิงนอนนิ่งบนเตียง ความคิดสับสนวุ่นวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าภารกิจที่นางและเซี่ยหานปิงได้รับนั้นสำคัญเพียงใด การที่ทั้งสองต้องปลอมตัวมาอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่วางมาอย่างรอบคอบ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับ องค์หญิงหยางจู ผู้ซึ่งปลอมตัวมาเป็นทหารรับใช้แม่ทัพมู่หรงเซียวหนานผู้ซึ่งนางแอบมีใจองค์หญิงหยางจู แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ นางเลือกที่จะเสี่ยงต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเอง ด้วยการปลอมตัวเป็นชาย เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับมู่หรงเซียวหนานในฐานะทหารรับใช้ เพื่อหวังว่า ความใกล้ชิดและการอุทิศตนจะช่วยให้ท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมผู้นี้รู้สึกถึงความรักที่นางมีให้ลู่อิงชื่นชมความรักมั่นขององค์หญิงหยางจู และสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงของนางตัดสินใจทำเช่นนั้นเพราะ ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะให้องค์หญิงหยางจูอภิเษกกับองค์ชายจากต่างแคว้นเพื่อเชื่
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน เซี่ยหานปิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาสวมชุดผ้าไหมสะอาดสีดำที่มีกลิ่นหอมของดอกไห่ถังอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ลู่อิงใช้อบเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ขณะนั้นฮูหยินจางกำลังป้อนน้ำแกงรากบัวให้ลู่อิงพอดีเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา“เซี่ยหานปิง” ฮูหยินจางเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน“อืม...นางเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะพยายามซ่อนมันไว้“ดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงอยู่ ตาเฒ่าจางบอกว่าพักอีกสักสองสามวันก็คงหายดี” ฮูหยินจางตอบ“เช่นนั้น...”“เช่นนั้นท่านก็ป้อนน้ำแกงนี้ให้นางเถอะ ข้าจะไปดูยาต้มเสียหน่อย” ฮูหยินจางกล่าวตัดบท นางพอจะดูออกว่าสองสามีภรรยาห่างเหินกันยิ่งนัก ทั้งเมื่อวันก่อนตอนที่ลู่อิงถามถึงสามีกับนาง นางยังทันได้เห็นใบหน้าน้อยอกน้อยใจนั้นด้วย“แต่ข้า...”“เอาเถอะ ๆ ท่านป้อนนางไปดี ๆ แล้วกัน” ฮูหยินจางรีบยัดถ้วยน้ำแกงใส่มือของเซี่ยหานปิง ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งความกระอักกระอ่วนไว้ระหว่างสองสามีภรรยาเซี่ยหานปิงมองถ้วยน้ำแกงในมือด้วยความลังเลทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ถนัดเรื่องการดูแลคนป่วยนัก ลู