ซูชิงลั่วหันมองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงก่ำขึ้นมากะทันหันเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะขยับ ลู่เหิงจือจึงยกแขนขึ้นเบาๆซูชิงลั่วมองเขาอยู่นาย สายตาเผยให้เห็นความเว้าวอนลู่เหิงจือกลับจ้องมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย แน่วแน่ไม่สั่นคลอนท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าวันนี้นางต้องเกาะแขนของเขาขึ้นม้าเท่านั้นสุดท้ายนางก็ยอมแพ้ เอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือของเขาเบาๆผิวหนังที่ปลายนิ้วสัมผัสแผ่ซ่านความอบอุ่นและเย็นชืด ราวกับก้อนหยกกลางน้ำแร่ในหน้าร้อนทันใดนั้นเองนิ้วมือก็ถูกกำไว้แน่นลู่เหิงจือออกแรงประคองนางขึ้นรถม้าหัวใจของซูชิงลั่วเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาหลังจากที่เข้าไปในตัวรถก็อดไม่ได้ที่จะใช้มืออีกข้างลูบปลายนิ้วที่เพิ่งสัมผัสกับเขาเบาๆทว่า กลับเห็นลู่เหิงจือเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินดุ่มเข้ามานั่งลงข้างนางด้วยความสงบนิ่งซูชิงลั่วพลันยืดตัวตรงในทันที : "จื๋อหยวนเล่า ?"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "นางนั่งอีกคัน"ซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือ : "พวกเราจะนั่งรถม้าคันเดียวกันหรือ"ลู่เหิงจือ : "ไม่ได้หรือ"ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองคนถูกหนีบอยู่ระหว่างที่แคบๆ ทำให้นางมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
นี่ชักจะเป็นปัญหาขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว จะอธิบายกับว่าที่คุณหญิงในอนาคตของเขาเช่นไร——ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เฉยเมยกับสตรีขนาดนั้นช่างเถอะ แต่งงานกันไปแล้วค่อยๆ พูดไปแล้วกันแต่ตอนนี้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาที่เคยมีในสายตาของสาวน้อยก่อน จะได้ไม่ทำให้นางตกใจเขาตอบนิ่งๆ : "ไม่เป็นอันใด ข้ากับเจ้ากำลังจะเป็นคู่ครองกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองเช่นนี้"ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาผาดหนึ่ง มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้มีท่าทีถือสาเอาความนางจริงๆ ถึงจะโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แล้วนั่งกลับลงไปใหม่จากนั้นก็ได้ยินเสียงใสกังวาลของเขาดังขึ้นข้างหู : "รอหลังแต่งงานแล้ว ค่อยปักถุงหอมไว้ใช้กับชุดยาวสีขาวนวลอีกสักใบจะเป็นไร"ซูชิงลั่วกำมือทั้งสองข้าง พลางพยักหน้าเบาๆ : "เจ้าค่ะ ใต้เท้าไม่ต้องกังวล หลังจากแต่งงานไปแล้ว ข้าจะพยายามทำหน้าที่ของภรรยาให้เต็มที่ ปักถุงหอมให้ใต้เท้าหลายๆ ใบ"คงไม่ถึงขนาดให้เขาไม่มีถุงหอมไว้พกติดตัวหรอกลู่เหิงจือเหร่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีกในที่สุดก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ ลู่เหิงจือลงรถไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือมาให้นางอย่างช้าๆรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ซูชิ
