ยังไม่ทันจะไปถึง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ท่าทางราวกับบัณฑิตสะโอดสะองก็ถูกผลักจนหน้าคะมำ ก่อนจะโดนทุบเข้าที่หลังเต็มแรง “นี่พวกเจ้า มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อยจากันดี ๆ สิ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลยนี่” “แม่นาง นี่เป็นเรื่องของบุรุษ เจ้าอย่าแส่จะดีกว่า” “เขาทำอะไรผิด หากเป็นเรื่องเงิน ข้าจะจ่ายให้ ต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา” นางไม่สนใจเสียงกระโชกโฮกฮากและสายตาไม่เป็นมิตรของคนพวกนั้น แล้วหันไปหาลู่อิงที่รีบหยิบถุงเงินออกมา “ข้าไม่ต้องการเงิน พวกที่ชอบใช้เงินทองฟาดหัวคนอื่น ควรจะได้รับบทเรียนเสียบ้าง” “หากเจ้าไม่ปล่อยเขาไป ข้าจะแจ้งทางการ” เสียงหัวเราะเยาะหยันดังลั่นเมื่อนางกล่าวประโยคนั้นจบ “ที่นี่อยู่ไกลจากศาลาว่าการตั้งเท่าไหร่ กว่าเจ้าจะไปแจ้ง ข้าก็ทุบเจ้านี่จนน่วมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เพราะฉะนั้นข้าข้อเตือนให้แม่นางถอยไปห่าง ๆ เสียดีกว่า” หยางจูไม่รู้สึกพรั่นพรึงต่อคำขู่นั้น หากการเจรจาไม่ได้ผล นางก็รู้ดีว่าองครักษ์เซี่ยที่มาด้วยกันจะสามารถรับมือกับคนพวกนี้ซึ่งดูไม่ต่างจากโจรกระจอกได้ “เจ้าไม่ต้องการสิ่งนี้จริงหรือ” นางรับถุงเงินจากลู่อิงแล้วเขย่าไปมาตรงหน้า “เจ้านี่พูดไม่รู้ความ ออ
รองแม่ทัพจางซื่อหมิงด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงประตูหลังค่ายด้วยความกลัดกลุ้ม เขาได้รับจดหมายจากหลี่อวี้อ๋องเรียบร้อยแล้วและรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง แม้โดยเนื้อแท้เขาจะเป็นบุรุษที่ใจเย็น สุขุมรอบคอบ แต่เมื่อได้อ่านเนื้อความในจดหมายถึงสิ่งที่องค์หญิงหยางจูต้องการจะทำ ความสงบสุขุมของเขาก็ปลาสนาการไปสิ้น มีอย่างที่ไหน ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในวังอันหรูหราไม่ชอบ แต่อยากจะมานอนกลางดินกินกลางทรายที่ค่ายทหารเยี่ยงนี้ อานุภาพของความรักมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ เขาได้แต่สงสัยในใจ แต่ในเมื่อได้รับมอบหมายมาแล้ว เขาก็ต้องรับใช้เชื้อพระวงศ์อย่างสุดความสามารถ อย่างน้อยก็ช่วยองค์หญิงปกปิดความลับให้ได้นานที่สุด ประการต่อมาคือหาโอกาสให้นางได้โปรยเสน่ห์มัดใจท่านแม่ทัพหน้านิ่ง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าแม่ทัพมู่หรงเซียวหนานมีหัวจิตหัวใจอย่างใครเขาหรือไม่ เสียงรถม้าควบกุบกับมาตามถนน ก่อนจะจอดห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็น จางซื่อหมิงจึงรีบเดินออกไป เห็นบุรุษสองคนยืนเคียงข้างกัน คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับคนใช้ตามแบบฉบับคนที่ใช้กำลัง ส่วนอีกคน แม้จะอยู่ในชุดแบบผู้ชายทั่วไป แต่สรีระกลับ
ดวงตาของจางซื่อหมิงมีประกายแบบคนที่เห็นหนทางรำไร “ถ้าเช่นนั้นท่านไปอยู่โรงเลี้ยงม้าดีหรือไม่ ท่านแม่ทัพมีม้าคู่ใจอยู่ตัวหนึ่ง เมื่อมีเวลาว่างก็จะแวะเวียนไปดูมันเสมอ” “แต่...ข้าดูแลม้าไม่เป็น ได้แต่ขี่อย่างเดียว” “นั่นสินะ” เขาพึมพำ จะให้องค์หญิงมาคอยแปรงขนม้า เก็บมูลของมันและป้อนหญ้าได้อย่างไร “อย่าเพิ่งถอดใจไป ข้ารู้แล้ว!” นางร้องด้วยความยินดี ท่าทางแจ่มใสขึ้นมา “ฝ่ายเครื่องแต่งกายอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องแต่งตัวไม่ใช่หรือ ขนาดในตำหนักของข้า ยังต้องใช้คนตั้งมากมาย กองทัพที่มีทหารหลายพันคนเช่นนี้ ย่อมต้องการแรงงานเป็นแน่” “พวกเขาไม่ใคร่สนใจการแต่งตัวนัก ส่วนมากแล้วจะสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำ ๆ เพราะไม่ค่อยมีเวลาและใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ บวกกับการทำงานหนัก สิ่งที่ขาดไม่ได้คือชุดเกราะเท่านั้นเอง” หยางจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เห็นจะมีเพียงคนรับใช้ส่วนตัวของเขาเท่านั้น ที่จะได้อยู่ชิดใกล้เกือบจะตลอดเวลา” “แต่กว่าจะไปถึงตำแหน่งนั้นได้ ก็ต้องอยู่ในสายตาของท่านแม่ทัพเสียก่อน เมื่อท่านแสดงให้เห็นความสามารถ เขาต้องย่อมเรียกท่านเข้าไปรับใช้” “ใช่” นางผงกศีรษะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านอกจากเสื
