หยางจูสะดุ้งตื่นเพราะเสียงตีเกราะดังระรัว นางรีบร้อนแต่งตัวด้วยชุดไร้สีสันที่ตระเตรียมมา สวมทับด้วยเครื่องแบบของกองทัพ และพบว่าแม้จะไม่สวยงามสะดวกสบายอะไรนัก แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่าตอนที่นางเป็นองค์หญิงถึงสิบเท่า จากนั้นนางก็ต้องขมวดปอยผมของตัวเองให้ดีขณะที่เสียงเรียกหน้าประตูยังดังไม่หยุด
“หยางหยาง หากไปช้าเราจะถูกลงโทษเอานะ” คนที่อยู่หน้ากระโจมตะโกนเข้ามา หยางจูจึงรีบตอบกลับ เกรงว่าหากขืนชักช้าเขาจะเปิดประตูเข้ามาเรียกถึงด้านในแล้วความจะแตกเอาได้ “เข้าใจแล้ว ๆ” นางเปิดประตูแล้วก้าวตามชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ก้าวเดินด้วยความรวดเร็วไปในความมืด ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่รอบค่ายก็มีเสียงพูดคุย เสียงของผู้คนที่ทำงานไม่หยุดหย่อน เสียงโลหะกระทบกัน เสียงกวาดถู และกลิ่นที่ผสมปนเปกันไปในอากาศจนยากจะบอกได้ว่าเป็นกลิ่นของสิ่งใดกันแน่ ตะเกียงและคบเพลิงถูกจุดให้แสงสว่างเป็นระยะ นางเห็นเรือนนอนเรียงกันเป็นแถบ ซึ่งเป็นของทหารที่พอจะมียศศักดิ์เท่านั้น ทหารชั้นเลวหรือทหารรับใช้จะได้นอนในกระโจมรวม ซึ่งนางเองถ้าไม่อาศัยความช่วยเหลือของรองแม่ทัพจางซื่อหมิงก็คงจะไปลงเลยในสถานที่แบบนั้นเช่นกัน “นี่ เจ้าชื่ออะไร” นางเอ่ยถามอย่างคนมีอัธยาศัยดี และสงสัยว่าจางซื่อหมิงบอกกับชายหนุ่มว่าอย่างไรบ้าง “ลี่ถัง” “ท่านรองแม่ทัพบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง” “บอกเพียงแต่ว่าเจ้าถูกฝากมาให้ฝึกทำงานในโรงครัว” ลี่ถังคนนี้พูดน้อยนัก เห็นทีจะผูกมิตรด้วยไม่ง่าย หยางจูครุ่นคิด นางมาอยู่ที่นี่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีมิตรสหายเอาไว้บ้าง “เจ้าต้องคนเป็นคนที่ท่านรองแม่ทัพไว้ใจมากแน่ ถึงได้ถูกส่งมาให้ช่วยเหลือข้า” “ใช่แล้ว ข้ารับใช้ใกล้ชิดท่านรองแม่ทัพเลยทีเดียว” คราวนี้เสียงของเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อถูกยกย่อง “ถ้าเช่นนั้นข้าฝากตัวด้วย” นางกล่าวอย่างอ่อนน้อม ทั้งสองมาถึงโรงครัวที่วุ่นวายจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหนก่อน ลี่ถังพาหยางจูไปแนะนำตัวต่อหัวหน้าโรงครัว ซึ่งก็ไม่ได้สงสัยอะไร กลับดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ลูกมือมาช่วยทำงานมากขึ้น เพราะในทุก ๆ วัน การทำอาหารเลี้ยงคนทั้งกองทัพไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย “เอ้า มัวแต่ยืนรีรออะไรอยู่อีก เจ้าไปถอนขนไก่เข้าสิ” เขาออกคำสั่ง “ถอนขนไก่!” หยางจูเผลอร้องเสียงดัง “ก็ใช่น่ะสิ รีบไปได้แล้ว หรืออยากให้ข้าตบสักฉาดสองฉาด จะได้มีสติ” “ไม่ขอรับ ๆ” นางรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น แล้วตามลี่ถังไปทางด้านหลัง ตรงนี้มีไก่ตัวอ้วนพีนอนเรียงกันเป็นแพ ไก่พวกนั้นคอพับและตายสนิท กระนั้นนางก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปจับ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของนางเป็นจุดสนใจของทหารคนอื่นให้หันมามอง บ้างก็หัวเราะเยาะ บ้างก็รู้สึกขัดตา “ลงมือสิหยางหยาง” ลี่ถังกระตุ้นแล้วถอนขนไก่กระจุกหนึ่งที่หางให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นก็เริ่มดึงขนปีกอย่างชำนาญ หยางจูเบ้หน้า นี่แทบไม่ต่างจากการถลกหนังโดยแท้ “หยางหยาง” คราวนี้เสียงของเขาเข้มขึ้น