หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ
นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะได้ล้างจานอย่างถนัดถนี่ แต่เมื่อสายตาของผู้คนที่อยู่รายรอบเพ่งมองมา หยางจูจึงรีบดึงแขนเสื้อลง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เห็นผิวพรรณของนาง “ได้เวลาแล้ว” ลี่ถังเดินเข้ามาหา วันนี้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่หนักหนานัก เขาเลยไม่ได้ดูมอมแมมเท่าไหร่ ส่วนนางแม้จะได้ตำแหน่งดี แต่ก็เหมือนถูกกลั่นแกล้ง ยังต้องมาขัดหม้อขัดกระทะเป็นประจำ “เฮ้อ ได้ไปสักที” หยางจูยิ้มร่า ท่าทางร่าเริงขึ้น “ครั้งนี้เจ้าอย่าเข้าไปนานนักล่ะ ใครต่อใครก็พากันบ่นว่าเจ้าชอบไปอู้อยู่ในกระโจมท่านแม่ทัพ” ลี่ถังเตือน “อู้อะไรกัน หากเขาไม่สั่งให้ข้าออกมา ข้าจะเสียมารยาทเดินออกมาเฉย ๆ ได้หรือ” หยางจูทำโวยวาย ความจริงก็คือเมื่อวางอาหารเสร็จ หากเขาไม่เรียกพูดคุยหรือซักถามสิ่งใด นางก็ขอตัวออกมาได้เลย แต่ในเมื่อดั้นด้นมาเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้แล้ว จะหันหลังหนีจากโอกาสได้อย่างไร นางจึงมักจะหาเรื่องมาคุยกับเขาอยู่เสมอ “ข้าเข้าใจ แต่คนอื่นไม่เข้าใจด้วยน่ะสิ เอาน่า หากเป็นไปได้ก็เดินออกมาเร็ว ๆ แล้วกัน” หยางจูพยักหน้ารับ แล้วหยิบเอาสำรับอาหารมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ช่วงนี้อาหารในค่ายไม่พ้นผัดผักกับไก่เลยจริง ๆ แม้อาหารของท่านแม่ทัพจะหน้าตาดีกว่าที่พวกนางกินอยู่นิดหน่อยเพราะภาชนะที่ใส่ แต่นางก็ไม่นึกอิจฉาเขาสักนิด นางอิจฉาลู่อิง นางกำนัลของตนมากกว่า ป่านนี้คงจะนึ่งไก่ ทอดปลา หรือตากเนื้อแห้งอันเอร็ดอร่อยอยู่แน่ ๆ นี่ขนาดนางเตรียมใจมาก่อนแล้วว่าคงไม่ได้กินดีเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่ในวังหลวง แต่พอเอาเข้าจริง ผ่านไปคืนเดียว นางก็คิดถึงอาหารอันโอชากว่าร้อยจานเสียแล้ว ถ้าหากนางไม่สามารถพิชิตใจของมู่หรงเซียวหนานได้แล้วละก็ สิ่งที่อดทนมาก็จะสูญเปล่า นางจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด “ข้าจะรออยู่ตรงนี้” ลี่ถังเอ่ยดังเช่นทุกครั้งที่ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้ากระโจม “ข้าจะรีบออกมา” หยางจูยืนรอทหารยามเข้าไปแจ้งมู่หรงเซียวหนาน เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง นางก็เดินเข้าไปด้านในด้วยความระมัดระวัง “อาหารขอรับ ท่านแม่ทัพ” “เอาวางไว้บนโต๊ะ” เขาตอบเพียงแค่นั้น ตายังคงจ้องเขม็งไปที่จดหมายที่อยู่ในมือ หยางจูกวาดตามองด้วยความรวดเร็ว เห็นซองจดหมายปิดผนึกด้วยครั่งถูกแกะวางเอาไว้บนโต๊ะทำงาน นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพราะนั่นเป็นตราลัญจรของคนในราชวงศ์ หรือเสด็จพ่อจะรู้เสียแล้วว่านางอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นจดหมายจากเสด็จอาที่ส่งมาเตือน คิดแล้วก็ว้าวุ่นใจยิ่งนัก เพราะนางยังไม่อยากกลับไปมือเปล่า “หยางหยาง ข้าบอกให้วางอาหารไว้บนโต๊ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่” ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกจนถาดอาหารแทบจะเลื่อนหลุดจากมือ นางรีบเอาของวางไว้ตามที่เขาสั่ง หัวใจยังเต้นถี่รัวเพราะเสียงดุ ๆ “ไม่สบายหรือ” มู่หรงเซียวหนานมองท่าทางว้าวุ่นใจของอีกฝ่าย ก็คิดว่ามาจากความป่วยไข้ ทั้งที่เขาเองนั่นแหละเป็นสาเหตุ “เปล่าขอรับ ข้าสบายดี แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ สบายดีหรือไม่” นางทำใจกล้าชวนคุย “ก็พยายามจะสบายดีอยู่หรอก” เขาตอบทั้งรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่เคร่งขรึมเหลือเกิน