หยางจูสะดุ้งตื่นเพราะเสียงตีเกราะดังระรัว นางรีบร้อนแต่งตัวด้วยชุดไร้สีสันที่ตระเตรียมมา สวมทับด้วยเครื่องแบบของกองทัพ และพบว่าแม้จะไม่สวยงามสะดวกสบายอะไรนัก แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่าตอนที่นางเป็นองค์หญิงถึงสิบเท่า จากนั้นนางก็ต้องขมวดปอยผมของตัวเองให้ดีขณะที่เสียงเรียกหน้าประตูยังดังไม่หยุด “หยางหยาง หากไปช้าเราจะถูกลงโทษเอานะ” คนที่อยู่หน้ากระโจมตะโกนเข้ามา หยางจูจึงรีบตอบกลับ เกรงว่าหากขืนชักช้าเขาจะเปิดประตูเข้ามาเรียกถึงด้านในแล้วความจะแตกเอาได้ “เข้าใจแล้ว ๆ” นางเปิดประตูแล้วก้าวตามชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ก้าวเดินด้วยความรวดเร็วไปในความมืด ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่รอบค่ายก็มีเสียงพูดคุย เสียงของผู้คนที่ทำงานไม่หยุดหย่อน เสียงโลหะกระทบกัน เสียงกวาดถู และกลิ่นที่ผสมปนเปกันไปในอากาศจนยากจะบอกได้ว่าเป็นกลิ่นของสิ่งใดกันแน่ ตะเกียงและคบเพลิงถูกจุดให้แสงสว่างเป็นระยะ นางเห็นเรือนนอนเรียงกันเป็นแถบ ซึ่งเป็นของทหารที่พอจะมียศศักดิ์เท่านั้น ทหารชั้นเลวหรือทหารรับใช้จะได้นอนในกระโจมรวม ซึ่งนางเองถ้าไม่อาศัยความช่วยเหลือของรองแม่ทัพจางซื่อหมิงก็คงจะไปลงเลยในสถานที่แบบนั้นเช่นกัน “นี่ เ
เสียงเรียกของหัวหน้าโรงครัวดังราวกับฟ้าผ่า หยางจูผุดลุกขึ้นแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างไปท่ามกลางสายตาสอดรู้ของทุกคนในบริเวณนั้น “ท่านเรียกข้า มีสิ่งใดจะให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” “มีคำสั่งมาว่าให้เจ้านำอาหารไปให้ท่านแม่ทัพ” “จริงหรือ” นางร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่พอเห็นสายตาตำหนิติเตียนก็รีบหุบยิ้ม “ขอรับ ข้าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด” “เอาเกลือนี่โรยใส่น้ำแกงสักหน่อย แล้วก็ยกไปได้” “ขอรับ” นางได้แต่รับคำซ้ำ ๆ พูดอะไรไม่ออกเพราะความดีใจเอ่อล้นอยู่ในอก “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้ตำแหน่งสำคัญถึงเพียงนี้ตั้งแต่วันแรก แต่ทำหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน” “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ครัวของเราต้องขายหน้าเป็นอันขาด” “ดี” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว เขาก็เดินนำนางไปยังจุดรับสำรับอาหารที่มีอาหารอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หยางจูมองไก่ตุ๋นน้ำแกง เนื้อในชามเป็นแค่ชิ้นเล็ก ๆ ไม่ใช่ไก่ทั้งตัว ข้าวต้มเละ ๆ บดรวมกับหมูสับ ผักที่ผัดโดยไม่ใส่สิ่งใดเลย และของหวานที่นางมองไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดกันแน่เพราะมันเหมือนกับการเอาแป้งมากวนแล้วจับปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เมื่อมองจากภาระหน้าที่ของมู่หรงเซียวหนานและการกินอยู่ขอ
