หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ
นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะได้ล้างจานอย่างถนัดถนี่ แต่เมื่อสายตาของผู้คนที่อยู่รายรอบเพ่งมองมา หยางจูจึงรีบดึงแขนเสื้อลง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เห็นผิวพรรณของนาง “ได้เวลาแล้ว” ลี่ถังเดินเข้ามาหา วันนี้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่หนักหนานัก เขาเลยไม่ได้ดูมอมแมมเท่าไหร่ ส่วนนางแม้จะได้ตำแหน่งดี แต่ก็เหมือนถูกกลั่นแกล้ง ยังต้องมาขัดหม้อขัดกระทะเป็นประจำ “เฮ้อ ได้ไปสักที” หยางจูยิ้มร่า ท่าทางร่าเริงขึ้น “ครั้งนี้เจ้าอย่าเข้าไปนานนักล่ะ ใครต่อใครก็พากันบ่นว่าเจ้าชอบไปอู้อยู่ในกระโจมท่านแม่ทัพ” ลี่ถังเตือน “อู้อะไรกัน หากเขาไม่สั่งให้ข้าออกมา ข้าจะเสียมารยาทเดินออกมาเฉย ๆ ได้หรือ” หยางจูทำโวยวาย ความจริงก็คือเมื่อวางอาหารเสร็จ หากเขาไม่เรียกพูดคุยหรือซักถามสิ่งใด นางก็ขอตัวออกมาได้เลย แต่ในเมื่อดั้นด้นมาเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้แล้ว จะหันหลังหนีจากโอกาสได้อย่างไร นางจึงมักจะหาเรื่องมาคุยกับเขาอยู่เสมอ “ข้าเข้าใจ แต่คนอื่นไม่เข้าใจด้วยน่ะสิ เอาน่า หากเป็นไปได้ก็เดินออกมาเร็ว ๆ แล้วกัน” หยางจูพยักหน้ารับ แล้วหยิบเอาสำรับอาหารมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ช่วงนี้อาหารในค่ายไม่พ้นผัดผักกับไก่เลยจริง ๆ แม้อาหารของท่านแม่ทัพจะหน้าตาดีกว่าที่พวกนางกินอยู่นิดหน่อยเพราะภาชนะที่ใส่ แต่นางก็ไม่นึกอิจฉาเขาสักนิด นางอิจฉาลู่อิง นางกำนัลของตนมากกว่า ป่านนี้คงจะนึ่งไก่ ทอดปลา หรือตากเนื้อแห้งอันเอร็ดอร่อยอยู่แน่ ๆ นี่ขนาดนางเตรียมใจมาก่อนแล้วว่าคงไม่ได้กินดีเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่ในวังหลวง แต่พอเอาเข้าจริง ผ่านไปคืนเดียว นางก็คิดถึงอาหารอันโอชากว่าร้อยจานเสียแล้ว ถ้าหากนางไม่สามารถพิชิตใจของมู่หรงเซียวหนานได้แล้วละก็ สิ่งที่อดทนมาก็จะสูญเปล่า นางจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด “ข้าจะรออยู่ตรงนี้” ลี่ถังเอ่ยดังเช่นทุกครั้งที่ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้ากระโจม “ข้าจะรีบออกมา” หยางจูยืนรอทหารยามเข้าไปแจ้งมู่หรงเซียวหนาน เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง นางก็เดินเข้าไปด้านในด้วยความระมัดระวัง “อาหารขอรับ ท่านแม่ทัพ” “เอาวางไว้บนโต๊ะ” เขาตอบเพียงแค่นั้น ตายังคงจ้องเขม็งไปที่จดหมายที่อยู่ในมือ หยางจูกวาดตามองด้วยความรวดเร็ว เห็นซองจดหมายปิดผนึกด้วยครั่งถูกแกะวางเอาไว้บนโต๊ะทำงาน นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพราะนั่นเป็นตราลัญจรของคนในราชวงศ์ หรือเสด็จพ่อจะรู้เสียแล้วว่านางอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นจดหมายจากเสด็จอาที่ส่งมาเตือน คิดแล้วก็ว้าวุ่นใจยิ่งนัก เพราะนางยังไม่อยากกลับไปมือเปล่า “หยางหยาง ข้าบอกให้วางอาหารไว้บนโต๊ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่” ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกจนถาดอาหารแทบจะเลื่อนหลุดจากมือ นางรีบเอาของวางไว้ตามที่เขาสั่ง หัวใจยังเต้นถี่รัวเพราะเสียงดุ ๆ “ไม่สบายหรือ” มู่หรงเซียวหนานมองท่าทางว้าวุ่นใจของอีกฝ่าย ก็คิดว่ามาจากความป่วยไข้ ทั้งที่เขาเองนั่นแหละเป็นสาเหตุ “เปล่าขอรับ ข้าสบายดี แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ สบายดีหรือไม่” นางทำใจกล้าชวนคุย “ก็พยายามจะสบายดีอยู่หรอก” เขาตอบทั้งรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่เคร่งขรึมเหลือเกิน ก็คงจะเป็นเพราะภาระหน้าที่เช่นเดิม จดหมายยังอยู่ในมือหนา ดูจากท่าทางแล้ว อย่างไรก็เรื่องสำคัญแน่ แต่นางมองเห็นชัดไม่พอที่จะแอบอ่านเนื้อความข้างใน “ท่านคงจะงานยุ่งทุกวัน” “ใช่” มู่หรงเซียวหนานนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว หยิบตะเกียบมาไว้ในมือ โดยวางจดหมายไว้ใกล้ตัว ยิ่งทำให้หยางจูอยากรู้ว่าเนื้อความในนั้นคืออะไร นางพยายามคิดว่าหากจะบุกเข้ามาขโมยของในนี้ จะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกจับได้ แต่เมื่อคิดอีกรอบ นอกจากทหารยามแล้ว ก็ตัวบุรุษหนุ่มตรงหน้านางนี่แหละ ที่สามารถฟันคอนางขาดโดยแทบไม่ต้องเสียแรงยกดาบ นางไม่ควรเสี่ยงเพียงเพราะความสงสัยใคร่รู้ของตนเอง และหากมีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเร่งด่วนจากวังหลวงถึงนาง เสด็จพี่และเสด็จอาก็จะต้องหาทางบอกนางให้รู้ตัวก่อนแน่ “เจ้าออกไปได้” เขาพูดขึ้นเมื่อเริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้า “ขอรับ” หยางจูรับคำด้วยความเสียดาย แต่ก็จำต้องทำตามคำสั่ง เมื่อออกมาด้านนอก ลี่ถังก็สังเกตเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวของนาง จึงได้ถามเพราะความเป็นห่วง “ท่านแม่ทัพดุอะไรเจ้าหรือเปล่า หรือเขาไม่พอใจในรสชาติอาหาร เจ้าถึงได้ทำหน้าตาเช่นนี้” “ไม่ใช่หรอก” นางตอบเสียงอ่อย แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ผ่านทหารลาดตระเวนที่เดินตรวจตราอยู่โดยรอบ เสียงฝึกฝนการต่อสู้ดังมาจากอีกฟากหนึ่ง เมื่อมองจากตรงนี้ไปจนสุดสายตา นางก็ยังไม่สามารถจะมองให้ทั่วได้ทั้งค่าย การต้องรับผิดชอบผู้คนเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ต้องเป็นงานหนักของมู่หรงเซียวหนานมากทีเดียว ระหว่างเลี้ยวผ่านโรงซักผ้า นางก็เห็นจางซื่อหมิงยืนหลบอยู่ตรงมุม สายตามองตรงมาที่นางโดยตรง เขาคงมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ถึงได้มาดักรออยู่ตรงนั้น “ลี่ถัง ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหัวหน้าให้ข้าสอบถามท่านแม่ทัพเรื่องอาหารเย็น เผื่อเขาต้องการกินอะไรเป็นพิเศษ เจ้าเดินกลับไปก่อนนะ” นางหาทางปลีกตัว “ได้ แต่อย่าเถลไถลล่ะ เดี๋ยวจะโดนด่าและถูกทำโทษเอาอีก” ลี่ถังกำชับด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรีบกลับ” นางรอจนกระทั่งชายหนุ่มเดินลับสายตาไป จึงหันมองซ้ายขวา ตอนนี้โรงซักผ้าเงียบเหงาเพราะยังไม่ถึงเวลาทำความสะอาดเสื้อผ้า นางจึงเดินไปหารองแม่ทัพโดยไม่ต้องระวังมากนัก “ท่านรองแม่ทัพมารอข้าหรือ” “แม่นางลู่อิงมารอพบเจ้าที่ประตูหลัง ตรงกำแพงด้านทิศใต้” พูดจบเขาก็หายไป ราวกับไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน หยางจูกะพริบตากับความว่องไวของเขา ก่อนจะรีบเดินลัดเลาะกำแพงไปตามทิศทางที่เขาบอก กว่าจะไปถึงก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ พอผลักประตูหนาหนักออกไปได้ ก็เห็นลู่อิงยืนกระสับกระส่ายรออยู่ นางแต่งตัวในชุดหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาและกลมกลืนไปกับผู้คนข้างนอกพอสมควร ข้างกายมีเซี่ยหานปิงยืนอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านเก่า ๆ เช่นกัน แต่อาจจะดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านทั่วไปสักเล็กน้อยด้วยขนาดรูปร่างที่สูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลาของเขา “องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน “จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน “คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่ “นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู” “อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก “แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย” “ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้ “นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะไรทั้งนั้น ข้าจึงเอาเนื้อนี้มาให้ แล้วข้าก็คิดถูก นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ผมลงอย่างเห็นได้ชัด” หยางจูก้มลงมองตัวเอง นางไม่ได้ผอมลงไปแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ ลู่อิงก็ชอบกังวลเกินเหตุและกล่าวอะไรเกินจริงอยู่ตลอด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก” นางรับมาด้วยความเต็มใจ “หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่ใช่คนพื้นเพ ไม่สมควรจะรู้จักใครที่นี่” “เจ้าค่ะ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือองค์หญิงที่ตัวเองดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย รู้สึกว่ามือนั้นกร้านขึ้นก็ทั้งตกใจและสงสารจับใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรลู่อิง มือข้าก็ยังอยู่ดี” หยางจูพูดอย่างรู้ทันความคิด “โธ่…คุณชาย…” ลู่อิงโอดครวญตามประสา “เอาละ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว นี่ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าจะมีคนสงสัยเอาได้” “ขอรับ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” เป็นเซี่ยหานปิงชิงพูดขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะเอ่ยอะไรยืดยาวเป็นการไม่จบสิ้น และได้รับค้อนจากลู่อิงไปหนึ่งวง หยางจูเ
วันหนึ่งระหว่างที่หยางจูกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าและทำความสะอาดบริเวณครัวทั้งหมด มีกลุ่มนายทหารสี่นายที่แวะเวียนเข้ามาคุยกับนางเป็นครั้งคราว ทุกคนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี หากจำไม่ผิดชายตัวสูงโย่งและผอมยิ่งกว่าลี่ถังคือเฉิงชุน คนที่ยืนข้าง ๆ เขาที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเป็นลูกน้องคือตงฟาง ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยและไม่ค่อยพูดมากนักจนดูไม่เข้ากับทุกคนชื่อเล่อเหลียน แต่อีกคนนั้นนางจำไม่ได้ “หยางหยาง เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” “ช่ายยย เห็นหน้าซื่อตาใสเช่นนี้ ที่ไหนได้ กลับซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนมิด” “เรารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ทีนี้ก็เล่ามาให้หมดเปลือก” หยางจูยืนตัวแข็ง มือที่จับไม้กวาดแทบจะร่วงผล็อยลงข้างตัว แต่นางก็ยังทำไขสือ “พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” “แน่ใจหรือ แต่พวกข้าซึ่งมีตาแปดคู่มองเห็นชัดแจ้งเลยนะ ว่าเจ้าแอบทำอะไรเมื่อวันก่อน” นางแอบไปทำอะไรให้คนพวกนี้จับได้นะ ในเมื่อเวลาแต่งตัว นางก็อยู่แต่ในกระโจม ไปอาบน้ำหรือก็หอบผ้าหอบผ่อนไปตอนกลางคืน แถมบ่อน้ำยังอยู่ด้านหลังโน่น หรือพวกเขาแ