ก็คงจะเป็นเพราะภาระหน้าที่เช่นเดิม จดหมายยังอยู่ในมือหนา ดูจากท่าทางแล้ว อย่างไรก็เรื่องสำคัญแน่ แต่นางมองเห็นชัดไม่พอที่จะแอบอ่านเนื้อความข้างใน “ท่านคงจะงานยุ่งทุกวัน” “ใช่” มู่หรงเซียวหนานนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว หยิบตะเกียบมาไว้ในมือ โดยวางจดหมายไว้ใกล้ตัว ยิ่งทำให้หยางจูอยากรู้ว่าเนื้อความในนั้นคืออะไร นางพยายามคิดว่าหากจะบุกเข้ามาขโมยของในนี้ จะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกจับได้ แต่เมื่อคิดอีกรอบ นอกจากทหารยามแล้ว ก็ตัวบุรุษหนุ่มตรงหน้านางนี่แหละ ที่สามารถฟันคอนางขาดโดยแทบไม่ต้องเสียแรงยกดาบ นางไม่ควรเสี่ยงเพียงเพราะความสงสัยใคร่รู้ของตนเอง และหากมีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเร่งด่วนจากวังหลวงถึงนาง เสด็จพี่และเสด็จอาก็จะต้องหาทางบอกนางให้รู้ตัวก่อนแน่ “เจ้าออกไปได้” เขาพูดขึ้นเมื่อเริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้า “ขอรับ” หยางจูรับคำด้วยความเสียดาย แต่ก็จำต้องทำตามคำสั่ง เมื่อออกมาด้านนอก ลี่ถังก็สังเกตเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวของนาง จึงได้ถามเพราะความเป็นห่วง “ท่านแม่ทัพดุอะไรเจ้าหรือเปล่า หรือเขาไม่พอใจในรสชาติอาหาร เจ้าถึงได้ทำหน้าตาเช่นนี้” “ไม่ใช่หรอก” นางตอบเสียงอ่อย แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ผ่านทหารลาดตระเวนที่เดินตรวจตราอยู่โดยรอบ เสียงฝึกฝนการต่อสู้ดังมาจากอีกฟากหนึ่ง เมื่อมองจากตรงนี้ไปจนสุดสายตา นางก็ยังไม่สามารถจะมองให้ทั่วได้ทั้งค่าย การต้องรับผิดชอบผู้คนเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ต้องเป็นงานหนักของมู่หรงเซียวหนานมากทีเดียว ระหว่างเลี้ยวผ่านโรงซักผ้า นางก็เห็นจางซื่อหมิงยืนหลบอยู่ตรงมุม สายตามองตรงมาที่นางโดยตรง เขาคงมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ถึงได้มาดักรออยู่ตรงนั้น “ลี่ถัง ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหัวหน้าให้ข้าสอบถามท่านแม่ทัพเรื่องอาหารเย็น เผื่อเขาต้องการกินอะไรเป็นพิเศษ เจ้าเดินกลับไปก่อนนะ” นางหาทางปลีกตัว “ได้ แต่อย่าเถลไถลล่ะ เดี๋ยวจะโดนด่าและถูกทำโทษเอาอีก” ลี่ถังกำชับด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรีบกลับ” นางรอจนกระทั่งชายหนุ่มเดินลับสายตาไป จึงหันมองซ้ายขวา ตอนนี้โรงซักผ้าเงียบเหงาเพราะยังไม่ถึงเวลาทำความสะอาดเสื้อผ้า นางจึงเดินไปหารองแม่ทัพโดยไม่ต้องระวังมากนัก “ท่านรองแม่ทัพมารอข้าหรือ” “แม่นางลู่อิงมารอพบเจ้าที่ประตูหลัง ตรงกำแพงด้านทิศใต้” พูดจบเขาก็หายไป ราวกับไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน หยางจูกะพริบตากับความว่องไวของเขา ก่อนจะรีบเดินลัดเลาะกำแพงไปตามทิศทางที่เขาบอก กว่าจะไปถึงก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ พอผลักประตูหนาหนักออกไปได้ ก็เห็นลู่อิงยืนกระสับกระส่ายรออยู่ นางแต่งตัวในชุดหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาและกลมกลืนไปกับผู้คนข้างนอกพอสมควร ข้างกายมีเซี่ยหานปิงยืนอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านเก่า ๆ เช่นกัน แต่อาจจะดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านทั่วไปสักเล็กน้อยด้วยขนาดรูปร่างที่สูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลาของเขา “องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน “จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน “คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่ “นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู” “อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก “แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย” “ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้ “นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะไรทั้งนั้น ข้าจึงเอาเนื้อนี้มาให้ แล้วข้าก็คิดถูก นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ผมลงอย่างเห็นได้ชัด” หยางจูก้มลงมองตัวเอง นางไม่ได้ผอมลงไปแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ ลู่อิงก็ชอบกังวลเกินเหตุและกล่าวอะไรเกินจริงอยู่ตลอด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก” นางรับมาด้วยความเต็มใจ “หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่ใช่คนพื้นเพ ไม่สมควรจะรู้จักใครที่นี่” “เจ้าค่ะ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือองค์หญิงที่ตัวเองดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย รู้สึกว่ามือนั้นกร้านขึ้นก็ทั้งตกใจและสงสารจับใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรลู่อิง มือข้าก็ยังอยู่ดี” หยางจูพูดอย่างรู้ทันความคิด “โธ่…คุณชาย…” ลู่อิงโอดครวญตามประสา “เอาละ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว นี่ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าจะมีคนสงสัยเอาได้” “ขอรับ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” เป็นเซี่ยหานปิงชิงพูดขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะเอ่ยอะไรยืดยาวเป็นการไม่จบสิ้น และได้รับค้อนจากลู่อิงไปหนึ่งวง หยางจูเ
วันหนึ่งระหว่างที่หยางจูกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าและทำความสะอาดบริเวณครัวทั้งหมด มีกลุ่มนายทหารสี่นายที่แวะเวียนเข้ามาคุยกับนางเป็นครั้งคราว ทุกคนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี หากจำไม่ผิดชายตัวสูงโย่งและผอมยิ่งกว่าลี่ถังคือเฉิงชุน คนที่ยืนข้าง ๆ เขาที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเป็นลูกน้องคือตงฟาง ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยและไม่ค่อยพูดมากนักจนดูไม่เข้ากับทุกคนชื่อเล่อเหลียน แต่อีกคนนั้นนางจำไม่ได้ “หยางหยาง เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” “ช่ายยย เห็นหน้าซื่อตาใสเช่นนี้ ที่ไหนได้ กลับซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนมิด” “เรารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ทีนี้ก็เล่ามาให้หมดเปลือก” หยางจูยืนตัวแข็ง มือที่จับไม้กวาดแทบจะร่วงผล็อยลงข้างตัว แต่นางก็ยังทำไขสือ “พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” “แน่ใจหรือ แต่พวกข้าซึ่งมีตาแปดคู่มองเห็นชัดแจ้งเลยนะ ว่าเจ้าแอบทำอะไรเมื่อวันก่อน” นางแอบไปทำอะไรให้คนพวกนี้จับได้นะ ในเมื่อเวลาแต่งตัว นางก็อยู่แต่ในกระโจม ไปอาบน้ำหรือก็หอบผ้าหอบผ่อนไปตอนกลางคืน แถมบ่อน้ำยังอยู่ด้านหลังโน่น หรือพวกเขาแ
“เจ้าอย่ามาสนใจข้าเลย เราไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันแม้แต่นิด” “แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่หว่า” ว่าแล้วก็เหวี่ยงถังน้ำของตัวเองมากระแทกขานางเต็มแรง “โอ๊ย!!” หยางจูล้มลงไปกับพื้น ขณะที่ไอ้อันธพาลก็หัวเราะชอบใจ น้ำที่แบกมาอย่างยากลำบากเจิ่งนองไปทั่ว ภายนอกนางไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่นางเจ็บใจมากกว่า “ไอ้ชั่ว ข้าอุตส่าห์มาได้ไกลถึงขนาดนี้ เจ้าทำน้ำข้าหกหมด” “นี่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ” มือหยาบกร้านจับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วบีบอย่างแรง “หยุด!!” เสียงห้วนห้าวบอกถึงความมีอำนาจดังก้อง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มเข้ามาหาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านรองแม่ทัพ” นางครางด้วยความโล่งใจ “เจ้าทำอะไร รังแกผู้อื่นงั้นหรือ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายพี่น้องร่วมทัพกับเจ้า” เมื่อจางซื่อหมิงสวมบทบาทขึงขังเอาจริงเอาจัง หยางจูก็อดรู้สึกแปลกใจระคนกลัวเกรงไม่ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “ทะ...ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้...” “อย่าคิดที่จะปฏิเสธ ข้าเห็นเต็มสองตา บอกชื่อของเจ้ามา” เจ้าคนอันธพาลอึกอักเหงื่อตก ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา ต่างจากตอนที่รังแกนางลิบลั
ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเล
“เฉิงชุน”นางดึงเสื้อเขาไว้เมื่อชายหนุ่มร่างหนาทำท่าจะพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นความยียวนของอีกฝ่าย นางไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน เพราะนางยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม“ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกัน” หัวหน้าตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นความผิดปกติ“ไม่มีขอรับ ข้ากำลังจะไปทำงานตามที่ท่านหัวหน้าสั่งขอรับ”ฟาหยางตะโกนตอบ ก่อนจะหันมายิ้มหยันตบท้าย แล้วเดินวางโตออกไป“เจ้าน่าจะให้ข้าได้สั่งสอนมัน เห็นอยู่ว่ามันตั้งใจจะแกล้งเจ้า”เฉิงชุนแค้นใจแทน“ข้ารู้ แต่หากเจ้าตอบโต้มัน เจ้าเองก็จะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน คนแบบนี้หากหมดสนุกก็คงเลิกไปเอง” นางพูดเพื่อสงบอารมณ์ของเฉิงชุนเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านิสัยอันธพาลไม่ได้หายง่าย ๆ“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่” ลี่ถังมองด้วยสายตาเป็นห่วง แขนยังคงโอบประคองนางไว้“ข้าไหวน่า ถึงจะตัวเล็ก แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอนะ แค่ล้ม จะเจ็บแค่ไหนกันเชียว”หยางจูแสร้งก้มลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา แต่ความเจ็บแล่นปลาบ นางก็ได้แต่กัดฟันทน ไม
ข่าวการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกบฏชายแดนสร้างความแตกตื่นให้กับกองทัพขนานหนัก ในเมื่อที่ผ่านมา ตั้งแต่เหล่าทหารถูกส่งมายังค่าย ฝ่ายตรงข้ามก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดชัดเจนและเป็นรูปเป็นรอยถึงเพียงนี้ ทหารทุกนายที่ต้องตื่นมาจับศาสตราวุธทุกเมื่อเชื่อวันแต่ยังไม่เคยได้ปะหน้ากับศัตรูจึงไม่มีความกระตือรือร้นใดนัก กระทั่งทหารบนหอสังเกตการณ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมานั่นเอง ทุกคนถึงได้ตื่นตัว ข่าวแพร่ออกไปว่าการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น โชคยังดีที่ท่านแม่ทัพเก่งกล้าสามารถมากพอที่จะอ่านการเคลื่อนทัพเหล่านั้นออกตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเรียบร้อย และวันนี้ เขาจะดูการซ้อมกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้นร่วมกับทหารระดับสูงด้วยตัวเอง โดยปกติแล้ว มู่หรงเซียวหนานมักจะตรวจแถวทหารทุกเช้า แต่การซ้อมกลศึกหลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ท่านแม่ทัพสั่งการลงมาให้เตรียมทหารเกือบทั้งกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่ทหารรับใช้ จึงทำให้ค่ายทั้งค่ายปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหยางจู นางไม่มีความรู้แม้แต่จะถือทวนให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางพอจะถือได้