หยางจูจำต้องนั่งลง ถลกแขนเสื้อขึ้นถึงข้อพับแล้วจับไก่ที่น่าสงสารมาไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วลองดึงตามที่ลี่ถังทำให้ดู “ฮืออ ข้าขอโทษนะเจ้าไก่น้อย อภัยให้ข้าด้วยเถอะ” “คร่ำครวญอะไรของเจ้า ไก่นี่มันตายแล้ว โธ่เอ๊ย มัวแต่ดึงทีละเส้นแบบนั้นเมื่อไหร่จะเสร็จ เดี๋ยวก็ได้โดนหัวหน้าฟาดเอาหรอก” “ข้าทำไม่ได้ ดูสิ ดวงตาของมันจองข้าไม่เลิกเลย มันต้องกำลังอาฆาตข้าแน่ ๆ” หยางจูจับคอไก่บิดไปอีกทาง เพื่อจะได้ไม่เห็นใบหน้าและดวงตาของมัน ลี่ถังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ทั้งสองคนยิ่งถูกมองมากขึ้น เพราะพฤติกรรมแปลกประหลาดของทหารใหม่ท่าทางอ้อนแอ้นราวสตรี ผู้นี้ “เจ้าลองไปเตรียมวัตถุดิบน่าจะดีกว่า อยู่ทางนั้นแน่ะ” นางได้ยินก็ผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ คิดว่าอย่างไรเสีย การเตรียมวัตถุดิบก็ต้องง่ายกว่าอยู่แล้ว ร่างเล็กจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดยังส่วนที่เต็มไปด้วยผักมากมาย รวมถึงสมุนไพรและของแห้งที่เก็บอยู่บนชั้นด้านหลัง หยางจูอ้าปากค้าง แม้จะเป็นการหั่นผักแค่อย่างเดียว ก็ต้องใช้คนถึงสิบคน และทุกคนก็ทำอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงหั่นดัง ฉับ ๆ ๆ เหมือนเสียงเชือดเนื้อเถือหนังเลยทีเดียว “เอ้า เจ้านั่นน่ะ มาทางนี้เร็วเข้า ได้ยินหรือเปล่า” หยางจูหันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นใครที่ยืนอยู่เปล่า ๆ นอกจากตัวเอง ก็ต้องรีบวิ่งไปหาคนเรียก “ไปสับหมูเร็วเข้า” “สะ...สับหมู!!” “เจ้าสับหมูไม่เป็นรึ” ถามเมื่อเห็นหน้าตาตื่นของนาง “แล้วมาอยู่ในครัวได้อย่างไร” “เป็นขอรับ ข้าแค่ตื่นเต้นไปหน่อย วันนี้เป็นวันแรกของข้า” นางรีบละล่ำละลักบอก “เช่นนั้นก็รีบไปทำงานเข้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นวันสุดท้ายของเจ้าเช่นกัน” เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า นึกแปลกใจกับร่างเล็กและท่าทางบอบบาง แต่ในเมื่อนางแต่งกายและพูดจาเฉกเช่นชายชาตรี เขาก็ ขี้คร้านจะสงสัย จึงโบกมือให้นางไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย หยางจูต้องเดินไปอีกฝั่ง เนื่องจากอาหารส่วนที่ปรุงด้วยเนื้อและผักนั้นอยู่แยกจากกัน ที่เขียงสับนี้ มีคนยืนอยู่ประจำที่เพียงสองคน แสดงว่ากองทัพคงไม่ค่อยมีเนื้อให้กินมากนัก นางหยิบมีดขนาดใหญ่ที่หนักจนเกือบจะทำร่วงจากมือเพียงแค่ยกขึ้น แล้วเริ่มสับตามคนข้าง ๆ เสียงดังลั่นไปหมด “นี่เจ้า สับเช่นนั้นมันจะละเอียดได้เยี่ยงไร” ชายหนุ่มอ้วนฉุหันมามองราวกับนางโง่เง่าเสียเต็มประดา ซ้ำยังทำเสียงดูถูกดูแคลนและเลียนแบบท่าทางยกมีดขึ้นสับของนางเสียอีก หยางจูคิดว่าในกองทัพมีแต่คนผอม หรือหุ่นสมส่วนเพราะทำงานหนัก เจ้านี่คงจะแอบขโมยอาหารของเพื่อนในค่ายเป็นแน่ เฮอะ กล้าดีอย่างไรมามององค์หญิงของแผ่นดินเช่นนี้กัน “ว่าแล้วยังจะมามองตาขวางอีก” นางอยากจะเถียงใจแทบขาด แต่ก็จำคำของรองแม่ทัพจางได้ จึงได้แต่กัดปาก แล้วหลุบตาต่ำ “เอาเถอะ ข้าเดาว่าเจ้าคงจะเป็นเด็กใหม่ เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้าเอง” “ขอบคุณพี่ใหญ่” นางรีบพูด “เจ้านี่ท่าทางนุ่มนิ่มและพูดการจาเหมือนพวกสตรีไม่มีผิด” คนถูกกล่าวหาว่าเป็นสตรีรีบยืดหลังตรงแล้วกล่าวเสียงเข้ม แบบที่ต้องดัดให้แหบห้าวขึ้นอีกหลายเท่า “พี่ชายอย่าได้คิดเช่นนั้น