Share

ตอนที่ 3

ยังไม่ทันจะไปถึง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ท่าทางราวกับบัณฑิตสะโอดสะองก็ถูกผลักจนหน้าคะมำ ก่อนจะโดนทุบเข้าที่หลังเต็มแรง

“นี่พวกเจ้า มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อยจากันดี ๆ สิ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลยนี่”

“แม่นาง นี่เป็นเรื่องของบุรุษ เจ้าอย่าแส่จะดีกว่า”

“เขาทำอะไรผิด หากเป็นเรื่องเงิน ข้าจะจ่ายให้ ต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา” นางไม่สนใจเสียงกระโชกโฮกฮากและสายตาไม่เป็นมิตรของคนพวกนั้น แล้วหันไปหาลู่อิงที่รีบหยิบถุงเงินออกมา

“ข้าไม่ต้องการเงิน พวกที่ชอบใช้เงินทองฟาดหัวคนอื่น ควรจะได้รับบทเรียนเสียบ้าง”

“หากเจ้าไม่ปล่อยเขาไป ข้าจะแจ้งทางการ”

เสียงหัวเราะเยาะหยันดังลั่นเมื่อนางกล่าวประโยคนั้นจบ

“ที่นี่อยู่ไกลจากศาลาว่าการตั้งเท่าไหร่ กว่าเจ้าจะไปแจ้ง ข้าก็ทุบเจ้านี่จนน่วมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เพราะฉะนั้นข้าข้อเตือนให้แม่นางถอยไปห่าง ๆ เสียดีกว่า”

หยางจูไม่รู้สึกพรั่นพรึงต่อคำขู่นั้น หากการเจรจาไม่ได้ผล นางก็รู้ดีว่าองครักษ์เซี่ยที่มาด้วยกันจะสามารถรับมือกับคนพวกนี้ซึ่งดูไม่ต่างจากโจรกระจอกได้

“เจ้าไม่ต้องการสิ่งนี้จริงหรือ” นางรับถุงเงินจากลู่อิงแล้วเขย่าไปมาตรงหน้า

“เจ้านี่พูดไม่รู้ความ ออกไป ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน แล้วจะมาหาว่าข้าใจร้ายกับสตรีไม่ได้นะ” พูดแล้วก็ปราดเข้ามาหาอย่างมุ่งร้าย

เซี่ยหานปิงที่จับตามองทุกฝีก้าวขยับเข้ามาขวางเอาไว้ด้วยความรวดเร็วผิดจากคนธรรมดา

“อย่ายุ่งกับนายหญิงของข้า ท่านไม่อยากจะมีเรื่องกับข้าหรอก” เขาเตือนเสียงเย็น

“คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าเรอะ บอกไว้ก่อนนะว่าพวกเรามันหมาหมู่เสียด้วย” มันว่าแล้วพวกลูกสมุนก็หัวเราะรับอย่างเหิมเกริม

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายฮึ่มฮั่มใส่กัน หยางจูก็อาศัยความเร็วตรงเข้าไปดึงมือบัณฑิตหนุ่มแล้วพาวิ่งหนีออกมาจากวงล้อมทันที

“มาเร็ว”

“หา”

“ตามข้ามาเร็วเข้า”

นางฉุดกระชากเขาไปตามทาง ก่อนจะหันไปเรียกลู่อิง แต่นางรู้ใจนายหญิงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงวิ่งตามมาติด ๆ

“เฮ้ย จะหนีไปไหน”

“คิดว่าจะหนีพ้นเรอะ”

“ไปตามจับพวกมันมาเดี๋ยวนี้”

กลุ่มชายฉกรรจ์ทำท่าจะวิ่งตาม แต่ถูกเซี่ยหานปิงเข้าขัดขวาง แม้จะใช้เพียงมือเปล่า แต่ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไรนัก

ขณะเดียวกัน หยางจูก็รีบพาทุกคนมาที่รถม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด

“เจ้าขับรถม้าเป็นหรือไม่” นางถามชายหนุ่มที่ถูกนางลากมา

เขาส่ายหน้า

นางถอนหายใจ ก่อนจะปีนขึ้นไปบนแท่นที่นั่ง แล้วดึงบังเหียนของม้าด้วยความทะมัดทะแมง

“คุณหนูเจ้าคะ นั่นไม่ใช่รถม้าของเรานะเจ้าคะ” ลู่อิงละล่ำละลัก

“ขึ้นมาเถอะน่า” นางเร่ง แต่แล้วก็เกิดสำนึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา “เอาเงินวางไว้บนพื้นด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวเจ้าของเขาก็ออกมาเห็นเองนั่นแหละ”

ลู่อิงทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่บัณฑิตหนุ่มยังลังเลที่จะขึ้นรถม้า