หยางจูหลบอยู่ในกระโจมของจางซื่อหมิงซึ่งไม่ต่างจากของ มู่หรงเซียวหนานนัก เพียงแค่มีอาวุธมากกว่า และตำราน้อยกว่าเท่านั้น อาจเพราะทั้งสองคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่ต่างก็เป็นกำลังสำคัญของกองทัพทั้งคู่ นางไม่กล้าเดินไปมามากนัก นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว ยังกลัวผู้ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ เห็นเงาของนางอยู่ในนี้ นางจึงนั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียง เฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก ทั้งเสียงตะโกนสั่งการ เสียงทหารเกือบหมื่นนายตอบรับคำสั่ง การขยับเท้า ชุดเกราะที่เสียดสีกันและเสียงอาวุธหลากชนิด รวมถึงเสียงม้า ทุกอย่างเป็นไปอย่างพร้อมเรียงและน่าเกรงขาม จนนางนึกอยากจะเห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ หากแต่นางก็รู้ดีว่าต่อให้นางจะแข็งแรงเพียงใด แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝน ไม่มีทางที่จะอยู่รอดในวงล้อมแห่งความทรหดเช่นนั้นได้ นางนึกเสียใจที่ไม่ได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาก่อน หากนางขอให้องครักษ์ช่วยสอน อย่างน้อยนางก็คงจะไม่ต้องมาหลบเป็นตัวตุ่นเพราะจับอาวุธไม่เป็นเช่นนี้หรอก ยังมีทหารอยู่ข้างนอกที่เดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป น่าจะเป็นทหารเวรที่ทำหน้าที่เฝ้าค่าย หยางจูยังคงนั่งอยู่แบบนั้น
ด้วยความกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย หยางจูจึงกระทืบเท้าคนที่รวบตัวนางเอาไว้ จากนั้นก็ก้มลงกัดมือที่ยึดแขนนางจนจมเขี้ยว ทั้งสองคนร้องลั่น รีบปล่อยนางออก นางจึงมีโอกาสหลุดจากพันธนาการ เมื่อเห็นว่านางกำลังจะฝ่าวงล้อมออกมาได้ ฟาหยางก็เข้าขัดขวาง แต่นางเตะที่เป้าของมันเต็มแรง “โอ๊ย!!!!” ฟาหยางยกสองมือกุมเป้า ตัวงอทรุดลงไปกับพื้น เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดทำให้หยางจูยิ้มด้วยความสะใจ นางรีบเบี่ยงตัวจะเดินไปอีกทาง แต่ถึงแม้จะเจ็บจนหน้าเขียวหน้าเหลือง มันก็ยังมิวายเอามือมาบีบข้อเท้านางไว้ “คิดจะไปไหน” “เจ้านี่” นางสะบัดขา แต่มือที่แข็งแกร่งก็จับยึดไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วยังจะดึงให้นางล้มคว่ำไปกับพื้นอีก เหตุการณ์ดูจะกลายเป็นความบันเทิงให้ทหารที่เหนื่อยล้าและเครียดจากการฝึกรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปเสียแล้ว ไม่มีใครอยากจะเข้ามาห้ามหรือช่วยเหลือ เพราะตั้งตารอตอนจบของความขัดแย้งนี้กันอยู่ทั้งนั้น และเพราะไม่มีใครคิดว่านางคือหญิงสาวที่ถูกรังแก แต่เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เรื่องที่นางจะถูกจับเปลื้องผ้า จึงดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เคลื่อนผ่านผู้คนเข้ามาก
หยางจูได้สติฟื้นขึ้นมา พบว่าตนถูกจับล่ามโซ่เอาไว้กับเสากลางลานซึ่งเป็นพื้นที่โล่งท่ามกลางวงล้อมของศัตรู ทำให้นางต้องทนหนาวทนร้อนจวนเจียนจะหมดสติอยู่หลายรอบ ดีที่มันยังหาที่บังแดดมาให้ แม้จะไม่บังลมจนนางโดนฝุ่นจับราวกับเป็นของเก่าโบราณชิ้นหนึ่ง ด้านข้างกันมีคนผู้หนึ่งที่ถูกจับล่ามโซ่เอาไว้กับเสาด้วยเช่นกัน แม้ใบหน้าจะตอบซูบลงไปมาก แต่นางจำมันได้แม่นยำ ไอ้ฟาหยางชั่ว! ต้องเป็นมันไม่ผิดดแน่ที่จับนางมาเพราะเสียงขู่ที่นางได้ยินนั้นคุ้นหูไม่น้อย สุดท้ายคนทรยศอย่างมันก็หนีไม่พ้นความตาย ใครจะโง่รับคนขายชาติเอาไว้ “ไอ้ชั่วฟาหยาง” นางด่าทอด้วยความคับแค้นใจ “เป็นเพราะแก ไอ้อ่อนปวกเปียก ข้าถึงต้องโดนจับไว้อย่างนี้” มันกล่าวโทษ “เป็นเพราะแกนั่นแหละที่คิดทรยศจับตัวข้ามา แล้วเป็นไงสุดท้ายก็ต้องมาตายที่นี่ แกมันโง่ ไอ้คนขายชาติ” “ฮ่า ๆ ๆ ถูกขังในคุกนั่นก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ตายที่นี่อย่างน้อยแกก็ต้องตายพร้อมข้า ข้าละสะใจนัก อยากรู้ว่าไอ้แม่ทัพตัดแขนเสื้อนั่นจะว่าอย่างไร” มันหัวเราะอย่างเสียสติ หยางจูนึกถึงมู่หรงเซียวหนาน เขาจะรู้ไหมว่านางถูกจับตัวมา แล้วเขาจ