แม้ร่างกายข้าจะไม่ได้บึกบึนเช่นท่านแต่ก็แข็งแรงทำงานหนักได้สบาย” เมื่อได้ยินคำว่าบึกบึนก็ยิ้มขึ้นมาเชียว หยางจูนึกในใจ “เอาเถอะ ๆ เลิกพูดความจริงที่ไม่จำเป็นสำหรับงานเสียที มานี่ ข้าจะสอนเจ้าเอง” เจ้าหมูตอนยืดอกยิ้มเผล่แล้วอาสาสอนงานให้นาง หยางจูเรียนรู้วิธีการสับหมูได้เป็นอย่างดี แต่เนื้อมากมายขนาดนั้น นางทำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงหาทางเลี่ยงออกมา แล้วก็โดนเรียกไปทาเกลือเพื่อถนอมอาหาร ซึ่งใช้เป็นเสบียงของกองทัพ นางได้แต่นั่งหลังขดหลังแข็ง อดทนสู้งานเพียงเพื่อจะได้พบมู่หรงเซียวหนานเพียงสักครั้ง หากแต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีวี่แววว่าวันนี้นางจะได้พบเขา “เจ้าคนไหนชื่อหยางหยาง ตามมานี่”เสียงเรียกของหัวหน้าโรงครัวดังราวกับฟ้าผ่า หยางจูผุดลุกขึ้นแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างไปท่ามกลางสายตาสอดรู้ของทุกคนในบริเวณนั้น “ท่านเรียกข้า มีสิ่งใดจะให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” “มีคำสั่งมาว่าให้เจ้านำอาหารไปให้ท่านแม่ทัพ” “จริงหรือ” นางร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่พอเห็นสายตาตำหนิติเตียนก็รีบหุบยิ้ม “ขอรับ ข้าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด” “เอาเกลือนี่โรยใส่น้ำแกงสักหน่อย แล้วก็ยกไปได้” “ขอรับ” นางได้แต่รับคำซ้ำ ๆ พูดอะไรไม่ออกเพราะความดีใจเอ่อล้นอยู่ในอก “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้ตำแหน่งสำคัญถึงเพียงนี้ตั้งแต่วันแรก แต่ทำหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน” “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ครัวของเราต้องขายหน้าเป็นอันขาด” “ดี” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว เขาก็เดินนำนางไปยังจุดรับสำรับอาหารที่มีอาหารอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หยางจูมองไก่ตุ๋นน้ำแกง เนื้อในชามเป็นแค่ชิ้นเล็ก ๆ ไม่ใช่ไก่ทั้งตัว ข้าวต้มเละ ๆ บดรวมกับหมูสับ ผักที่ผัดโดยไม่ใส่สิ่งใดเลย และของหวานที่นางมองไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดกันแน่เพราะมันเหมือนกับการเอาแป้งมากวนแล้วจับปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เมื่อมองจากภาระหน้าที่ของมู่หรงเซียวหนานและการกินอยู่ขอ
ความอึดอัดท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจเมื่อได้ยินคำตำหนิว่าอาหารรสชาติแปลกประหลาด หยางจูรู้ดีว่าต้องเป็นเพราะเกลือที่นางโรยลงไปตามคำสั่งเป็นแน่ แต่คงจะใส่มากไปหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดจนรสชาติอาหารออกมาผิดแผกไปจากเดิม “คนครัวคนเดิมหรือเปล่า” “คนเดิมขอรับ” มู่หรงเซียวหนานมุ่นหัวคิ้ว ลองตักน้ำแกงพร้อมกับเนื้อไก่กินอีกครั้ง “น้ำแกงนี่ใส่อะไรลงไปบ้าง” ตายล่ะ นางไม่ได้เป็นคนทำทุกขั้นตอนเสียเมื่อไหร่ แค่ถอนขนไก่ยังไม่ได้เลย แถมตอนปรุงน้ำแกงด้วยสมุนไพร นางก็กำลังแล่หมูอยู่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะตอบคำถามของเขาได้อย่างไร แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตา นางก็จำต้องหาคำตอบมาให้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่คนเป็นแม่ทัพ เคยแต่จับหอกจับดาบก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอาหารมากนัก “ก็ใส่เครื่องยาจีนทั่วไปขอรับ” “ลองไล่มาสิ ข้าจะดูว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป” “เอ่อ หากท่านกังวลเรื่องการวางยาพิษ ทางหน่วยได้มีการทดลองชิมและใช้เครื่องเงินทดสอบแล้วนะขอรับ” “ไม่ใช่เรื่องการวางยาอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกแปลกใจกับรสชาติอาหารน่ะ จึงอยากจะรู้ให้แน่ชัด” หรือนางจะใส่อย่างอื่นแทนเกล
