ซูชิงลั่วหันมองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงก่ำขึ้นมากะทันหันเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะขยับ ลู่เหิงจือจึงยกแขนขึ้นเบาๆซูชิงลั่วมองเขาอยู่นาย สายตาเผยให้เห็นความเว้าวอนลู่เหิงจือกลับจ้องมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย แน่วแน่ไม่สั่นคลอนท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าวันนี้นางต้องเกาะแขนของเขาขึ้นม้าเท่านั้นสุดท้ายนางก็ยอมแพ้ เอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือของเขาเบาๆผิวหนังที่ปลายนิ้วสัมผัสแผ่ซ่านความอบอุ่นและเย็นชืด ราวกับก้อนหยกกลางน้ำแร่ในหน้าร้อนทันใดนั้นเองนิ้วมือก็ถูกกำไว้แน่นลู่เหิงจือออกแรงประคองนางขึ้นรถม้าหัวใจของซูชิงลั่วเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาหลังจากที่เข้าไปในตัวรถก็อดไม่ได้ที่จะใช้มืออีกข้างลูบปลายนิ้วที่เพิ่งสัมผัสกับเขาเบาๆทว่า กลับเห็นลู่เหิงจือเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินดุ่มเข้ามานั่งลงข้างนางด้วยความสงบนิ่งซูชิงลั่วพลันยืดตัวตรงในทันที : "จื๋อหยวนเล่า ?"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "นางนั่งอีกคัน"ซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือ : "พวกเราจะนั่งรถม้าคันเดียวกันหรือ"ลู่เหิงจือ : "ไม่ได้หรือ"ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองคนถูกหนีบอยู่ระหว่างที่แคบๆ ทำให้นางมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
นี่ชักจะเป็นปัญหาขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว จะอธิบายกับว่าที่คุณหญิงในอนาคตของเขาเช่นไร——ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เฉยเมยกับสตรีขนาดนั้นช่างเถอะ แต่งงานกันไปแล้วค่อยๆ พูดไปแล้วกันแต่ตอนนี้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาที่เคยมีในสายตาของสาวน้อยก่อน จะได้ไม่ทำให้นางตกใจเขาตอบนิ่งๆ : "ไม่เป็นอันใด ข้ากับเจ้ากำลังจะเป็นคู่ครองกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองเช่นนี้"ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาผาดหนึ่ง มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้มีท่าทีถือสาเอาความนางจริงๆ ถึงจะโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แล้วนั่งกลับลงไปใหม่จากนั้นก็ได้ยินเสียงใสกังวาลของเขาดังขึ้นข้างหู : "รอหลังแต่งงานแล้ว ค่อยปักถุงหอมไว้ใช้กับชุดยาวสีขาวนวลอีกสักใบจะเป็นไร"ซูชิงลั่วกำมือทั้งสองข้าง พลางพยักหน้าเบาๆ : "เจ้าค่ะ ใต้เท้าไม่ต้องกังวล หลังจากแต่งงานไปแล้ว ข้าจะพยายามทำหน้าที่ของภรรยาให้เต็มที่ ปักถุงหอมให้ใต้เท้าหลายๆ ใบ"คงไม่ถึงขนาดให้เขาไม่มีถุงหอมไว้พกติดตัวหรอกลู่เหิงจือเหร่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีกในที่สุดก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ ลู่เหิงจือลงรถไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือมาให้นางอย่างช้าๆรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ซูชิ
ลู่เหิงจือเป็นคนสุขุมพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร แม่นางจินไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนโยนมีความอดทนเช่นนี้ของเขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายิ้มนางสติหลุดไปชั่วขณะ หลังจากที่รู้สึกตัวก็รีบวางกล่องไม้ในมือลง แล้วปักปิ่นทองประดับไข่มุกให้ซูชิงลั่ว"ใต้เท้าลู่สายตาเฉียบแหลม ไข่มุกหลายเม็ดนี้เป็นของหายากอายุสิบปีจากตงไห่ ทั้งกลมวาว ขนาดยังเท่ากันอีก หาไม่ง่ายเลย"หลังจากปักเสร็จแล้ว นางก็หยิบกระจกทองแดงมาวางตรงหน้าซูชิงลั่ว "แม่นางดูสิ งดงามเหลือเกิน"นางผิวขาวผ่อง ข่มความขาววาวของไข่มุกได้พอดี