ข่าวที่ได้รับทำเอาเซี่ยหานปิงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของ องค์หญิงหยางจูนั่งไม่ติดที่ เมื่อได้รู้ว่านางถูกจับตัวไปโดยฝีมือของไอ้พวกบกฏเล่นไม่ซื่อ ช่างเป็นเรื่องไร้ศักดิ์ศรีอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อพวกมันใช้วิธีการสกปรกเพื่อจะต่อรองกับแม่ทัพมู่หรงเซียวหนานเช่นนี้ แม้จะเข้าใจถึงข้อจำกัดของท่านแม่ทัพ ในการช่วยเหลือผู้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นเพียงเด็กรับใช้ และบุรุษเช่นนั้นคงไม่เอากองทัพไปแลกกับคนเพียงหนึ่งคน แต่อย่างน้อย ก็ควรทำสิ่งใดบ้าง ในเมื่อใคร ๆ ต่างก็ดูออกว่าท่านแม่ทัพมีจิตผูกพันรักใคร่นางไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความนิ่งเฉย รองแม่ทัพหรือแม้แต่ทหารรับใช้ที่เป็นสหายขององค์หญิงยังเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่า หากเซี่ยหานปิงไม่สามารถพึ่งพาชายที่มีทหารให้เลือกใช้นับหมื่นในมือ เขาก็หวังว่าตนเองจะพอมีทางช่วยเหลือองค์หญิงกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นทางนัก แต่ก็รู้ดีว่าจะรอช้าไม่ได้ เขายังไม่รู้ว่าจะบอกลู่อิงอย่างไร ไม่ให้นางสิ้นสติหรือร้องไห้คร่ำครวญ ไม่แน่ว่าหากเขาหาทางบอกหรือเลือกคำพูดไม่ดีพอ นางอาจจะทั้งสิ้นสติและฟื้นขึ้นมาร้องไห้คร่ำครวญ ต่
การดำเนินการเรื่องเสบียงคืบหน้าไปมาก แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะแน่ใจได้ว่าในระหว่างการสู้รบที่กำลังจะมาถึงและต้องใช้เสบียงมากกว่าปกติจะมีเพียงพอหรือไม่ ในขณะเดียวกัน ทัพของข้าศึกก็แข็งแกร่งพอที่จะเริ่มโจมตีกำแพงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะถูกสังหารไปมาก แต่พวกมันก็ไม่เคยยอมแพ้ ส่งผลให้กองทัพที่เจอทั้งปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้า ม้าล้มตาย กำลังใจถดถอย เสบียงก็ร่อยหรอลง อาวุธที่มีอยู่ก็ดูเหมือนจะมีไม่พอระส่ำระสายขึ้นมา ข่าวลือหนาหูว่าท่านแม่ทัพเป็นพวกตัดแขนเสื้อ ทำให้หลายฝ่ายเกิดความไม่พอใจ มู่หรงเซียวหนานรู้ดีถึงข้อครหาที่เกิดขึ้น จึงสร้างระยะห่างเอาไว้เพราะความเป็นชายที่มันค้ำคอ และเพื่อรักษาเกียรติยศของวงศ์ตระกูล จางซื่อหมิงมักจะตำหนิใครก็ตามที่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูด แต่ยิ่งห้าม ก็เหมือนเรื่องจะลุกลามไปเร็วขึ้น พอดีกับที่ฟาหยาง เจ้าคนพาลออกมาจากคุก แม้สติไม่สมประกอบนัก แต่ก็ยังจำได้ว่าใครเป็นคนทำให้ตัวเองต้องเข้าไปอยู่ในนั้น จึงได้วางแผนร้ายอยู่ในใจเพื่อที่จะได้แก้แค้นให้สาสม “ท่านแม่ทัพ คืนนี้จะให้ข้าอยู่ช่วยงานหรือไม่ขอรับ” หลายวันมานี้ หยางจูรู้สึกได้ว่าทั้งคู่มีระยะห