ความอึดอัดท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจเมื่อได้ยินคำตำหนิว่าอาหารรสชาติแปลกประหลาด หยางจูรู้ดีว่าต้องเป็นเพราะเกลือที่นางโรยลงไปตามคำสั่งเป็นแน่ แต่คงจะใส่มากไปหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดจนรสชาติอาหารออกมาผิดแผกไปจากเดิม “คนครัวคนเดิมหรือเปล่า” “คนเดิมขอรับ” มู่หรงเซียวหนานมุ่นหัวคิ้ว ลองตักน้ำแกงพร้อมกับเนื้อไก่กินอีกครั้ง “น้ำแกงนี่ใส่อะไรลงไปบ้าง” ตายล่ะ นางไม่ได้เป็นคนทำทุกขั้นตอนเสียเมื่อไหร่ แค่ถอนขนไก่ยังไม่ได้เลย แถมตอนปรุงน้ำแกงด้วยสมุนไพร นางก็กำลังแล่หมูอยู่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะตอบคำถามของเขาได้อย่างไร แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตา นางก็จำต้องหาคำตอบมาให้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่คนเป็นแม่ทัพ เคยแต่จับหอกจับดาบก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอาหารมากนัก “ก็ใส่เครื่องยาจีนทั่วไปขอรับ” “ลองไล่มาสิ ข้าจะดูว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป” “เอ่อ หากท่านกังวลเรื่องการวางยาพิษ ทางหน่วยได้มีการทดลองชิมและใช้เครื่องเงินทดสอบแล้วนะขอรับ” “ไม่ใช่เรื่องการวางยาอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกแปลกใจกับรสชาติอาหารน่ะ จึงอยากจะรู้ให้แน่ชัด” หรือนางจะใส่อย่างอื่นแทนเกล
หยางจูนิ่งอึ้ง นึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าทำตาให้มอมแมมขมุกขมัวมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่านางอึกอัก ก็ยิ่งคิดว่านางอับอายเพราะถูกล้อว่าเหมือนเด็ก จึงพูดเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อทำงานใช้แรงไปเรื่อย ๆ ตัวของเจ้าก็จะหนาเสียจนลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นเด็กมาก่อน” “ขอรับ” นางปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ คิดจะแต่งงานเมื่อใดกัน” “ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ในหัวมีแต่จะกำราบศัตรูให้สิ้นซากอย่างไรก็เท่านั้น” “แต่หากท่านทำสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องพระราชทานรางวัลให้ ดีไม่ดี จะให้ท่านแต่งกับหญิงงามมียศถาบรรดาศักดิ์เสียด้วยซ้ำไป” “ข้ารู้” มู่หรงเซียวหนานพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงขนาดที่น้องสาวของเขาก็อภิเษกไปกับ หลี่อวี้อ๋อง แล้วบุตรชายคนโตจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร “หากเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์เถิด”เขาพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เข้าใจเรื่องราวและเตรียมใจไว้แล้ว อันตัวเขานั้น แม้จะมีหัวใจ แต่ภาระหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนอยู่แล้ว หยางจูก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบอะไรที่แปลกไป
หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพับแขนเสื้อขึ้
ลู่อิงยิ้มออกมาอย่างสดใส นางพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น แม้จะไม่พูดอะไร แต่ความดีใจของนางก็ชัดเจนในแววตา เซี่ยหานปิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหายเข้าไปในบ้านแล้วกลับออกมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลที่เตรียมไว้ลู่อิงคุ้นเคยกับการทำแผลจากประสบการณ์ที่เคยดูแลองค์หญิงจอมแก่น นางไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด มือของนางจับกรรไกรอย่างมั่นคง ก่อนจะค่อย ๆ ตัดเสื้อที่เปื้อนเลือดออกจากไหล่ของเซี่ยหานปิงอย่างระมัดระวังเซี่ยหานปิงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ลู่อิงทำแผลให้โดยไม่เอ่ยอะไร แต่สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนางตลอดเวลา ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา คิ้วที่เรียงตัวสวย และริมฝีปากที่ขยับเล็กน้อยเวลานางขมวดคิ้วด้วยความตั้งใจ เซี่ยหานปิงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ราวกับมีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้เขารู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจลู่อิงค่อย ๆ ใช้สุราล้างแผลอย่างเบามือ แม้จะเป็นแผลที่ไม่ได้ลึกมากนัก แต่นางก็ดูแลอย่างประณีต หลังจากเช็ดจนเลือดหยุดไหล นางก็เริ่มพันแผลให้เขา มือเล็ก ๆ ของนางที่เคลื่อนไหวด้วยความอ่อนโยน ทำให้เซี่ยหานปิงรู้สึกได้ถึงความใส
