ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้น่าจะเป็นกระบี่
หยางจูหลบอยู่ในกระโจมของจางซื่อหมิงซึ่งไม่ต่างจากของ มู่หรงเซียวหนานนัก เพียงแค่มีอาวุธมากกว่า และตำราน้อยกว่าเท่านั้น อาจเพราะทั้งสองคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่ต่างก็เป็นกำลังสำคัญของกองทัพทั้งคู่ นางไม่กล้าเดินไปมามากนัก นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว ยังกลัวผู้ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ เห็นเงาของนางอยู่ในนี้ นางจึงนั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียง เฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก ทั้งเสียงตะโกนสั่งการ เสียงทหารเกือบหมื่นนายตอบรับคำสั่ง การขยับเท้า ชุดเกราะที่เสียดสีกันและเสียงอาวุธหลากชนิด รวมถึงเสียงม้า ทุกอย่างเป็นไปอย่างพร้อมเรียงและน่าเกรงขาม จนนางนึกอยากจะเห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ หากแต่นางก็รู้ดีว่าต่อให้นางจะแข็งแรงเพียงใด แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน ไม่มีทางที่จะอยู่รอดในวงล้อมแห่งความทรหดเช่นนั้นได้ นางนึกเสียใจที่ไม่ได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาก่อน หากนางขอให้องครักษ์ช่วยสอน อย่างน้อยนางก็คงจะไม่ต้องมาหลบเป็นตัวตุ่นเพราะจับอาวุธไม่เป็นเช่นนี้หรอก ยังมีทหารอยู่ข้างนอกที่เดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป น่าจะเป็นทหารเวรที่ทำหน้าที่เฝ้าค่าย หยางจูยังคงนั่งอยู่แบบนั้นด้วยความเบื่อหน
ด้วยความกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย หยางจูจึงกระทืบเท้าคนที่รวบตัวนางเอาไว้ จากนั้นก็ก้มลงกัดมือที่ยึดแขนนางจนจมเขี้ยว ทั้งสองคนร้องลั่น รีบปล่อยนางออก นางจึงมีโอกาสหลุดจากพันธนาการ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ ฟาหยางก็เข้าขัดขวาง แต่นางเตะที่เป้าของมันเต็มแรง “โอ๊ย!!!!” ฟาหยางยกสองมือกุมเป้า ตัวงอทรุดลงไปกับพื้น เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดทำให้หยางจูยิ้มด้วยความสะใจ นางรีบเบี่ยงตัวจะเดินไปอีกทาง แต่ถึงแม้จะเจ็บจนหน้าเขียวหน้าเหลือง มันก็ยังมิวายเอามือมาบีบข้อเท้านางไว้ “คิดจะไปไหน” “เจ้านี่” นางสะบัดขา แต่มือที่แข็งแกร่งก็จับยึดไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วยังจะดึงให้นางล้มคว่ำไปกับพื้นอีก เหตุการณ์ดูจะกลายเป็นความบันเทิงให้ทหารที่เหนื่อยล้าและเครียดจากการฝึกรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปเสียแล้ว ไม่มีใครอยากจะเข้ามาห้ามหรือช่วยเหลือ เพราะตั้งตารอตอนจบของความขัดแย้งนี้กันอยู่ทั้งนั้น และเพราะไม่มีใครคิดว่านางคือหญิงสาวที่ถูกรังแก แต่เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เรื่องที่นางจะถูกจับเปลื้องผ้า จึงดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เคลื่อนผ่านผู้คนเข้ามากลางวง ทำให้พวกที่รุมล
หรือเขาจะใช้ชีวิตในกองทัพมากเกินไป เขาตั้งคำถามกับตัวเอง หลังจากก้มหน้าก้มตาอยู่กับการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ และแบกชีวิตผู้คนนับหมื่นในค่ายแห่งนี้ไว้บนบ่ามานานปี “ท่านแม่ทัพ ท่านดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน” หยางจูเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าตาและไหล่ที่ลู่ลงของเขาในยามนี้ ซึ่งต่างจากยามปกติที่ผ่ายผึงตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา “เพราะข้าเหนื่อยจริง