ทำให้ดูสว่างไสวชวนหลงใหลลู่เหิงจือยืนอยู่ข้างๆ สายตาหยุดอยู่บนตัวนางตลอดซูชิงลั่วถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก คิดเพียงแค่อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พยักหน้าตอบ : "ได้ เอาอันนี้แหละ เท่าไหร่"นางยังไม่ทันพูดจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นลู่เหิงจือหยิบธนบัตรออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้กับแม่นางจินแล้วตั้งแต่มายังเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนจ่ายเงินซื้อของให้นางหัวใจของนางพลันเต้นรัวใครๆ ต่างก็คิดว่านางมั่งมีเงินทองถึงเพียงนั้น เจียดออกมาให้คนรอบข้างบ้างเป็นเรื่องที่สวมควรแล้ว ไม่มีทางจ่ายให้นางแม่นา
อ๋องตวนชี้บ่าวที่อยู่รอบ ๆ “มีคนมากมายเพียงนี้ ยังต้องใช้เจ้าอีกหรือ นาน ๆ ทีจะได้พบกัน ต้องดื่มสักหน่อย เจ้าจะไม่ให้หน้าข้าเลยรึ”เขาเอ่ยกับซูชิงลั่วอย่างคุ้นเคย “น้องสะใภ้ ข้าขอยืมตัวเหิงจือสักครู่ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”ซูชิงลั่วรีบตอบว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นผู้คนโดยรอบมองมามากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงเอ่ยกับลู่เหิงจือว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านชายสามก็อยู่พูดคุยกับท่านอ๋องเถิด ข้ากลับเองได้”ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า...”ซูชิงลั่วอดดึงแขนเขาไม่ได้ ท่าทางแสดงถึงความต้องการให้หยุดชัดเจนประการแรก นางไม่มีความกล้าขึ้นรถม้ากลับพร้อมลู่เหิงจือ ประการที่สองก็หวังว่าลู่เหิงจือจะไม่ล่วงเกินอ๋องตวนก็ไม่รู้ว่าอ๋องตวนโผล่มาจากที่ใด เดิมทีปฏิเสธก็ได้แล้ว แต่ซูชิงลั่วกลับรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง แทบอยากให้เขาจากไปโดยเร็วลู่เหิงจือเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าให้ซ่งเหวินส่งเจ้ากลับ”ซูชิงลั่วพยักหน้า หันหลังขึ้นรถม้าแล้วก็เห็นมือของลู่เหิงจือยื่นออกมาอีกหน – ท่าทางเหมือนจะพยุงนางขึ้นรถม้าอีกหนอย่างไม่ยอมประนีประนอมต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ซ
เสียง “โอ้ย” ดังขึ้นจากด้านนอก ซูชิงลั่วมองผ่านช่องว่างของม่านที่ถูกลมพัดปลิว เห็นซ่งเหวินร่วงลงจากรถม้าเสียงตะโกนของบ่าวทั้งหลายดังมาจากด้านหลัง แต่เสียงกลับห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆม้าคลุ้มคลั่งวิ่งไปถึงนอกเมือง และในที่สุดก็ถูกหยุดด้วยพลังมหาศาลประตูรถเปิดออกกระทันหัน ซูชิงลั่วถูกกระแทกจนหน้ามืดตาลาย ไม่ทันได้มองดูคนตรงหน้า ก็พลันมืดลง ถูกปิดตาและถูกมัดมือมัดเท้าสายตาของนางมืดมิดไปหมด แล้วนางก็ถูกโยนขึ้นไปบนรถม้าอีกคัน คือหนิงไห่ลู่ หนิงไห่ลู่สั่งให้คนมาลักพาตัวนางอย่างแน่นอน ซูชิงลั่วขดตัวอยู่ในมุมของรถม้า ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ถูกเสียงรถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ และดังก้องอยู่ในหูของนางราวกับยืดความกลัวของนางให้ยาวออกไปโดยไม่รู้จบ ไม่ได้การแล้ว จะนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง แต่เชือกที่มัดมือนางไว้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการผูกปมแบบพิเศษ ทำให้นางไม่กล้าขยับอีกเลยเท้าของนางก็เช่นกันโชคดีที่ผ้าปิดตาหลุดออกเล็กน้อยเพราะนางใช้แขนขยับไปมา จนมองเห็นช่องว่างขนาดเล็ก ด้านหน้าเป
ในความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอย่างฉับพลัน และตามด้วยเสียงประตูห้องลับที่ถูกเปิดออก ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของดวงตา ซูชิงลั่วมองเห็นชายชุดคลุมสีเขียวเข้มของผู้มาเยือน จึงอดถอยหลังไปไม่ได้ เป็นชุดของหนิงไห่ลู่ ราวกับจะยืนยันความคิดของนาง เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาของหนิงไห่ลู่ก็ดังขึ้นทันทีว่า “สาวน้อย ในที่สุดก็ตกอยู่ในมือข้าเสียแล้ว” เขาเหยียดฝ่ามือซ้ายออกมา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีแดงสดอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเพิ่งหายได้ไม่นาน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สิ่งที่ลู่เหิงจือมอบให้ข้า ข้าจะเอาคืนจากเจ้าให้มากกว่าเดิม”*หอเทียนเหอเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ชั้นสามทั้งหมดถูกอ๋องตวนเหมาเป็นประจำ จึงไม่มีคนอื่นใด ภายในห้องแยกมีเตียงหรูหรา ชัดเจนว่าอ๋องตวนเหมาจะพักผ่อนที่นี่หลังจากดื่มจนหนำใจ ลู่เหิงจือไม่ได้ตั้งใจจะดื่มสุราพูดคุยกับอ๋องตวนเป็นเวลานาน และเขามักไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ จึงเตรียมจะดื่มสองสามแก้วแล้วหาโอกาสจากไป ทว่านึกไม่ถึงว่าหลังจากดื่มไปสองสามแก้ว ประตูห้องก็ถูกเปิดออก องค์หญิงอวี้หยางก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ “เสด็จอากำลังดื่มสุร
เสียงดังอึกทึกในหอเทียนเหอเงียบลงทันที ทุกสายตาเงยหน้ามองชั้นสอง - ลู่เหิงจือผลักประตูออกมา ใบหน้าเคร่งขรึมราวกับน้ำแข็งทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือกราวกับยมทูตหน้าตาย ถึงว่าอัครมหาเสนาบดีลู่ได้รับฉายาว่า “ยมทูตหน้าตาย” ใบหน้าเช่นนี้น่ากลัวเหลือเกินลู่เหิงจือไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง ถึงแม้จะเสียกำลังไปเกินครึ่ง แต่เขาก็พยายามลงมาจากชั้นบนอย่างสงบนิ่ง เมื่อเดินออกจากภัตตาคารเขาเดิมคิดว่าเรื่องวุ่นวายนี้จบลงแล้ว กลับเห็นซ่งเหวินวิ่งมาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ใต้เท้า...แย่แล้ว แม่นางซูหายตัวไป” สีหน้าของลู่เหิงจือเปลี่ยนไปทันที “เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซ่งเหวินรีบตอบ ขณะกำลังส่งซูชิงลั่วกลับจวน ม้าตัวหนึ่งตกใจและวิ่งเสียหลักชนเข้ามา จากนั้นก็มีชายชุดดำคนหนึ่งดึงเขาลงจากรถม้า แล้วตามรถม้าที่วิ่งเสียหลักไปยังนอกเมือง เมื่อเขาตามม้าไปถึงนอกเมืองก็พบว่าในรถม้าเหลือเพียงจื๋อหยวนที่นอนสลบอยู่ วันนี้เนื่องด้วยลู่เหิงจือพาซูชิงลั่วออกมาข้างนอก จึงมีเพียงองครักษ์ลับตามไปคนเดียว ยามนี้องครักษ์ลับคนนั้นยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่ายังคงติดตามซูชิงลั่วอยู่จึงยังไม่ต้องข่าวกลับมา หรือถูกอีกฝ
“ไป!” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็นชา ขี่ม้าออกจากเมืองทันทีพร้อมบ่าวรับใช้ประจำจวนและองค์รักษ์ลับที่ยืมมา*ผ้าสีดำที่ปิดตาถูกถอดออกในห้องลับยามนี้มีการจุดเทียนสีแดงจำนวนมากเรียงรายอยู่รอบ ๆ สร้างบรรยากาศอันน่าขนลุกและน่ากลัวขึ้นมา ซูชิงลั่วเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มองหนิงไห่ลู่ที่ค่อย ๆ เช็ดแส้สีดำด้วยผ้าอย่างช้าๆ บนแส้นั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยคราบเลือดเก่าที่เปลี่ยนเป็นสีสนิมติดอยู่ ขณะที่เขาเช็ด ก็ยิ้มและหันมองซูชิงลั่วที่เนื้อตัวสั่นเทาเป็นระยะ ๆ - นี่คือจุดประสงค์ที่เขาเอาผ้าปิดตาของซูชิงลั่วออก ยิ่งนางกลัว เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ท่ามกลางแสงเทียนสีแดง เขาเก็บแส้ที่เช็ดแล้วไว้ข้าง ๆ แล้วไปเช็ดเชือกสีแดงยาวอีกเส้นหนึ่งหลังจากเช็ดจากหัวจรดปลาย เขาก็หัวเราะออกมา “คืนนี้อีกยาวนาน พวกเราค่อย ๆ เล่นสนุกกัน”มือข้างหนึ่งกำเชือกสีแดง อีกมือหนึ่งถือกรรไกร เดินมาข้างหน้านางอย่างช้า ๆ แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อบริเวณลำคอของนาง ความเย็นเยือกราวกับเหล็กกล้าไหลผ่านกระดูกไหปลาร้าของนาง ซูชิงลั่วหลับตา แล้วท่องคำว่าลาก่อนในใจ กำลังจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็ได้ยินเสียงคล้ายหนังสติ๊ก แล้วเห็นหน