หลังจากที่เซี่ยหานปิงจัดการพวกโจรเสร็จสิ้น เขาแทงกระบี่ไปยังขาของหัวหน้าโจร ทำให้มันล้มลงไปกองกับพื้น พวกโจรคนอื่น ๆ ที่ยังรอดก็ถูกชาวบ้านช่วยกันจับตัว ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครเสียชีวิตแม้จะเกิดการต่อสู้กัน เพราะการจับโจรในครั้งนี้ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี มีบ้างที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ พวกชาวบ้านและหัวหน้าหมู่บ้านจึงเตรียมตัวที่จะนำพวกโจรไปส่งทางการ เนื่องจากหมู่บ้านนี้ไม่มีที่ว่าการ ต้องส่งตัวไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงแทน“ข้าจะไปส่งเอง” เซี่ยหานปิงยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสนอที่จะนำพวกโจรไปส่งด้วยตัวเองหัวหน้าหมู่บ้านส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องหรอก ท่านบาดเจ็บอยู่เช่นนี้ กลับไปพักผ่อนจะดีกว่า พวกเราจัดการกันเองได้”เซี่ยหานปิงเหลือบมองแผลที่ไหล่ของตนเอง มันเป็นแผลที่ไม่ได้ลึกมากนัก แต่ก็คงพอให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่ด้วยความรับผิดชอบและความสงบนิ่ง เขาก็ไม่เอ่ยปากคัดค้านอีก เพียงพยักหน้ารับคำแล้วหันหลังกลับลู่อิงที่นั่งหลบอยู่ในมุมหนึ่งพยายามลุกขึ้นมาหมายจะไปหาชายหนุ่ม แต่ขาของนางยังเจ็บอยู
แม้เสียงหัวเราะและการสนทนารอบข้างจะคงอยู่ แต่ลู่อิงก็ขะมักเขม้นกับการซักผ้า จนกระทั่งปลายยามซื่อ งานซักผ้าของนางก็เสร็จสิ้น นางบิดผ้าจนหมาดก่อนจะเก็บใส่ตะกร้าอย่างเรียบร้อย แล้วลุกขึ้นเตรียมจะบ้านระหว่างทางกลับบ้านนางสังเกตเห็นความวุ่นวายบางอย่าง บรรยากาศที่เคยสงบสุขในหมู่บ้านเปลี่ยนไป ผู้คนในหมู่บ้านวิ่งพล่านไปมาด้วยความเร่งรีบ เสียงพูดคุยร้องตะโกนกันดังขึ้นอย่างสับสนชุลมุนลู่อิงหันไปมองรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะมีคนคนหนึ่งวิ่งมาจากทางด้านหลังอย่างแรง ทำให้ตะกร้าผ้าที่เพิ่งซักมาหล่นกระจายลงกับพื้น นางสะดุ้งด้วยความตกใจและบ่นออกมา“ระวังหน่อยสิ!”นางค่อย ๆ ก้มลงเก็บผ้าใส่ตะกร้าด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของผู้คนที่วิ่งผ่านไปมาแต่ทันใดนั้น เสียงตะคอกที่ดังจนทำให้นางตกใจสะดุ้งก็ดังขึ้น“นังบ้านี่ กำลังทำอะไร!”น้ำเสียงดุดันและการตะคอกกดดันทำให้หัวใจของลู่อิงเต้นรัว นางเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่พูด ก็เจอกับชายร่างใหญ่ที่ดูท่าทางกราดเกรี้ยว สายตาของมันจ้องเขม็งมาที่นาง ความโกรธแค้นสาดซัด
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเซี่ยหานปิงก็ออกไปสืบข่าวในค่ายทหารตามที่เคยบอกไว้ ส่วนลู่อิงที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร จึงเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านอย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งสายตาของนางไปสะดุดกับตะกร้าผ้าของเซี่ยหานปิงที่วางอยู่ในมุมหนึ่ง นางนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานที่เซี่ยหานปิงออกไปล่าไก่ป่า เสื้อผ้าของเขาคงเปรอะเปื้อนไม่น้อย นางจึงตัดสินใจเข้าไปที่ตะกร้านั้น เริ่มแยกผ้าออกมาเพื่อเตรียมจะนำไปซักแต่ขณะที่นางกำลังคัดแยกผ้าอยู่นั้น ก็เจอเข้ากับกางเกงที่มีรอยขาด นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา จำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนเห็นเขากลับมาจากป่าโดยไม่ได้สนใจเรื่องรอยขาดนี้เลย“ท่านนี้จริง ๆ เลย” นางพึมพำส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจนำกางเกงตัวนั้นกลับไปที่ห้องของนางเพื่อซ่อมแซม นางนั่งลงอย่างสบายใจ แล้วเริ่มปะชุนกางเกงที่ขาดนั้นด้วยความระมัดระวัง นางค่อย ๆ เย็บรอยขาดอย่างบรรจง ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาขณะที่นางกำลังเย็บไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าเสื้อผ้าหลายชิ้นของเซี่ยหานปิงมีรอยขาดเล็ก ๆ อยู่ด้วย บางตัวมีรอยปะชุนอยู่แล้ว แต่เป็นรอยเย็บที่ทำแบบส่ง ๆ ไม่ได้