หยางจูนิ่งอึ้ง นึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าทำตาให้มอมแมมขมุกขมัวมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่านางอึกอัก ก็ยิ่งคิดว่านางอับอายเพราะถูกล้อว่าเหมือนเด็ก จึงพูดเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น “อย่าคิดมากไปเลย เมื่อทำงานใช้แรงไปเรื่อย ๆ ตัวของเจ้าก็จะหนาเสียจนลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นเด็กมาก่อน” “ขอรับ” นางปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ คิดจะแต่งงานเมื่อใดกัน” “ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ในหัวมีแต่จะกำราบศัตรูให้สิ้นซากอย่างไรก็เท่านั้น” “แต่หากท่านทำสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องพระราชทานรางวัลให้ ดีไม่ดี จะให้ท่านแต่งกับหญิงงามมียศถาบรรดาศักดิ์เสียด้วยซ้ำไป” “ข้ารู้” มู่หรงเซียวหนานพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงขนาดที่น้องสาวของเขาก็อภิเษกไปกับ หลี่อวี้อ๋อง แล้วบุตรชายคนโตจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร “หากเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์เถิด”เขาพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เข้าใจเรื่องราวและเตรียมใจไว้แล้ว อันตัวเขานั้น แม้จะมีหัวใจ แต่ภาระหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนอยู่แล้ว หยางจูก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบอะไรที่แปลกไป
หน้าที่ขององค์หญิงแห่งแคว้นยังคงวนเวียนอยู่ในโรงครัวเป็นส่วนใหญ่ และนางต้องหมกตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งวัน วิ่งวุ่นหัวหมุนไปกับการหั่นล้างอะไรสักอย่างตลอดเวลา ซึ่งนางก็ล้วนแล้วแต่ทำไม่เป็น หากรองแม่ทัพจางไม่ช่วยเหลือ แกล้งเรียกนางเข้าพบเพราะนางอ่านออกเขียนได้ นางก็คงจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าค่ายแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ยามกลางคืน นางก็ยังสามารถได้ยินเสียงพูดคุย เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก และเห็นแสงไฟวับแวมที่จุดอยู่โดยรอบ นอกจากช่วงเวลาที่จะต้องยกข้าวยกน้ำให้กับมู่หรงเซียวหนานแล้ว หยางจูไม่มีทางได้เจอเขาอีก ไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่ว่าง แต่เพราะนางหมกตัวอยู่แต่ในครัว ราวกับไข่มุกที่ไม่ถูกค้นพบ หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน แล้วมันจะไปมีความหมายอันใดที่นางดั้นด้นลำบากมาถึงนี่ และถึงแม้นางจะได้เวลาชั่วพักชั่วครู่ ระหว่างที่เขารับประทานอาหาร แต่ในช่วงเวลานั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมารอเข้าพบท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ เท่ากับว่านางแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับเขาเพียงสองคนเลย “เฮ้ออออออ……” คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางพับแขนเสื้อขึ้