“ข้ากลับมาใหม่ดีกว่า” นางถอยหลัง “จะไปไหน ข้าต้องการให้เจ้าช่วยอยู่พอดี” “ชะ...ช่วย ช่วยอะไรหรือขอรับ” หากให้ช่วยถอดท่อนล่างด้วย นางไม่ตายเลยหรือนี่ ขอให้นางไปตั้งหลักก่อนมิได้หรือไร “ช่วยหาเสื้อสะอาด ๆ มาให้ข้าสวมที เย็นนี้จะไม่ออกไปไหนแล้ว นี่คิดว่าข้าจะให้ทำสิ่งใด ถึงได้ทำหน้าปะหลับปะเหลือกเพียงนั้น” หยางจูสั่นหน้าระรัว รีบค้นเอาเสื้อออกมาตามคำสั่ง แต่เขากลับกางแขนออก แล้วทำท่าให้นางช่วยสวมให้ หยางจูมือไม้สั่นรีบจัดการสวมเสื้อให้เขาโดยเร็ว “ขอบใจเจ้ามาก” เขากล่าวเมื่อนางถอยห่างออกมา “ขอรับ ท่านหิวแล้วหรือยังขอรับ” “อีกสักพักหนึ่ง หรือเจ้าหิวแล้ว” “ข้าจะรอให้ท่านกินอิ่มก่อนแล้วค่อยไป” “ข้าจะให้เจ้าเอามากินด้วยกัน เพราะเจ้าต้องช่วยงานข้าอีกมาก อาจจะแล้วเสร็จตอนดึกโน่น” เขากล่าวเนิบ ๆ ดูไม่ได้มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง แต่หยางจูเองก็รู้สึกได้ว่ามู่หรงเซียวหนานชอบเรียกหานางและใช้เวลาอยู่ด้วยนานขึ้น “แต่มันอาจจะไม่เหมาะสมหรือเปล่าขอรับ” “แล้วใครจะเป็นผู้บอกว่าเหมาะสมหรือไม่ นอกจากข้าคนนี้ หรือหากมีใครมารังแกเจ้า แค่เพรา
จางซื่อหมิงมาดักรอหยางจูระหว่างเดินกลับจากกระโจมของท่านแม่ทัพ เนื่องจากลู่อิงได้รอเอาอาหารและของใช้ส่วนตัวมาให้ พร้อมทั้งรับจดหมายที่องค์หญิงต้องเขียนตอบองค์ชายชาง การจะลอบเจอกันยากเย็นขึ้นทุกที นอกจากจะต้องหลบเลี่ยงสายตาของคนทั้งค่าย ซึ่งแม้จะอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่กล้าที่จะจุ้นจ้านวุ่นวายกับเขามากนัก แต่ช่วงหลังมานี้ เรื่องที่ยากลำบากกว่านั้นคือ มู่หรงเซียวหนานเอาแต่จับจ้องเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าใกล้องค์หญิงหยางจู ซ้ำยังกีดกันทุกครั้งที่มีโอกาสด้วย อย่างวันก่อนตอนที่เขาเสนอจะเดินหมากด้วยเพื่อฆ่าเวลาก่อนการออกไปคุ้มกันเสบียงที่ส่งเข้ามา มู่หรงเซียวหนานก็เอาแต่รบเร้าให้เขารีบไป ไหนจะตอนที่เขาเอาขนมจากข้างนอกมาฝาก แม่ทัพหนุ่มก็แย่งจากมือขององค์หญิงไปกินหน้าตาเฉย ไม่ใช่ว่าหลงรักคนข้างกายของตนเองแล้วไม่ยอมรับหรอกหรือ “ท่านรองแม่ทัพ” เสียงเรียกดังมาจากหลังต้นไม้ที่อยู่หลังห้องเก่า ๆ ผุพังอีกที “องค์หญิง แม่นางลู่อิงมารออยู่ที่เดิม เมื่อพบนางแล้ว ให้กลับมาโดยเร็วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอกแม้จะมองไม่เห็นตัวของนาง “เข้าใจแล้ว ท่านอย่างเพิ่งไปไหน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“เหตุใดชิงเอ๋อร์จึงเอ่ยถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เช่นนี้ขึ้นมาได้ ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้เสียหน่อย” เขาถอนหายใจ พับจดหมายกลับใส่ซองเอาไว้เหมือนเดิม ก่อนจะนั่งลงตกตะกอนความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยใจทำในสิ่งที่อยากทำอย่างนั้นหรือ เขาพึมพำกับตัวเอง ฉับพลันก็นึกถึงหน้าของหยางหยางขึ้นมา “แล้วเราจะไปนึกถึงเจ้านั่นทำไมกัน” ชายหนุ่มถูหัวคิ้วอย่างหวั่นวิตกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พักหลังมานี้ ตั้งแต่ให้หยางหยางมาเป็นทหารรับใช้ ห้วงความคิดของมู่หรงเซียวหนานก็มักจะวนเวียนอยู่กับเจ้าตัวเล็กหน้าหวาน คอยห่วงว่าจะโดนคนอื่นกลั่นแกล้งหรือไม่ อาหารการกินเป็นอย่างไร หรือแม้แต่คืนที่เจ้าตัวหอบผ้าหอบผ่อนเดินลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วพูดปดกับเขา เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะซักถามเอาความในเรื่องนั้น แต่กลับไปจดจำความนุ่มนวลในกิริยาท่าทางและกลิ่นกายหอมกรุ่นเสียได้ มันเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวเขากันแน่ หรือเขาจะเขียนไปบอกชิงเอ๋อร์อีกรอบโดยละเอียด แต่ถ้าหากเขียนไปว่าว้าวุ่นใจเพราะชายคนหนึ่ง มันจะต้องเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสแม้แต่กับคนเช่นนางแน่ หรือไม่ใช่ มู่หรงเซียวหนานถอนหายใจเฮือกใหญ่ สอดจดหมายเ