“เปล่า! ข้าไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย นางตอบกลับอย่างร้อนรน เมื่อได้พูดออกไปแล้ว ลู่อิงก็นึกได้ถึงจุดประสงค์ที่ตนมาแต่แรก นางพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมาปกติ “ข้าแค่อยากจะมาขอบคุณท่าน...สิ่งนี้ของท่านใช่หรือไม่” นางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ยื่นให้เขาดูเซี่ยหานปิงมองปิ่นปักผมในมือของลู่อิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ใช่”จากนั้นเขาก็เดินเลยนางไป หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดกระบี่ของตนอย่างทะนุถนอมลู่อิงขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่เข้าใจ หากไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของใครกัน แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยถามออกไป เสียงทุ้มต่ำของเซี่ยหานปิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “บัดนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว เป็นฮูหยินของนายพราน จะมีปิ่นปักผมสวย ๆ สักชิ้นก็ไม่แปลกนักหรอก” เขาหันมามองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์หาเงินได้มากเท่าใด”“ท่านนี้มัน....เฮ้อ!” ลู่อิงอดไม่ได้ที่จะหลุดถอนหายใจเบา ๆ ในใจนางรู้สึกอึดอัดเพราะคำพูดนั้น แต่เมื่อคิดถึงน้ำใจของเขา คำพูดต่อว่ามากมายก็ถูกนางกลืนลงท้องไป แล้วเอ่ยถามกลับด้ว
ตรงหน้านางคือปิ่นปักผมที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่สวยงาม นางจำได้ว่าได้หยุดแวะดูตอนเดินผ่านหน้าแผงขายก่อนที่จะไปเยี่ยมองค์หญิงหยางจู แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันแพงเกินไปสำหรับหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างตน ทว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็ไม่รู้ ครุ่นคิดไปก็น่าจะเป็นเซี่ยหานปิงเป็นแน่แม้ปิ่นนี้จะเรียบง่าย มีไข่มุกเพียงเม็ดเดียวอยู่ตรงด้าม แต่กลับถูกใจนางเป็นอย่างมาก แต่เพราะนางกำลังรับบทเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา จึงมิควรใช้ของแพง ๆ เช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นที่น่าสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดยิ้มออกมามิได้เมื่อคิดถึงเซี่ยหานปิง อาจจะเป็นเขาที่ซื้อมันมาให้เพื่อเป็นการเอาใจ หรืออาจจะเป็นแค่ความใส่ใจเล็กน้อยจากเขาเท่านั้น แต่สำหรับนางคงมิอาจปิดบังความดีใจได้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณ นางจึงตัดสินใจหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องพักของเซี่ยหานปิง นางเคาะประตูอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ นางรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย และเมื่อไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่ภายในห้องกลับไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของบนโต๊ะยังคงอยู่ในที่เดิม ไม่มี