“เนื้อหมูและปลาตากแห้งเจ้าค่ะ ท่านองครักษ์บอกว่าชีวิตในนี้ยากลำบากนัก หากเป็นทหารชั้นประทวนยิ่งไม่มีทางที่จะได้แตะเนื้ออะไรทั้งนั้น ข้าจึงเอาเนื้อนี้มาให้ แล้วข้าก็คิดถูก นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ผมลงอย่างเห็นได้ชัด” หยางจูก้มลงมองตัวเอง นางไม่ได้ผอมลงไปแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ ลู่อิงก็ชอบกังวลเกินเหตุและกล่าวอะไรเกินจริงอยู่ตลอด “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก” นางรับมาด้วยความเต็มใจ “หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่ใช่คนพื้นเพ ไม่สมควรจะรู้จักใครที่นี่” “เจ้าค่ะ” รับคำแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือองค์หญิงที่ตัวเองดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย รู้สึกว่ามือนั้นกร้านขึ้นก็ทั้งตกใจและสงสารจับใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไรลู่อิง มือข้าก็ยังอยู่ดี” หยางจูพูดอย่างรู้ทันความคิด “โธ่…คุณชาย…” ลู่อิงโอดครวญตามประสา “เอาละ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว นี่ข้าออกมานานแล้ว เกรงว่าจะมีคนสงสัยเอาได้” “ขอรับ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” เป็นเซี่ยหานปิงชิงพูดขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะเอ่ยอะไรยืดยาวเป็นการไม่จบสิ้น และได้รับค้อนจากลู่อิงไปหนึ่งวง หยางจูเห็นดังนั้นจึงแอบอมยิ้ม
วันหนึ่งระหว่างที่หยางจูกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าและทำความสะอาดบริเวณครัวทั้งหมด มีกลุ่มนายทหารสี่นายที่แวะเวียนเข้ามาคุยกับนางเป็นครั้งคราว ทุกคนเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี หากจำไม่ผิดชายตัวสูงโย่งและผอมยิ่งกว่าลี่ถังคือเฉิงชุน คนที่ยืนข้าง ๆ เขาที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเป็นลูกน้องคือตงฟาง ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยและไม่ค่อยพูดมากนักจนดูไม่เข้ากับทุกคนชื่อเล่อเหลียน แต่อีกคนนั้นนางจำไม่ได้ “หยางหยาง เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” “ช่ายยย เห็นหน้าซื่อตาใสเช่นนี้ ที่ไหนได้ กลับซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้จนมิด” “เรารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว ทีนี้ก็เล่ามาให้หมดเปลือก” หยางจูยืนตัวแข็ง มือที่จับไม้กวาดแทบจะร่วงผล็อยลงข้างตัว แต่นางก็ยังทำไขสือ “พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” “แน่ใจหรือ แต่พวกข้าซึ่งมีตาแปดคู่มองเห็นชัดแจ้งเลยนะ ว่าเจ้าแอบทำอะไรเมื่อวันก่อน” นางแอบไปทำอะไรให้คนพวกนี้จับได้นะ ในเมื่อเวลาแต่งตัว นางก็อยู่แต่ในกระโจม ไปอาบน้ำหรือก็หอบผ้าหอบผ่อนไปตอนกลางคืน แถมบ่อน้ำยังอยู่ด้านหลังโน่น หรือพวกเขาแอบเจาะรูผนัง! ไม่น่าใช่