ๆ” เป็นครั้งแรกที่เขายอมเอ่ยบอกความรู้สึกกับใครสักคน “ถ้าเช่นนั้นก็พักเถอะขอรับ ท่านอยากได้สิ่งใด ขอให้บอกข้ามาได้เลย” “แค่อย่าให้ใครเข้ามากวนข้าสักครู่ก็พอ” เขาถอดเสื้อเกราะ แต่ก็ปลดสายที่ผูกกันอยู่ไม่ออก “มาช่วยข้าหน่อย” หยางจูทำตาโต นางไม่ทันคิดว่าการเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของเขา ก็ต้องช่วยเขาทำทุกอย่างแม้แต่การแต่งตัวด้วย “หยางหยาง” เขาเรียกซ้ำ “ขอรับ ๆ” นางเดินเข้าไปใกล้ พยายามคิดว่าการถอดและสวมเสื้อเกราะนี่มันต้องทำเช่นไร แต่เมื่อเขากระตุกมือว่าจะให้นางช่วยแก้เชือกที่ผูกอยู่ออก นางก็รีบทำให้ จากนั้นก็รับเสื้อเกราะ เอาไปแขวนไว้ด้านหลังราวแขวน ถึงแม้จะไม่ได้สวมชุดเกราะหนาหนัก แต่เขาก็ยังตัวใหญ่เหมือนเดิม หยางจูมองเขาก้มลงถอดรองเท้าด้วยตัวเอง นางลังเล
การถูกลงโทษอย่างรุนแรงสร้างความเจ็บแค้นให้แก่ฟาหยางยิ่งนัก นอกจากจะต้องอกสั่นขวัญแขวนกับบทลงโทษในห้องมืด ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแล้ว ยังรู้สึกอัปยศที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับไอ้คนอ่อนปวกเปียกเช่นนั้น แทนที่จะรู้สำนึก ทว่าการลงโทษนี้มีแต่จะสุมไฟภายในใจให้ลุกโพลงขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ฟาหยางต้องทำไม่ใช่การเข็ดหลาบอย่างคนแพ้ หากแต่เป็นการแก้แค้นให้สาสม แต่การแก้แค้นในครั้งต่อไปจะต้องมั่นใจได้ว่าเจ้าหยางหยางนั่น มันจะต้องถูกขับออกจากค่ายแห่งนี้อย่างหมาขี้เรื้อนเลยทีเดียว หรือถ้าถึงขนาดที่จะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในที่แห่งนี้ เขาก็จะยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ฟาหยางนั่งเอาศีรษะพิงผนังหินเย็นเฉียบ เขามองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง ได้ยินเสียงสัตว์บางอย่างวิ่งพล่านไปมา เดาว่าน่าจะเป็นหนู และสัตว์เลื้อยคลานสกปรก ๆ อีกหลายชนิด แม้จะเข้ามาได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาก็รู้สึกกระวนกระวาย เหงื่อแตกพลั่ก ในอกระส่ำระสายไปหมด โดยไม่รู้เลยว่าจะต้องอยู่ในนี้ไปอีกนานเพียงใด และทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะเจ้าอ่อนปวกเปียกนั่นคนเดียว การที่มันทำตัวแปลกประหลาด อ่อนแอและหวงเนื้อหวงตัวผิดปกติ ทำให้เขารู้สึกเคลือบแคลง มันต้องมีบางอย่างซ
“แม้จะดื่มสุรากับท่านรองแม่ทัพ ก็ไม่ช่วยให้หลับ แสดงว่าเรื่องที่อยู่ในใจของท่าน จะต้องหนักหน่วงมากแน่” หยางจูทำใจกล้าชวนเขาคุย “หึ” เขาทำเสียงในลำคอ “มีแม่ทัพคนไหนนอนหลับสนิทบ้าง” หยางจูนึกไปถึงแม่ทัพตัวอ้วนฉุหลายต่อหลายคนในราชสำนักที่เสด็จพ่อแต่งตั้งขึ้น เอาแต่เดินไปเดินมาในชุดเกราะเงาวับ แล้วก็อยากจะตอบกลับไปนักว่าเจ้าพวกนั้นน่ะนอนหลับสบายอยู่บนกองเงินกองทอง หากไม่ติดว่าจะต้องรักษาความลับ นางคงสนทนากับเขาได้อย่างออกรสมากกว่านี้ ก็เจ้าพวกนั้นน่ะ แค่ถือดาบก็น่าจะล้มหงายหลังตึง “น่าจะมีหลายคนที่เหนื่อยล้าจนฝืนต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีบางคนพยายามจะฝืน” นางเหล่ตามองให้คนที่ถูกกระทบกระเทียบรู้ตัว “ฮื่อ เจ้านี่ปากมากจริง” “เขาเรียกว่าช่างพูดขอรับ” คราวนี้ใบหน้าขรึมถึงกับยิ้มออกมา เขาอยากจะเขกหัวคนที่เดินอยู่ข้างกายแล้วเอาแต่ต่อปากต่อคำไม่หยุด แต่ก็นึกเอ็นดูอยู่ในใจ หยางหยางช่างพูดช่างจาเหมือนน้องเยว่ชิงไม่มีผิด ต่างกันแค่นั่นคือหญิง นี่คือชายก็เท่านั้น “พระจันทร์สวยนะขอรับ ท่านชอบชมจันทร์หรือไม่” มู่หรงเซียวหนานชะงักเท้า เงยหน้าขึ้นมองดวงเดือนสีเหลืองนวลที่มีหมู่ดาวรายล้อมก่อนจะ