เซี่ยหานปิง ที่ปกติสงวนวาจา ยามนี้กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่เคย “เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าองค์หญิงเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี นางมีไหวพริบยอดเยี่ยมและเข้มแข็งกว่าที่คิดมาก อีกทั้งพวกทหารชั้นประทวนนายอื่นยังมีชีวิตที่ลำบากกว่าองค์หญิงมาก”ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดยาวเช่นนี้จากเขา “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านจะพูดมากขนาดนี้เลยนะ ท่านรู้จักการใช้ชีวิตในค่ายทหารดีนักหรือ”เซี่ยหานปิงหัวเราะเบา ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเขา “ข้าเคยผ่านมันมามาก่อน พอจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้าคิดว่าองค์หญิงหยางจูเข้มแข็งกว่าที่ท่านคิด ท่านควรเชื่อมั่นในนาง”“เราไปหาองค์หญิงกันอีกครั้งดีหรือไม่” ลู่อิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แม้ดวงตาของนางจะเต็มไปด้วยความหวัง แต่นางก็รู้ว่าเซี่ยหานปิงมักจะไม่อนุญาต“ไม่ได้ ไปบ่อยจะยิ่งทำให้น่าสงสัย” เซี่ยหานปิง ที่ยังคงสงบนิ่งดั่งภูผา ส่ายศีรษะเบา ๆ น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึมตามปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองและดวงตาละห้อยของลู่อิง แววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาพยายามผ่อนคลายท่าทางขอ
เซี่ยหานปิงจัดการติดต่อกับรองแม่ทัพจางซื่อหมิงเพื่อขอพบองค์หญิงหยางจู ระหว่างรอ ลู่อิงก็ยืนกระสับกระส่ายด้วยความกังวลและเป็นห่วง โดยมีเซี่ยหานปิงยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ“องค์หญิง” ลู่อิงร้องเรียกอย่างยินดีเมื่อเห็นนายของตน“จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง” หยางจูบ่น แต่ก็ยอมให้นางกำนัลคนโปรดวิ่งเข้ามาจับหลังจับไหล่และหมุนตัวนางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่าองค์หญิงที่รักของตนยังไม่บุบสลายตรงไหน“คุณหนูของข้า” พอโดนบ่นก็แก้คำพูดใหม่“นั่นก็ไม่ได้ ผู้ชายที่ไหนจะมีคนมาเรียกว่าคุณหนู”“อุ๊ย ก็ข้าลืม” ลู่อิงยกมือปิดปาก“แล้วเจ้ามานี่มีอันใดรึ หรือว่ามีข่าวมาจากพี่ชาย”“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านยังอยู่ดี” นางตอบแล้วล้วงเอาห่อผ้าที่ผูกไว้อย่างดีออกมายื่นให้“นี่อะไร”“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะ
“เจ้าขยับออกไปหน่อย” พอเซี่ยหานปิงพูดเช่นนั้น นางถึงได้รู้ตัว รีบปล่อยแขนของเขาแล้วก้าวถอยหลังออกไปในทันใด“อะแฮ่ม! ข้าแค่เกรงว่าน้ำร้อนจะกระเด็นโดนเจ้า” เซี่ยหานปิงเห็นนางหน้าหงอยลงจึงพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองลู่อิงเห็นเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุนางจริง ๆ ก็ยิ้มออกมา ก่อนจะสั่งให้เขาไปเตรียมไก่เพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง “เช่นนั้นท่านไปสับไก่มาสักหน่อยเถอะ คั่วเค็มอีกสักอย่างหนึ่งแล้วกัน”“ได้” เซี่ยหานปิงหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่หนึ่งจาน เขาวางเอาไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นางก่อนจะพูดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือไม่”“ไม่มีแล้ว ท่านมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ลู่อิงตอบเสียงเบา พลางหลีกทางให้เขา“อืม เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย” เซี่ยหานปิงว่าก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว**********ตอนที่เซี่ยหานปิงกลับมา ลู่อิงก็จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี กลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วเรือน นางเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าเซี่ยหานปิงกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างหน้าเตาไฟ“ท่านกำลังทำอะไรอีกหรือ”“เปล่า ข้าตักน้ำมาเผื่อเจ้า แต่นี่ก็ค่ำมาก