“เจ้าอย่ามาสนใจข้าเลย เราไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันแม้แต่นิด” “แต่ข้าไม่ชอบเจ้านี่หว่า” ว่าแล้วก็เหวี่ยงถังน้ำของตัวเองมากระแทกขานางเต็มแรง “โอ๊ย!!” หยางจูล้มลงไปกับพื้น ขณะที่ไอ้อันธพาลก็หัวเราะชอบใจ น้ำที่แบกมาอย่างยากลำบากเจิ่งนองไปทั่ว ภายนอกนางไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่นางเจ็บใจมากกว่า “ไอ้ชั่ว ข้าอุตส่าห์มาได้ไกลถึงขนาดนี้ เจ้าทำน้ำข้าหกหมด” “นี่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ” มือหยาบกร้านจับเข้าที่ข้อมือของนางแล้วบีบอย่างแรง “หยุด!!” เสียงห้วนห้าวบอกถึงความมีอำนาจดังก้อง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินดุ่มเข้ามาหาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านรองแม่ทัพ” นางครางด้วยความโล่งใจ “เจ้าทำอะไร รังแกผู้อื่นงั้นหรือ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายพี่น้องร่วมทัพกับเจ้า” เมื่อจางซื่อหมิงสวมบทบาทขึงขังเอาจริงเอาจัง หยางจูก็อดรู้สึกแปลกใจระคนกลัวเกรงไม่ได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน “ทะ...ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้...” “อย่าคิดที่จะปฏิเสธ ข้าเห็นเต็มสองตา บอกชื่อของเจ้ามา” เจ้าคนอันธพาลอึกอักเหงื่อตก ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตา ต่างจากตอนที่รังแกนางลิบลับ เห็นแล้วน่าสมเพชนัก “ข้าถา
ดูเหมือนว่าฟาหยางจะผูกใจเจ็บกับนางเสียเหลือเกิน หลายวันมานี้ หยางจูสังเกตได้ว่าเขามักจะมองตามนางเสมอ ไม่ว่านางจะเคลื่อนตัวไปไหนหรือทำสิ่งใด ก็จะเห็นสายตาของเขาคอยทิ่มแทง ไม่แน่ว่าความไม่เป็นมิตรนี้ น่าจะมาจากการที่เขาแค้นใจเมื่อโดนรองแม่ทัพตักเตือนอย่างรุนแรง แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาทำตัวเองทั้งสิ้น “เจ้านั่นน่ะ มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ข้าบอกให้ยกหม้อมา” หยางจูสะดุ้ง ทำอย่างไรก็ชินชากับเสียงกระโชกโฮกฮากไม่ได้สักที นางรีบยกหม้อไปให้ แต่มันใหญ่และหนักจนแขนของนางสั่นพั่บ ๆ จนแทบจะทำของที่อยู่ข้างในหกออกมา “โอ๊ย พวกเราจะได้กินดีไหมนี่ ถ้าให้เจ้าอ่อนปวกเปียกมายกข้าวให้ ระวังมันจะทำคว่ำทั้งหม้อนะ” ฟาหยางตะโกน ส่วนเพื่อนอันธพาลด้วยกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ เสียงดังจนคนอื่น ๆ หันมามอง นางทำหน้าบึ้ง ต้องอดใจแทบตายที่จะยกหม้อทั้งหม้อสาดใส่ แต่มันหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้ พอดีกับที่ลี่ถังรีบลุกมาช่วย ตอนนี้เขาเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนางไปแล้ว หยางจูนึกเล่น ๆ ว่าหากกลับไปที่วังหลวงนาง จะแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ใกล้ชิด หรือหากเขาไม่ชอบนางก็จะบอกเสด็จพี่ให้ปูนบำเหน็จหรือเลื่อนยศให้อย่างง
ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ
เซี่ยหานปิงขยับตัวขึ้นนั่ง ส่วนนั้นแข็งขืนปลายยอดมีน้ำซึมออกมา ลู่อิงเพิ่งเคยเห็นสิ่งใหญ่โตของบุรุษเป็นครั้งแรก นางไม่กล้ามองจึงเอาแต่หลับตาองครักษ์หนุ่มเห็นท่าทางของนางก็จำต้องสะกดอารมณ์เอาไว้พร้อมกับชักรูดแก่นกายของตนเองช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเปลือกตาของนางแล้วปลอบโยน“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ จะค่อย ๆ ทำ จะทะนุถนอมเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว”ลู่อิงลืมตาขึ้น นางสบตาเขา เมื่อเห็นความจริงใจนางจึงพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างเขินอาย เซี่ยหานปิงใช้มือจับท่อนล่างของตนถูไถไปกับความอ่อนนุ่มที่กำลังชุ่มฉ่ำ ลู่อิงไม่กล้าขยับเขยื้อนได้แต่กะพริบตามองแม้จะเขินอายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ขณะที่เซี่ยหานปิงสอดแทรกความเป็นชายเข้าไปทีละนิดอย่างช้า ๆ นางก็ส่งเสียงครางปนสะอื้นออกมาเป็นครั้งคราว คิ้วเรียวยาวขมวดเข้าเพราะนางรู้สึกเจ็บ“อย่าเกร็ง ครั้งแรกจะเจ็บเล็กน้อย จากนั้นเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”ลู่อิงมีน้ำตารื้นออกมาตรงหางตา เซี่ยหานปิงจึงจูบซับน้ำตาให้นาง พอเขาสัมผัสได้ว่าความอ่อนนุ่มชุ่มชื้นเปิดรับเขามากขึ้น มิได้เกร็งอย่างเช่นตอนแรก ก็ค่อย ๆ เริ่