วันแรกของการรับใช้ใกล้ชิดท่านแม่ทัพที่หยางจูมาดหมายเอาไว้ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นสามีเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็ไม่เช้าเท่ากับตอนทำงานในโรงครัว เท่าที่นางได้รับกำหนดการมา อย่างแรกที่ต้องทำคือไปช่วยมู่หรงเซียวหนานตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่โดยมากแล้วชายหนุ่มจะทำทั้งหมดเอง แต่เมื่อวานดันให้นางช่วยเสียเฉย ๆ ต่อมาก็ถึงเวลาอาหาร ปกติช่วงเวลานี้นางจะได้กลับไปกินที่โรงครัว แล้วถึงจะกลับมาเมื่อเขาจะไปตรวจแถวทหารยามเช้า หยางจูไม่อยากจะต้องกลับไปกินอาหารที่โรงครัวแล้วตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนรวมถึงโดนกลั่นแกล้งด้วย แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ได้นั่งกินข้าวเงียบ ๆ คนเดียว “ท่านแม่ทัพขอรับ หยางหยางมาแล้วขอรับ” นางยืนรออยู่ด้านหน้า หวังว่ามู่หรงเซียวหนานจะแต่งตัวเสร็จแล้วเรียบร้อย เพราะนางไม่อยากจะอยู่ใกล้ชิดเขาจนเกินเหตุ ไม่อย่างนั้นอาจจะหัวใจวายตายเพราะกล้ามเนื้อหนั่นแน่นบนร่างกายเขาไปก่อนจะได้เขาเป็นสามีแน่ “ให้เข้ามา” เสียงทุ้มห้าวตอบกลับจากด้านใน ทหารยามพยักหน้า นางจึงเดินเข้าไปด้านในอย่างช้า ๆ เห็นเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการผูกเชือกตรงเสื้อเกราะอยู่เหมือนเดิม นั่นก็
“เรื่องเล็กน้อยพันเรื่องรวมกัน ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะขอรับ การรับผิดชอบคนหมู่มากไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งเมื่อท่านต้องตัดสินใจ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ให้แน่ชัดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ข้าคิดว่าหากคนเช่นท่านไม่ควรโอดครวญ ก็ไม่มีใครสมควรทำเช่นนั้นแล้ว” แม่ทัพหนุ่มสับสนอยู่ในใจ เมื่อได้ฟังข้อความที่คล้ายกับการปลอบประโลมอันอ่อนโยนจากผู้ที่เขาไม่รู้หัวนอนปลายเท้าดีเสียด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่เขาแสดงความเหนื่อยยากออกมา หยางหยางจะเป็นคนแรกที่มองเห็น และปล่อยให้เขาแสดงอารมณ์อย่างอื่นนอกจากความเข้มแข็ง คงเป็นเพราะความเข้าอกเข้าใจนี้เองสินะ เขาจึงเผลอตัวอยู่บ่อยครั้ง แม้เขาจะอยากเป็นเช่นบิดา ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่ายังห่างอยู่หลายขุม ความกดดันและภาระอันใหญ่หลวงที่แบกเอาไว้ กำลังทำให้เขาด้านชาลงไปทุกวัน แต่แล้วเมื่อหนุ่มน้อยตรงหน้าเอ่ยคำเพียงไม่กี่คำ ซึ่งพอได้สดับฟังแล้วกลับเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ “ขอบใจเจ้ามาก” หยางจูยิ้มน้อย ๆ หากแต่สาวงามก็ยังคงงดงามเช่นดอกไม้ชูช่ออยู่วันยังค่ำ ต่อให้จะโดนเสื้อผ้าอาภรณ์บดบังเพียงใด นา
ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ
เซี่ยหานปิงขยับตัวขึ้นนั่ง ส่วนนั้นแข็งขืนปลายยอดมีน้ำซึมออกมา ลู่อิงเพิ่งเคยเห็นสิ่งใหญ่โตของบุรุษเป็นครั้งแรก นางไม่กล้ามองจึงเอาแต่หลับตาองครักษ์หนุ่มเห็นท่าทางของนางก็จำต้องสะกดอารมณ์เอาไว้พร้อมกับชักรูดแก่นกายของตนเองช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเปลือกตาของนางแล้วปลอบโยน“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ จะค่อย ๆ ทำ จะทะนุถนอมเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว”ลู่อิงลืมตาขึ้น นางสบตาเขา เมื่อเห็นความจริงใจนางจึงพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างเขินอาย เซี่ยหานปิงใช้มือจับท่อนล่างของตนถูไถไปกับความอ่อนนุ่มที่กำลังชุ่มฉ่ำ ลู่อิงไม่กล้าขยับเขยื้อนได้แต่กะพริบตามองแม้จะเขินอายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ขณะที่เซี่ยหานปิงสอดแทรกความเป็นชายเข้าไปทีละนิดอย่างช้า ๆ นางก็ส่งเสียงครางปนสะอื้นออกมาเป็นครั้งคราว คิ้วเรียวยาวขมวดเข้าเพราะนางรู้สึกเจ็บ“อย่าเกร็ง ครั้งแรกจะเจ็บเล็กน้อย จากนั้นเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”ลู่อิงมีน้ำตารื้นออกมาตรงหางตา เซี่ยหานปิงจึงจูบซับน้ำตาให้นาง พอเขาสัมผัสได้ว่าความอ่อนนุ่มชุ่มชื้นเปิดรับเขามากขึ้น มิได้เกร็งอย่างเช่นตอนแรก ก็ค่อย ๆ เริ่
ลู่อิงเงียบกริบ นางก้มหน้างุดลงกว่าเดิม ความอับอายท่วมท้น ที่เซี่ยหานปิงพูดมาไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจนางจึงไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะไม่รู้ว่าเซี่ยหานปิงจะคิดเช่นไร“หากเจ้าไม่เต็มใจก็ช่างเถิด ข้าว่าคงจะมีวิธีอื่นอีก” เซี่ยหานปิงเอ่ยปลอบ เขารู้ว่าลู่อิงต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ แม้ตัวเขาเองก็ยังลังเลไม่ต่าง การให้หญิงสาวต้องฝืนใจทำสิ่งใดคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ“ไม่...ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าจะรบกวนท่าน” นางรีบร้อนห้าม คว้าแขนของเขาที่กำลังจะลุกจากไป“ข้าก็กลัวเจ้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ลู่อิง ที่เจ้าบอกว่าชอบข้าจริงหรือไม่” เซี่ยหานปิงหันมาถามเต็มตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากนาง“จริงเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านไม่ดีมีใจตรงกับข้า ก็อย่าได้รักษาน้ำใจ” ลู่อิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้ในใจจะหวั่นไหวและกังวลว่าเขาจะตอบเช่นไรเซี่ยหานปิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดคางเรียวของนางขึ้นมา สบตานางอย่างลึกซึ้ง “แล้วถ้าหากว่าข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าล่ะ”“จริงหรือ” ลู่อิงตาโตขึ้ ใบ
ลู่อิงตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง รู้สึกเหมือนถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะขยับตัวได้ นางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้าน แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนกลับพร่ามัวเกินกว่าจะนึกถึงได้ถี่ถ้วน หลังจากลืมตาขึ้นเพียงครู่เดียว นางก็หลับลงไปอีกครั้งด้วยความอ่อนล้าไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยหานปิงก็เข้ามาในห้อง เขาวางป้านยาลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะประคองร่างบอบบางของลู่อิงขึ้นมาเพื่อให้ดื่มยา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ดูท่าแล้วพิษกำหนัดที่ลู่อิงถูกบังคับให้กลืนเข้าไปนั้นคงจะร้ายแรงมาก อีกทั้งเมื่อคืน นางยังต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดคืน ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอ จับบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวตลอดช่วงเช้า ลู่อิงยังคงนอนซมอยู่บนเตียง ไร้ท่าทีว่าจะดีขึ้น เซี่ยหานปิงเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงตัดสินใจไปตามหมอจางมาดูอาการของนาง หมอจางเดินทางมาถึงพร้อมกับอุปกรณ์ในการรักษา ก่อนจะทำการตรวจอาการอย่างละเอียดและฝังเข็มเพื่อกระตุ้นพลังชี่ของนาง“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“พิษที่นางได้รับนั้นร้ายแรงมาก แต่ว่ายังไม