มู่หรงซียวหนานพับจดหมายสอดใส่ในซอง พร้อมทั้งประทับตราส่งหาน้องสาวด้วยความร้อนรน ขณะยืนมองคนส่งสารเดินออกไปนั้น เขาก็กระวนกระวายจดจ่อที่จะได้รับคำตอบจากคนที่เขาให้ความไว้วางใจอย่างสูง เรื่องที่เขียนฝากไปนั้น ก็จำเป็นจะต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการตอบ มันจึงต้องเป็นเยว่ชิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบแก่เขาได้ จดหมายมาถึงมู่หรงเยว่ชิงในหลายวันต่อมา นางเองก็ฉงนใจที่พี่ชายระบุเอาไว้ว่าให้ส่งจดหมายนี้ถึงมือนางเท่านั้น เพราะโดยปกติแล้ว เขาจะเขียนถึงบิดามารดาและรวมเอาน้องทั้งสามเข้าไปด้วยในคราวเดียวกัน นางเปิดจดหมายออกอ่านด้วยหัวใจลุ้นระทึก เห็นลายมือที่เป็นระเบียบน้อยกว่าปกติของพี่ชายก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงต้องเดินเข้ามาในห้องชั้นในแล้วอ่านคนเดียว ชิงเอ๋อร์น้องพี่ พี่มีเรื่องร้อนใจจะถามความคิดเห็นของเจ้า เมื่อไม่นานมานี้พี่เกิดอาการแปลกประหลาด แต่ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่อาการนั้นรบกวนจิตใจพี่จนอยู่ไม่สุข เพราะมันผิดต่อฟ้าดินและความเป็นชายอกสามศอก รวมถึงตำแหน่งแม่ทัพที่พี่ดำรงอยู่ พี่แค่อยากจะถามว่าหากเป็นเจ้าแล้ว เจ้าจะกล้าฝืนทุกอย่างเพื่
หรือจะพูดคุยกันเช่นนี้เป็นประจำ “ฮึ!” “ท่านแม่ทัพ ข้าเห็นท่านไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เมื่อครู่ ขอถามได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น หรือกองทัพของเราติดปัญหาที่ตรงไหน” จางซื่อหมิงเดินตามสหายออกมาด้วยความกังวล “เจ้ากับหยางหยางคุ้นเคยกันดีหรือ” “หา!” “คำถามนี้เข้าใจยากตรงไหน” มันไม่ได้เข้าใจยาก แต่ไม่คิดว่าจะถูกถามต่างหาก จางซื่อหมิงเลียริมฝีปาก หรือท่านแม่ทัพจะระแคะระคายสถานะขององค์หญิงเข้า ทุกคนเดือดร้อนกันหมดแน่ “ไม่ถึงขนาดสนิทสนมหรอกท่าน เพียงแต่หยางหยางไหวพริบดี ทำงานเก่ง แล้วยังเป็นเกลอกับเจ้าลี่ถัง ทหารร่วมเป็นร่วมตายของข้า ข้าจึงเอ็นดูหยางหยางเป็นพิเศษ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นคล้ายจะไม่เชื่อในคำพูดนั้นเท่าใดนัก “เพียงแต่เอ็นดูเท่านั้นหรือ” “หรือท่านไม่คิดว่าเขาน่าเอ็นดู” ถามกลับพลางทำสีหน้าลึกลับ พานให้คนถามรู้สึกราวกับถูกล่วงรู้ความลับ แต่...เขามีความลับอะไรที่ไหนกัน “ก็ใช่ แต่บางครั้งก็เปิ่นเป๋อเกินไป” “นั่นแหละที่ทำให้หยางหยางน่าเอ็นดูมิใช่หรือ” มู่หรงเซียวหนานไม่ตอบ ความขุ่นเคืองที่เพิ่งทุเลาลงโหมกระพือขึ้นมา
เขาเผลอทำเสียงดังไปหน่อย สายตาทุกคู่จึงหันมาหาด้วยความกังขา “ข้าหมายความว่าคนหมดสติล้มพับลงไป เพียงแค่นอนพักเท่านั้นเองหรือ ร่างกายช่างน่ามหัศจรรย์โดยแท้” ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้คนฟังสังเกตเห็นถึงความแปลกประหลาดของท่านแม่ทัพที่เคยสุขุมนุ่มลึก มาบัดนี้กลับร้อนรุ่มเสียจนปิดเอาไว้ไม่มิด เพียงแค่เด็กรับใช้ข้างกายเกิดเจ็บป่วย เช่นเดียวกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีทหารมากมายร้องโอยโอยอยู่รายรอบ สายตาของมู่หรงเซียวหนานกับมุ่งตรงไปยังคนผู้เดียว เป็นเหตุให้เกิดความคิดมากมายหลายประการ “หยาหยาง” เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ เพ่งมองใบหน้าแดงจัดเพราะพิษไข้และเห่อร้อน ก่อนจะเหลือบมองจางซื่อหมิงที่ยังนั่งติดเตียง โดยไม่รู้เลยว่ากำลังโดนสายตาพิฆาตเล่นงานอยู่ ในใจของจางซื่อหมิงทั้งกังวลทั้งหวาดกลัว นับตั้งแต่องค์หญิง หยางจูมาที่นี่ เขายอมรับว่าไม่สามารถนอนหลับอย่างไร้กังวลได้สักคืน นางก็ถือเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของเขา ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้รักใคร่องค์หญิงหยางจูเพียงใด นอกจากนี้เมื่อได้มารับใช้ใกล้ชิด เขาก็อดจะรู้สึกชื่นชมและผูกพันกับนางแบบข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ไม่ได้ ยิ่งเป