Share

ตอนที่ 2

การเดินทางขององค์หญิงผู้ดื้อรั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบและถูกเก็บให้เป็นความลับมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยจดหมายได้ถูกคนของ

หลี่อวี้อ๋องส่งไปล่วงหน้าก่อนแล้ว เพื่อให้รองแม่ทัพจางซื่อหมิงเตรียมการในสิ่งที่จำเป็นเพื่อต้อนรับการมาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์แต่อุตริดันคิดแผลง ๆ อยากมาตกระกำลำบากในค่ายทหาร ทั้งนี้หลี่อวี้อ๋องได้เตรียมการเป็นอย่างดี โดยให้หลานรักออกเดินทางพร้อมกับทหารอารักขาที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านเดินทางล่วงหน้าไปประจำการตามจุดต่าง ๆ เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง ข้าวของในหีบไม้เรียบ ๆ ไม่สะดุดตาสองหีบ มีเพียงเสื้อผ้าธรรมดาและตำราไม่กี่เล่ม กับของสำหรับการปลอมตัว และของใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิงซึ่งจะต้องเก็บอย่างมิดชิด

หยางจูนั่งกระเด้งกระดอนอยู่ในเกวียนเทียมม้าคันเล็กสภาพเก่าคร่ำคร่าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต เมื่อไปถึงที่เมืองชายแดนนางจะต้องลงจากรถม้าคันนี้ที่จะขนสัมภาระเข้าไปในค่ายตามเส้นทางลับ แล้วเปลี่ยนไปใช้รถม้าคันอื่นแทนเป็นระยะทางสั้น ๆ แม้จะฟังดูยากลำบากสำหรับองค์หญิงเช่นนาง แต่ในหัวใจดวงน้อยที่มีเพียงความปรารถนาจะได้ยลโฉมหน้าของชายในดวงใจ นางก็มีเพียงความตื่นเต้นเพียงเท่านั้น

มันอาจจะใช้เวลาหลายวันและขลุกขลักไปบ้าง แต่นางเชื่อว่าการกระทำในครั้งนี้จะต้องได้ผลตอบแทนคุ้มค่า นางเชื่อมั่นในตนเองเสมอว่าจะสามารถทำให้มู่หรงเซียวหนานมีใจให้นางได้ แม้อุปสรรคใหญ่ที่ค้ำคออยู่จะเป็นการที่นางอยู่ในร่างบุรุษก็ตามที

“องค์หญิงเพคะ นี่เราก็เดินทางกันมาได้สองชั่วยามแล้ว พักสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ” นางกำนัลคู่กายเอ่ยด้วยเสียงอ่อนระโหย พลางปาดเหงื่อที่หน้าผาก

“ถ้าเรามัวแต่พักเช่นนี้ อีกสามชาติก็คงไม่ถึงชายแดนเป็นแน่” องค์หญิงกล่าวเป็นเชิงประชดประชัน แม้นางเองจะรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็เร่งอยากจะถึงที่หมายโดยเร็ว “อดทนเอาอีกหน่อยเถอะ

ลู่อิง อีกชั่วยามข้าจะให้พัก”

ลู่อิงมีสีหน้าดีขึ้น แล้วก็พลันสลดลงเมื่อคิดได้ว่าหากถึงที่หมายเร็ว นางก็ต้องแยกกับองค์หญิงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อยู่รับใช้กันมา ลู่อิงไม่ได้รับอนุญาตให้ปลอมตัวเป็นชายเข้าไปในค่ายทหารด้วย เนื่องจาก

องค์หญิงหยางจูคิดว่าจะเป็นความวุ่นวายและอาจถูกสงสัยจนความแตกเสียมากกว่า แต่ด้วยความเป็นห่วงและมองการณ์ไกล พระชายาเยว่ชิงก็คิดว่าอย่างไรเสีย การมีคนรับใช้คู่กายไว้ใกล้ตัวก็ย่อมดีกว่า จึงให้นางกับ

ราชองครักษ์ปลอมตัวเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายแดนติดกับค่ายทหารที่ตั้งอยู่ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินใดขึ้น อย่างน้อยจะได้ช่วยเหลือหรือส่งข่าวได้ทันการณ์

“เป็นอะไรไป”

“หม่อมฉันแค่เป็นห่วงองค์หญิง เพียงแค่นึกว่าจะต้องไปหลับนอนบนพื้นแข็ง ๆ กินอาหารหน้าตาจืดชืด ทำงานหนักทรมานร่างกายก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้เพคะ”

คนฟังถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร ทุกคนต่างก็พูดเรื่องนี้กับข้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ข้าอยู่ได้ ลู่อิง คนเราถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ความเหนื่อยยากจากภายนอก ไม่อาจทำให้เขาหมดความพยายามไปได้หรอก”

เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะทำให้นางเปลี่ยนใจ ลู่อิงก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ

รถม้าโขยกเขยกไปเรื่อย ผ่านภูมิประเทศที่เริ่มทุรกันดารและแสดงออกถึงความเป็นชนบทมากขึ้นทุกที สิ่งปลูกสร้างที่กระจัดกระจายกันเป็นหย่อม ๆ ดูโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้ง หยางจูทอดสายตามองภูเขาที่เห็นอยู่ไกลลิบ รู้ว่าจุดหมายปลายทางของตนยังอยู่อีกไกล

เมื่อถึงเวลาตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ องค์หญิงหยางจูก็ปล่อยให้

ทุกคนได้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมเก่าซอมซ่อแห่งหนึ่ง ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เจ้าของร้านก็ยังมีอัธยาศัยดี และมีน้ำใจไมตรีเข้ามาทักทายช่วยเหลือ หญิงสาวทั้งสองเดินเข้าไปด้านในด้วยความยินดี แม้หยางจูจะต้องหยิกหลังลู่อิงเป็น

พัก ๆ เพราะแสดงได้ไม่สมบทบาทของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดานัก แต่ผู้คนในที่แห่งนั้นก็ไม่ได้มีเวลามาสงสัยนักเดินทางมากหน้าหลายตาที่ผ่านไปมา ด้วยตนเองก็เป็นคนแปลกหน้าของผู้อื่นเช่นกัน

ในร้านมีทั้งลูกค้าชายหญิงนั่งปะปนกันอยู่ นางจึงคลายความระแวดระวังลง แล้วเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ด้านนอกใกล้กับประตูเพื่อจะสังเกตผู้คนเข้าออก ที่ด้านนอกร้านยังมีการสัญจรไปมา เซี่ยหานปิง ราชองครักษ์ที่ตอนนี้รับบทเป็นเพียงคนขับรถม้า เมื่อหาหญ้าและน้ำให้ม้ากินเรียบร้อย ก็รีบตามองค์หญิงเข้ามาด้านในและนั่งประจำการที่โต๊ะทันที

“เจ้าไม่ต้องนั่งหลังตรงขนาดนั้นก็ได้” นางกระซิบกระซาบ “เราปลอมตัวอยู่ ลืมหรืออย่างไร”

“องค์หญิง กระ...” ปากที่อ้ากว้างปิดฉับเมื่อโดนคนที่ตนเรียกว่าองค์หญิงถลึงตาใส่

“พวกเจ้านี่ ให้ปลอมตัวง่าย ๆ ยังทำไม่ได้ แย่จริงเชียว เอางี้ดีกว่า ต่อไปนี้ข้าจะเรียกพวกเจ้าว่าพี่เซี่ยกับพี่ลู่อิงละกัน” นางสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารหลายอย่างกับเสี่ยวเอ้อที่ยืนรออย่างนอบน้อมอยู่ด้านหลัง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหยางจูสนุกสนานกับสิ่งที่นางทำอยู่ ก่อนหน้านี้ นางเคยแวะเวียนไปหาพระชายาของเสด็จอาอยู่หลายครั้ง และได้ฟังเรื่องเล่าที่หญิงสาวแอบออกไปเที่ยวข้างนอก ได้พบเจอสิ่งน่าสนใจมากมาย ก็นึกอิจฉาอยู่ในอก แม้ทั้งสองคนจะเข้าใจหัวอกของกันและกัน แต่พระชายาเยว่ชิงนั้นก็ยังถือว่ามีอิสระกว่านางมากนัก

“อาหารมาแล้ว...เจ้าค่ะ” ลู่อิงเอ่ยคำลงท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา ท่าทางหวาด ๆ ของแทำให้หยางจูหัวเราะคิกคัก

“ถ้าคนที่นั่นมาได้ยินเข้า คงจะทำหน้าตลกพิลึกที่ได้ยินเจ้าพูดกับข้าเช่นนี้”

ลู่อิงยิ่งหน้าแดงด้วยความกลัวระคนไม่สบายใจ แต่มือบางตบบนไหล่นางแปะ ๆ

“อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่ไปฟ้องใครหรอกน่า โดยเฉพาะท่านพ่อ ข้าสิต้องเป็นฝ่ายกังวลว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งจะทำความแตก” นางเน้นคำว่าท่านพ่อด้วยความรู้สึกแปร่งปร่าไม่คุ้นชิน ก่อนจะคีบเนื้อไก่เข้าปาก