“เจ้าอย่ามาสนใจข้าเลย เราไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันแม้แต่นิด” “แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่หว่า” ว่าแล้วก็เหวี่ยงถังน้ำของตัวเองมากระแทกขานางเต็มแรง “โอ๊ย!!” หยางจูล้มลงไปกับพื้น ขณะที่ไอ้อันธพาลก็หัวเราะชอบใจ น้ำที่แบกมาอย่างยากลำบากเจิ่งนองไปทั่ว ภายนอกนางไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่นางเจ็บใจมากกว่า “ไอ้ชั่ว ข้าอุตส่าห์มาได้ไกลถึงขนาดนี้ เจ้าทำน้ำข้าหกหมด” “นี่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ” มือหยาบกร้านจับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วบีบอย่างแรง “หยุด!!” เสียงห้วนห้าวบอกถึงความมีอำนาจดังก้อง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มเข้ามาหาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านรองแม่ทัพ” นางครางด้วยความโล่งใจ “เจ้าทำอะไร รังแกผู้อื่นงั้นหรือ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายพี่น้องร่วมทัพกับเจ้า” เมื่อจางซื่อหมิงสวมบทบาทขึงขังเอาจริงเอาจัง หยางจูก็อดรู้สึกแปลกใจระคนกลัวเกรงไม่ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “ทะ...ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้...” “อย่าคิดที่จะปฏิเสธ ข้าเห็นเต็มสองตา บอกชื่อของเจ้ามา” เจ้าคนอันธพาลอึกอักเหงื่อตก ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา ต่างจากตอนที่รังแกนางลิบลั
ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเล
“เฉิงชุน”นางดึงเสื้อเขาไว้เมื่อชายหนุ่มร่างหนาทำท่าจะพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นความยียวนของอีกฝ่าย นางไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน เพราะนางยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม“ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกัน” หัวหน้าตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติ“ไม่มีขอรับ ข้ากำลังจะไปทำงานตามที่ท่านหัวหน้าสั่งขอรับ”ฟาหยางตะโกนตอบ ก่อนจะหันมายิ้มหยันตบท้าย แล้วเดินวางโตออกไป“เจ้าน่าจะให้ข้าได้สั่งสอนมัน เห็นอยู่ว่ามันตั้งใจจะแกล้งเจ้า”เฉิงชุนแค้นใจแทน“ข้ารู้ แต่หากเจ้าตอบโต้มัน เจ้าเองก็จะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน คนแบบนี้หากหมดสนุกก็คงเลิกไปเอง” นางพูดเพื่อสงบอารมณ์ของเฉิงชุนเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านิสัยอันธพาลไม่ได้หายง่าย ๆ“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่” ลี่ถังมองด้วยสายตาเป็นห่วง แขนยังคงโอบประคองนางไว้“ข้าไหวน่า ถึงจะตัวเล็ก แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ แค่ล้ม จะเจ็บแค่ไหนกันเชียว”หยางจูแสร้งก้มลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา แต่ความเจ็บแล่นปลาบ นางก็ได้แต่กัดฟันทน ไม
ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้
“หา!! เจ้าบอกว่าอยากทำสิ่งใดนะ พูดให้พี่ฟังอีกทีซิ”ภายในตำหนักขนาดใหญ่ที่ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงฐานะของผู้อยู่อาศัย บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เบิกตามองสตรีใบหน้าจิ้มลิ้มที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องของตนด้วยความตื่นตระหนกตกใจระคนเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่นางเพิ่งจะเอ่ยขอ จนถึงกับต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ รวมทั้งคาดหวังให้ตัวเองฟังผิด“ข้าอยากปลอมตัวเข้าไปอยู่ในกองทัพของสหายท่าน อนุญาตเถอะนะเพคะ” เสียงใสตอบกลับกึ่งอ้อนวอน“แต่เจ้าเป็นองค์หญิง!”