ลู่อิงเงียบกริบ นางก้มหน้างุดลงกว่าเดิม ความอับอายท่วมท้น ที่เซี่ยหานปิงพูดมาไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจนางจึงไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะไม่รู้ว่าเซี่ยหานปิงจะคิดเช่นไร“หากเจ้าไม่เต็มใจก็ช่างเถิด ข้าว่าคงจะมีวิธีอื่นอีก” เซี่ยหานปิงเอ่ยปลอบ เขารู้ว่าลู่อิงต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ แม้ตัวเขาเองก็ยังลังเลไม่ต่าง การให้หญิงสาวต้องฝืนใจทำสิ่งใดคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ“ไม่...ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าจะรบกวนท่าน” นางรีบร้อนห้าม คว้าแขนของเขาที่กำลังจะลุกจากไป“ข้าก็กลัวเจ้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ลู่อิง ที่เจ้าบอกว่าชอบข้าจริงหรือไม่” เซี่ยหานปิงหันมาถามเต็มตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากนาง“จริงเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านไม่ดีมีใจตรงกับข้า ก็อย่าได้รักษาน้ำใจ” ลู่อิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้ในใจจะหวั่นไหวและกังวลว่าเขาจะตอบเช่นไรเซี่ยหานปิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดคางเรียวของนางขึ้นมา สบตานางอย่างลึกซึ้ง “แล้วถ้าหากว่าข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าล่ะ”“จริงหรือ” ลู่อิงตาโตขึ้ ใบ
ลู่อิงตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง รู้สึกเหมือนถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะขยับตัวได้ นางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้าน แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนกลับพร่ามัวเกินกว่าจะนึกถึงได้ถี่ถ้วน หลังจากลืมตาขึ้นเพียงครู่เดียว นางก็หลับลงไปอีกครั้งด้วยความอ่อนล้าไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยหานปิงก็เข้ามาในห้อง เขาวางป้านยาลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะประคองร่างบอบบางของลู่อิงขึ้นมาเพื่อให้ดื่มยา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ดูท่าแล้วพิษกำหนัดที่ลู่อิงถูกบังคับให้กลืนเข้าไปนั้นคงจะร้ายแรงมาก อีกทั้งเมื่อคืน นางยังต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดคืน ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอ จับบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวตลอดช่วงเช้า ลู่อิงยังคงนอนซมอยู่บนเตียง ไร้ท่าทีว่าจะดีขึ้น เซี่ยหานปิงเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงตัดสินใจไปตามหมอจางมาดูอาการของนาง หมอจางเดินทางมาถึงพร้อมกับอุปกรณ์ในการรักษา ก่อนจะทำการตรวจอาการอย่างละเอียดและฝังเข็มเพื่อกระตุ้นพลังชี่ของนาง“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“พิษที่นางได้รับนั้นร้ายแรงมาก แต่ว่ายังไม