“ท่านควรจะกลัวว่าทหารในกองทัพจะจับได้มากกว่า” ลู่อิงพึมพำ

“แต่ข้าว่าน่าสนุกออก” นางตอบพลางหัวเราะออกมาอีกระลอก

อาหารมื้อนั้นแม้จะเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็อร่อยถูกปากไปเสียหมด นางเดินทางมาไกลก็จริง แต่กลับมีพลังงานล้นเหลือ พูดคุยหยอกล้อกับคนของตนอย่างเป็นกันเอง แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาสีซีดจาง แต่ก็ไม่อาจกลบสง่าราศีความสูงศักดิ์ไปได้ จึงไม่วายมีผู้คนหันมามามองนางเป็นระยะ ๆ

“กระ…เอ่อ…ข้าว่าเราควรรีบกินกันดีกว่า”

เซี่ยหานปิง ราชองครักษ์ผู้ผันตัวไปเป็นคนขับรถม้าเร่งนางให้กินเร็วขึ้นเพื่อจะได้รีบออกไปจากที่นี่ เพราะเห็นสายตาหลายคู่มองมาที่เจ้านายของตนดูแล้วไม่น่าไว้ใจ

“คืนนี้เราจะพักที่ใดกัน” หยางจูเอ่ยถามอย่างไม่รู้ร้อน

“ไม่ไกลจากนี่นักขอรับ เดินทางสักครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ที่นั่นน่าจะมีการตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

การเดินทางจากเมืองหลวงไปสู่ชายแดนไม่ใช่ระยะทางเพียงม้าควบวันเดียวแล้วจะถึงได้โดยง่าย หยางจูเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมทุกคนไม่พักเสียที่นี่เลย

“ที่นี่ก็มีห้องหับให้เข้าพักไม่ใช่หรือ เราจะแวะหลายที่ไปเพื่ออันใดกัน”

“แต่ที่นี่ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้นะขอรับ ข้าเกรงว่าหากเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน”

“แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวชาวบ้านสองนาง กับคนขับรถม้าอีกหนึ่งคนกัน พวกเจ้ากังวลเกินเหตุ”

“แต่คำสั่งขององค์ชาย...”

“ชู่ว!”

นางเอ็ดเขา ก่อนจะหันไปหาเถ้าแก่ที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้วเพื่อจะถามหาห้องว่าง ตอนนี้นางได้อิสระในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าพี่ชายของนางจะเคยสั่งทุกคนไว้เช่นไร นางก็เลือกทำอย่างที่ตัวเองเห็นว่าสมควร

มีห้องว่างเหลืออยู่สองห้องพอดี นางกับลู่อิงจึงตกลงที่จะนอนห้องเดียวกัน ด้านนอกไม่มีอะไรทำมากนัก เนื่องจากโรงเตี๊ยมเพียงแต่ตั้งอยู่ริมทาง จะให้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ไม่ได้ หยางจูจึงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร และลอบฟังบทสนทนาจากโต๊ะอื่นด้วยความสนใจ

จู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เซี่ยหานปิงจึงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เพื่อดูลาดเลาและเตรียมพร้อมในการอารักขา ส่วนหยางจูชะเง้อคอมองผ่านแสงสุดท้ายของวัน เห็นชายฉกรรจ์หลายคนยืนล้อมบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ แม้จะมองจากมุมนี้ก็พอจะบอกได้ว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

“เราไปดูกันเถอะ” นางบอกพลางทำท่าลุกขึ้น

“เจ้าคะ?” ลู่อิงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ “อาจจะเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นได้ อย่าไปเลยนะเจ้าคะ”

“แต่ชายหนุ่มผู้นั้นดูท่าจะต้องการความช่วยเหลือ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ชายอกสามศอกในโรงเตี๊ยมนี้ออกไปช่วยสิเจ้าคะ เราจะเข้าไปยุ่งทำไม”

“แต่ข้าไม่เห็นมีใครสนใจเขาสักคน”

“นั่นก็เพราะไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายอย่างไรล่ะเจ้าคะ”

“ทั้งที่เขาต้องการความช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ไม่ได้หรอก คนเราเห็นคนอื่นเดือดร้อนต่อหน้าต่อตาแล้วยังทำนิ่งเฉย จะเรียกว่าเป็นคนอยู่ได้อย่างไร”

หยางจูไม่ยอมฟังคำทัดทานของนางกำนัลคู่กายเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่ถูกล้อมอยู่ด้วยท่าทางกล้าหาญผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก ลู่อิงและองครักษ์เซี่ยจึงต้องพรวดพราดตามไปด้วยความเป็นห่วง กลัวว่า

องค์หญิงจะได้รับอันตราย

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status