เฉินไป่ชางหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหนานร้องออกมาอย่างเหลืออด สองมือจับไหล่บอบบางของน้องสาว แล้วมองเข้าไปในดวงตากลมโตสุกใสอย่างเคร่งขรึมจริงจัง“เจ้าปลอมตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นไม่ได้ ไม่เด็ดขาดหยางจู”ย้ำท้ายประโยคด้วยเสียงเด็ดขาดที่ไม่ค่อยได้ใช้กับนางบ่อยนัก แต่หากไม่ย้ำให้ชัด มีหรือที่น้องสาวจอมแก่นของเขาจะฟังดรุณีน้อยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสุกสกาวเมื่อครู่หม่นแสงลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ แต่นั่นก็เป็นอยู่เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น นางก็กลับมาร่าเริงอีกคร
เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ใจอ่อนง่าย ๆ หยางจูก็ปล่อยให้น้ำตาที่คลออยู่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย พร้อมเสียงสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทา เฉินไป่ชางตาลีตาเหลือกเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ราวกับนางคือน้องสาวตัวน้อยเมื่อครั้งทั้งคู่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ“ฮึก!! ข้าขอเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ฮืออออ” สะอื้นพลางแอบเหลือบตามองท่าทีลนลานของคนเป็นพี่“ก็ได้ ๆ พี่จะไปปรึกษากับเสด็จอาว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาด เจ้าหยุดร้องแล้วรออยู่นี่” เขาทนเห็นน้ำตาของน้องน้อยสุดที่รักไม่ไหวจึงรีบตกปากรับคำในที่สุด“จริงนะเพคะ” หยางจูลืมความเศร้าโศกเงยหน้ามองพี่ชายตาแป๋ว แต่เมื่อเห็นเขามองนางก็แสร้งทำเป็นบีบน้ำตาอีกรอบเพื่อความสมจริง“อย่าร้อง ไม่ต้องร้อง ในเมื่อพี่พูดแล้วก็จะทำตามนั้น เจ้าหยุดร้องก่อนเถอะนะ” คนเป็นพี่รู้ทั้งรู้ว่าน้องสาวแกล้งบีบน้ำตา แต่ก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้นางพยักหน้าถี่รัว ยกปาดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยตนเอง เพื่อเป็นเครื่องยืนยันให้พี่ชายสบายใจเมื่อเห็นว่านางหยุดร้องแล้ว เขาก็ประคองไปนั่งที่เก้าอี้ “เอาละ เจ้ากลับตำหนักไปก่อน พี่จะไปหารือเรื่องนี้กับเสด็จอา ได้เรื่องอย่างไรแล้วพี่จ
ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้
“เฉิงชุน”นางดึงเสื้อเขาไว้เมื่อชายหนุ่มร่างหนาทำท่าจะพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นความยียวนของอีกฝ่าย นางไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน เพราะนางยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม“ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกัน” หัวหน้าตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติ“ไม่มีขอรับ ข้ากำลังจะไปทำงานตามที่ท่านหัวหน้าสั่งขอรับ”ฟาหยางตะโกนตอบ ก่อนจะหันมายิ้มหยันตบท้าย แล้วเดินวางโตออกไป“เจ้าน่าจะให้ข้าได้สั่งสอนมัน เห็นอยู่ว่ามันตั้งใจจะแกล้งเจ้า”เฉิงชุนแค้นใจแทน“ข้ารู้ แต่หากเจ้าตอบโต้มัน เจ้าเองก็จะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน คนแบบนี้หากหมดสนุกก็คงเลิกไปเอง” นางพูดเพื่อสงบอารมณ์ของเฉิงชุนเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านิสัยอันธพาลไม่ได้หายง่าย ๆ“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่” ลี่ถังมองด้วยสายตาเป็นห่วง แขนยังคงโอบประคองนางไว้“ข้าไหวน่า ถึงจะตัวเล็ก แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ แค่ล้ม จะเจ็บแค่ไหนกันเชียว”หยางจูแสร้งก้มลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา แต่ความเจ็บแล่นปลาบ นางก็ได้แต่กัดฟันทน ไม
ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเล
“เจ้าอย่ามาสนใจข้าเลย เราไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันแม้แต่นิด” “แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่หว่า” ว่าแล้วก็เหวี่ยงถังน้ำของตัวเองมากระแทกขานางเต็มแรง “โอ๊ย!!” หยางจูล้มลงไปกับพื้น ขณะที่ไอ้อันธพาลก็หัวเราะชอบใจ น้ำที่แบกมาอย่างยากลำบากเจิ่งนองไปทั่ว ภายนอกนางไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่นางเจ็บใจมากกว่า “ไอ้ชั่ว ข้าอุตส่าห์มาได้ไกลถึงขนาดนี้ เจ้าทำน้ำข้าหกหมด” “นี่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ” มือหยาบกร้านจับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วบีบอย่างแรง “หยุด!!” เสียงห้วนห้าวบอกถึงความมีอำนาจดังก้อง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มเข้ามาหาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านรองแม่ทัพ” นางครางด้วยความโล่งใจ “เจ้าทำอะไร รังแกผู้อื่นงั้นหรือ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายพี่น้องร่วมทัพกับเจ้า” เมื่อจางซื่อหมิงสวมบทบาทขึงขังเอาจริงเอาจัง หยางจูก็อดรู้สึกแปลกใจระคนกลัวเกรงไม่ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “ทะ...ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้...” “อย่าคิดที่จะปฏิเสธ ข้าเห็นเต็มสองตา บอกชื่อของเจ้ามา” เจ้าคนอันธพาลอึกอักเหงื่อตก ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา ต่างจากตอนที่รังแกนางลิบลั
วันหนึ่งระหว่างที่หยางจูกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าและทำความสะอาดบริเวณครัวทั้งหมด มีกลุ่มนายทหารสี่นายที่แวะเวียนเข้ามาคุยกับนางเป็นครั้งคราว ทุกคนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี หากจำไม่ผิดชายตัวสูงโย่งและผอมยิ่งกว่าลี่ถังคือเฉิงชุน คนที่ยืนข้าง ๆ เขาที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเป็นลูกน้องคือตงฟาง ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยและไม่ค่อยพูดมากนักจนดูไม่เข้ากับทุกคนชื่อเล่อเหลียน แต่อีกคนนั้นนางจำไม่ได้ “หยางหยาง เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” “ช่ายยย เห็นหน้าซื่อตาใสเช่นนี้ ที่ไหนได้ กลับซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนมิด” “เรารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ทีนี้ก็เล่ามาให้หมดเปลือก” หยางจูยืนตัวแข็ง มือที่จับไม้กวาดแทบจะร่วงผล็อยลงข้างตัว แต่นางก็ยังทำไขสือ “พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” “แน่ใจหรือ แต่พวกข้าซึ่งมีตาแปดคู่มองเห็นชัดแจ้งเลยนะ ว่าเจ้าแอบทำอะไรเมื่อวันก่อน” นางแอบไปทำอะไรให้คนพวกนี้จับได้นะ ในเมื่อเวลาแต่งตัว นางก็อยู่แต่ในกระโจม ไปอาบน้ำหรือก็หอบผ้าหอบผ่อนไปตอนกลางคืน แถมบ่อน้ำยังอยู่ด้านหลังโน่น หรือพวกเขาแ
“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะไรทั้งนั้น ข้าจึงเอาเนื้อนี้มาให้ แล้วข้าก็คิดถูก นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ผมลงอย่างเห็นได้ชัด” หยางจูก้มลงมองตัวเอง นางไม่ได้ผอมลงไปแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ ลู่อิงก็ชอบกังวลเกินเหตุและกล่าวอะไรเกินจริงอยู่ตลอด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก” นางรับมาด้วยความเต็มใจ “หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่ใช่คนพื้นเพ ไม่สมควรจะรู้จักใครที่นี่” “เจ้าค่ะ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือองค์หญิงที่ตัวเองดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย รู้สึกว่ามือนั้นกร้านขึ้นก็ทั้งตกใจและสงสารจับใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรลู่อิง มือข้าก็ยังอยู่ดี” หยางจูพูดอย่างรู้ทันความคิด “โธ่…คุณชาย…” ลู่อิงโอดครวญตามประสา “เอาละ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว นี่ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าจะมีคนสงสัยเอาได้” “ขอรับ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” เป็นเซี่ยหานปิงชิงพูดขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะเอ่ยอะไรยืดยาวเป็นการไม่จบสิ้น และได้รับค้อนจากลู่อิงไปหนึ่งวง หยางจูเ
หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพั
หยางจูนิ่งอึ้ง นึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าทำตาให้มอมแมมขมุกขมัวมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่านางอึกอัก ก็ยิ่งคิดว่านางอับอายเพราะถูกล้อว่าเหมือนเด็ก จึงพูดเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น“อย่าคิดมากไปเลย เมื่อทำงานใช้แรงไปเรื่อย ๆ ตัวของเจ้าก็จะหนาเสียจนลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นเด็กมาก่อน”“ขอรับ” นางปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ คิดจะแต่งงานเมื่อใดกัน”“ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ในหัวมีแต่จะกำราบศัตรูให้สิ้นซากอย่างไรก็เท่านั้น”“แต่หากท่านทำสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องพระราชทานรางวัลให้ ดีไม่ดี จะให้ท่านแต่งกับหญิงงามมียศถาบรรดาศักดิ์เสียด้วยซ้ำไป”“ข้ารู้” มู่หรงเซียวหนานพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงขนาดที่น้องสาวของเขาก็อภิเษกไปกับหลี่อวี้อ๋อง แล้วบุตรชายคนโตจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร “หากเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์เถิด”เขาพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เข้าใจเรื่องราวและเตรียมใจไว้แล้ว อันตัวเขานั้น แ
ความอึดอัดท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจเมื่อได้ยินคำตำหนิว่าอาหารรสชาติแปลกประหลาด หยางจูรู้ดีว่าต้องเป็นเพราะเกลือที่นางโรยลงไปตามคำสั่งเป็นแน่ แต่คงจะใส่มากไปหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดจนรสชาติอาหารออกมาผิดแผกไปจากเดิม “คนครัวคนเดิมหรือเปล่า” “คนเดิมขอรับ” มู่หรงเซียวหนานมุ่นหัวคิ้ว ลองตักน้ำแกงพร้อมกับเนื้อไก่กินอีกครั้ง “น้ำแกงนี่ใส่อะไรลงไปบ้าง” ตายล่ะ นางไม่ได้เป็นคนทำทุกขั้นตอนเสียเมื่อไหร่ แค่ถอนขนไก่ยังไม่ได้เลย แถมตอนปรุงน้ำแกงด้วยสมุนไพร นางก็กำลังแล่หมูอยู่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะตอบคำถามของเขาได้อย่างไร แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตา นางก็จำต้องหาคำตอบมาให้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่คนเป็นแม่ทัพ เคยแต่จับหอกจับดาบก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอาหารมากนัก “ก็ใส่เครื่องยาจีนทั่วไปขอรับ” “ลองไล่มาสิ ข้าจะดูว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป” “เอ่อ หากท่านกังวลเรื่องการวางยาพิษ ทางหน่วยได้มีการทดลองชิมและใช้เครื่องเงินทดสอบแล้วนะขอรับ” “ไม่ใช่เรื่องการวางยาอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกแปลกใจกับรสชาติอาหารน่ะ จึงอยากจะรู้ให้แน่ชัด”