“เอ้า อยากให้พวกมันตามมาฆ่าเจ้าหรือ ขึ้นมาได้แล้ว” นางตะโกนเร่ง

เมื่อไม่มีทางเลือก เขาก็จำต้องยอมยัดตัวเองเข้าไปพร้อมกับลู่อิง องค์หญิงผู้เรียนรู้ทุกอย่างเพราะอยากจะทัดเทียมกับบุรุษหวดแส้เข้ากับสีข้างของม้าหนุ่ม แล้วบังคับให้มุ่งตรงไปยังกลุ่มอันธพาล แล้วตะโกนเรียกองครักษ์ของตนไปด้วย

“พี่เซี่ยรีบขึ้นมาเร็วเข้า”

“อย่าให้พวกมันหนีไปได้เด็ดขาด”

เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายผสมปนเปไปกับเสียงเกือกเท้าม้าไม่ได้ทำให้นางหวั่นเกรงแต่อย่างใด นางชะลอความเร็วลงเล็กน้อยให้องครักษ์หนุ่มกระโดดขึ้นมาได้

“เร่งความเร็วเต็มที่เลยขอรับ”

เมื่อเขาขึ้นมาได้ นางก็บังคับให้ม้าวิ่งห้อเต็มฝีเท้าไปบนถนน เจ้าพวกนั้นพยายามวิ่งตามมาเป็นขบวนแต่ก็ไร้ผล เมื่อเห็นว่าพวกมันหมดปัญญา ได้แต่ยืนมองอยู่ไกล ๆ นางก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

“คุณหนูทำแบบนี้ไม่ดีนะขอรับ มันอันตราย” องครักษ์เอ่ยเตือน

“แต่เราก็รอดมาได้ไม่ใช่หรือ” นางตอบอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “ส่วนสัมภาระของเรา ก็ค่อยส่งคนกลับไปเอาแล้วกัน” ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจละทิ้งนิสัยเอาแต่ใจไม่ได้

“เปลี่ยนให้ข้าขับเถอะขอรับ คุณหนูกลับไปนั่งข้างในให้สบายดีกว่าขอรับ”

“ก็ได้” นางรับคำเพราะอยากจะเข้าไปพูดคุยกับชายที่นางเพิ่งจะช่วยมาด้วย

พอรถม้าจอดสนิท นางจึงกระโดดลง แล้วก็กระโดดกลับเข้าไปด้านในด้วยความรื่นเริง

“คุณหนู ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมเจ้าคะ”

ลู่อิงดึงมือของนางที่ใช้จับบังเหียนไปลูบแล้วสำรวจผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจระคนเป็นห่วง

“ข้าสบายดี พี่ลู่อิงอย่าห่วงเลย ว่าแต่ท่านจะให้เราไปส่งที่ไหน หากไม่เป็นการเสียมารยาท ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” หยางจูเอ่ยรัวเป็นชุด

“ข้าแค่ผ่านมาทางนี้ แต่กลับโดนเรียกเก็บค่าผ่านทาง แต่ข้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงไม่ยอมจ่ายให้ในตอนแรก พวกมันจึงโมโห เมื่อข้าเห็นว่ายอมเสียดีกว่าเจ็บตัว พวกมันก็ไม่ยอมรับ แล้วเข้ามาซ้อมอย่างที่เจ้าเห็น”

“คงเพราะมันอยากจะลงไม้ลงมือแต่แรกอยู่แล้ว”

“เห็นจะเป็นเช่นนั้น”

“แล้วท่านมาจากเมืองใดกัน”

นางกวาดตามองเขาอย่างสำรวจ ชายหนุ่มแต่งกายอย่างบัณฑิต กอปรกับท่าทางตื่น ๆ ไม่คุ้นชินกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายทำให้นางสงสัยว่าเขาคงจะเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลที่ไม่ค่อยได้ออกมาเผชิญโลก ส่วนชายหนุ่มนั้นทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยชื่อเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางออกไปแทน

“ข้าจะเดินทางไปสอบราชการที่อีกเมืองอู่เหอน่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เป็นบัณฑิตอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริง ๆ”

เขาพยักหน้าแข็งขัน สีหน้ามีความโล่งใจขึ้น แม้ในอกจะกังวลว่านางจะไม่เชื่อในคำโกหก แต่เมื่อนางไม่ซักไซ้อะไรต่อ เขาก็พอจะผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง

“พวกข้าต้องผ่านไปทางเมืองนั้นพอดี ถ้าอย่างนั้นท่านก็ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ท่านว่าดีหรือไม่”

ในเมื่อคณะของนางจะต้องผ่านเมืองที่ชายหนุ่มต้องการจะไปอยู่แล้ว นางจึงเสนออย่างใจกว้างที่จะแวะไปส่งเขาด้วย ดูท่าทางอ่อนแอไม่สู้คนของชายตรงหน้าแล้ว นางนึกเป็นห่วงว่าหากเขาเดินทางตัวคนเดียวอาจเกิดเรื่องแบบเมื่อครู่นี้อีก

“จะเป็นการรบกวนท่านหรือไม่”

“รบกวนสิ่งใดกัน มีเพื่อนร่วมเดินทางสิดี จะได้ไม่เหงา”

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนแม่นางแล้ว” เขาบอกพลางประสานมือยื่นออกมาตรงหน้า

“ฮ่า ๆ ท่านนี่ตลกชะมัด” หยางจูอดขำกับท่าทางมีพิธีรีตรองของชายตรงหน้าไม่ได้

“เอาละ ท่านมีนามว่าอย่างไร”

“ข้าชื่อเฟิงจวิ้น แล้วท่านล่ะ”

“ข้าหยะ…จูหยาง”

นางกำลังจะตอบตามความเคยชินแต่ถูกลู่อิงสะกิดเตือน ด้วยไหวพริบนางจึงแก้สถานการณ์ได้ทัน

รถม้าแล่นไปเรื่อย ๆ สองหนุ่มสาวก็พูดคุยกันไปตลอดทาง ระหว่างนี้เฟิงจวิ้นลอบสังเกตคู่สนทนาไปด้วย แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ แต่มิอาจปกปิดสง่าราศีไปได้ อีกทั้งสาวใช้ของนางยังมีกิริยาท่าทางเหมือนกับได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เขาคาดว่านางคงเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่เป็นแน่ แต่เขาไม่คิดเปิดโปงใด ๆ เพราะแต่ละคนล้วนมีเหตุผลแห่งการกระทำของตัว ตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน

เฟิงจวิ้นเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นดูแล้วคงจะชอบความสนุกสนานไม่น้อย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนางช่างสดใสนัก และดวงตาที่เปล่งประกายของนางทำให้เขาอดลอบมองนางเป็นระยะไม่ได้ ความสดใส่ร่างเริงเปิดเผยจริงใจและความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษตอนที่ช่วยเหลือเขาทำให้หัวใจเขารู้สึกหวั่นไหวและอากจะร่วมทางกับนางให้นานที่สุดเท่าที่จะไปได้ เสียดายว่าควรจะบอกจุดหมายปลายทางที่ไกลออกไปอีกสักหน่อย ไม่ใช่เมืองถัดไปอย่างที่ได้เอ่ยไป

รถม้าจอดสนิทที่เมื่อแล่นเข้าสู่ทางเข้าเมืองอู่เหอ

“ถึงเมืองอู่เหอแล้วขอรับ”

เซี่ยหานปิงตะโกนบอกเข้ามา เขาตั้งใจหยุดรถที่หน้าประตูเมือง ไม่อยากเข้าเมืองให้เป็นที่สังเกต

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ขอบใจท่านมาก” เฟิงจวิ้นกล่าวอย่างเสียดายและมองหน้าสตรีที่ประทับอยู่ในหัวใจเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ขอให้ท่านโชคดี อ้อ คราวหน้าท่านก็หัดสู้คนเสียบ้าง” หยางจูอวยพรให้และไม่วายกำชับพร้อมส่งยิ้มให้

เมื่อชายแปลกหน้าลงจากรถไปแล้ว เซี่ยหานปิงจึงออกรถทันที เฟิงจวิ้นนั้นยืนมองตามรถม้าที่วิ่งฝุ่นตลบห่างออกไปเรื่อย ๆ

“จูหยาง…”

เขาพึมพำชื่อของหญิงสาวเบา ๆ พร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มอย่างพอใจ

“คุณชาย พวกข้าขออภัยและน้อมรับโทษขอรับ”

จู่ ๆ ชายกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเขา

“พวกเจ้าลุกขึ้น ข้าเองก็มีส่วนผิดที่ละเลยและเปิดโอกาสให้เจ้าพวกนั้นหาเรื่อง” เฟิงจวิ้นโบกมือให้กลุ่มคนตรงหน้าลุกขึ้น

ความจริงแล้วในตอนนั้นเขาแค่ดูเชิงเจ้าพวกอันธพาล ถ้าจูหยางไม่เข้ามา เขาย่อมจัดการพวกมันได้อยู่แล้ว แม้กระนั้นเขากลับปล่อยเลยตามเลยเพราะนึกสนใจความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ แต่จิตใจงามที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และในตอนนี้เขานึกเป็นห่วงนางเสียแล้ว เพราะอันธพาลที่หาเรื่องเขานั้นถูกสั่งให้ปลอมตัวมาจัดการกับเขาโดยเฉพาะ

“ไปสืบมา” เขาออกคำสั่ง

“ขอรับ” รับคำเสร็จกลุ่มคนตรงหน้าก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“จูหยาง เราจะต้องได้พบกันอีกแน่”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status