ลู่เหิงจือเป็นคนสุขุมพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร แม่นางจินไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนโยนมีความอดทนเช่นนี้ของเขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายิ้มนางสติหลุดไปชั่วขณะ หลังจากที่รู้สึกตัวก็รีบวางกล่องไม้ในมือลง แล้วปักปิ่นทองประดับไข่มุกให้ซูชิงลั่ว"ใต้เท้าลู่สายตาเฉียบแหลม ไข่มุกหลายเม็ดนี้เป็นของหายากอายุสิบปีจากตงไห่ ทั้งกลมวาว ขนาดยังเท่ากันอีก หาไม่ง่ายเลย"หลังจากปักเสร็จแล้ว นางก็หยิบกระจกทองแดงมาวางตรงหน้าซูชิงลั่ว "แม่นางดูสิ งดงามเหลือเกิน"นางผิวขาวผ่อง ข่มความขาววาวของไข่มุกได้พอดี ทำให้ดูสว่างไสวชวนหลงใหลลู่เหิงจือยืนอยู่ข้างๆ สายตาหยุดอยู่บนตัวนางตลอดซูชิงลั่วถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก คิดเพียงแค่อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พยักหน้าตอบ : "ได้ เอาอันนี้แหละ เท่าไหร่"นางยังไม่ทันพูดจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นลู่เหิงจือหยิบธนบัตรออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้กับแม่นางจินแล้วตั้งแต่มายังเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนจ่ายเงินซื้อของให้นางหัวใจของนางพลันเต้นรัวใครๆ ต่างก็คิดว่านางมั่งมีเงินทองถึงเพียงนั้น เจียดออกมาให้คนรอบข้างบ้างเป็นเรื่องที่สวมควรแล้ว ไม่มีทางจ่ายให้นางแม่นา
อ๋องตวนชี้บ่าวที่อยู่รอบ ๆ “มีคนมากมายเพียงนี้ ยังต้องใช้เจ้าอีกหรือ นาน ๆ ทีจะได้พบกัน ต้องดื่มสักหน่อย เจ้าจะไม่ให้หน้าข้าเลยรึ”เขาเอ่ยกับซูชิงลั่วอย่างคุ้นเคย “น้องสะใภ้ ข้าขอยืมตัวเหิงจือสักครู่ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”ซูชิงลั่วรีบตอบว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นผู้คนโดยรอบมองมามากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงเอ่ยกับลู่เหิงจือว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านชายสามก็อยู่พูดคุยกับท่านอ๋องเถิด ข้ากลับเองได้”ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า...”ซูชิงลั่วอดดึงแขนเขาไม่ได้ ท่าทางแสดงถึงความต้องการให้หยุดชัดเจนประการแรก นางไม่มีความกล้าขึ้นรถม้ากลับพร้อมลู่เหิงจือ ประการที่สองก็หวังว่าลู่เหิงจือจะไม่ล่วงเกินอ๋องตวนก็ไม่รู้ว่าอ๋องตวนโผล่มาจากที่ใด เดิมทีปฏิเสธก็ได้แล้ว แต่ซูชิงลั่วกลับรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง แทบอยากให้เขาจากไปโดยเร็วลู่เหิงจือเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าให้ซ่งเหวินส่งเจ้ากลับ”ซูชิงลั่วพยักหน้า หันหลังขึ้นรถม้าแล้วก็เห็นมือของลู่เหิงจือยื่นออกมาอีกหน – ท่าทางเหมือนจะพยุงนางขึ้นรถม้าอีกหนอย่างไม่ยอมประนีประนอมต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ซ
เสียง “โอ้ย” ดังขึ้นจากด้านนอก ซูชิงลั่วมองผ่านช่องว่างของม่านที่ถูกลมพัดปลิว เห็นซ่งเหวินร่วงลงจากรถม้าเสียงตะโกนของบ่าวทั้งหลายดังมาจากด้านหลัง แต่เสียงกลับห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆม้าคลุ้มคลั่งวิ่งไปถึงนอกเมือง และในที่สุดก็ถูกหยุดด้วยพลังมหาศาลประตูรถเปิดออกกระทันหัน ซูชิงลั่วถูกกระแทกจนหน้ามืดตาลาย ไม่ทันได้มองดูคนตรงหน้า ก็พลันมืดลง ถูกปิดตาและถูกมัดมือมัดเท้าสายตาของนางมืดมิดไปหมด แล้วนางก็ถูกโยนขึ้นไปบนรถม้าอีกคัน คือหนิงไห่ลู่ หนิงไห่ลู่สั่งให้คนมาลักพาตัวนางอย่างแน่นอน ซูชิงลั่วขดตัวอยู่ในมุมของรถม้า ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ถูกเสียงรถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ และดังก้องอยู่ในหูของนางราวกับยืดความกลัวของนางให้ยาวออกไปโดยไม่รู้จบ ไม่ได้การแล้ว จะนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง แต่เชือกที่มัดมือนางไว้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการผูกปมแบบพิเศษ ทำให้นางไม่กล้าขยับอีกเลยเท้าของนางก็เช่นกันโชคดีที่ผ้าปิดตาหลุดออกเล็กน้อยเพราะนางใช้แขนขยับไปมา จนมองเห็นช่องว่างขนาดเล็ก ด้านหน้าเป
ในความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอย่างฉับพลัน และตามด้วยเสียงประตูห้องลับที่ถูกเปิดออก ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของดวงตา ซูชิงลั่วมองเห็นชายชุดคลุมสีเขียวเข้มของผู้มาเยือน จึงอดถอยหลังไปไม่ได้ เป็นชุดของหนิงไห่ลู่ ราวกับจะยืนยันความคิดของนาง เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาของหนิงไห่ลู่ก็ดังขึ้นทันทีว่า “สาวน้อย ในที่สุดก็ตกอยู่ในมือข้าเสียแล้ว” เขาเหยียดฝ่ามือซ้ายออกมา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีแดงสดอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเพิ่งหายได้ไม่นาน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สิ่งที่ลู่เหิงจือมอบให้ข้า ข้าจะเอาคืนจากเจ้าให้มากกว่าเดิม”*หอเทียนเหอเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ชั้นสามทั้งหมดถูกอ๋องตวนเหมาเป็นประจำ จึงไม่มีคนอื่นใด ภายในห้องแยกมีเตียงหรูหรา ชัดเจนว่าอ๋องตวนเหมาจะพักผ่อนที่นี่หลังจากดื่มจนหนำใจ ลู่เหิงจือไม่ได้ตั้งใจจะดื่มสุราพูดคุยกับอ๋องตวนเป็นเวลานาน และเขามักไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ จึงเตรียมจะดื่มสองสามแก้วแล้วหาโอกาสจากไป ทว่านึกไม่ถึงว่าหลังจากดื่มไปสองสามแก้ว ประตูห้องก็ถูกเปิดออก องค์หญิงอวี้หยางก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ “เสด็จอากำลังดื่มสุร
เสียงดังอึกทึกในหอเทียนเหอเงียบลงทันที ทุกสายตาเงยหน้ามองชั้นสอง - ลู่เหิงจือผลักประตูออกมา ใบหน้าเคร่งขรึมราวกับน้ำแข็งทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือกราวกับยมทูตหน้าตาย ถึงว่าอัครมหาเสนาบดีลู่ได้รับฉายาว่า “ยมทูตหน้าตาย” ใบหน้าเช่นนี้น่ากลัวเหลือเกินลู่เหิงจือไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง ถึงแม้จะเสียกำลังไปเกินครึ่ง แต่เขาก็พยายามลงมาจากชั้นบนอย่างสงบนิ่ง เมื่อเดินออกจากภัตตาคารเขาเดิมคิดว่าเรื่องวุ่นวายนี้จบลงแล้ว กลับเห็นซ่งเหวินวิ่งมาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ใต้เท้า...แย่แล้ว แม่นางซูหายตัวไป” สีหน้าของลู่เหิงจือเปลี่ยนไปทันที “เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซ่งเหวินรีบตอบ ขณะกำลังส่งซูชิงลั่วกลับจวน ม้าตัวหนึ่งตกใจและวิ่งเสียหลักชนเข้ามา จากนั้นก็มีชายชุดดำคนหนึ่งดึงเขาลงจากรถม้า แล้วตามรถม้าที่วิ่งเสียหลักไปยังนอกเมือง เมื่อเขาตามม้าไปถึงนอกเมืองก็พบว่าในรถม้าเหลือเพียงจื๋อหยวนที่นอนสลบอยู่ วันนี้เนื่องด้วยลู่เหิงจือพาซูชิงลั่วออกมาข้างนอก จึงมีเพียงองครักษ์ลับตามไปคนเดียว ยามนี้องครักษ์ลับคนนั้นยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่ายังคงติดตามซูชิงลั่วอยู่จึงยังไม่ต้องข่าวกลับมา หรือถูกอีกฝ
“ไป!” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็นชา ขี่ม้าออกจากเมืองทันทีพร้อมบ่าวรับใช้ประจำจวนและองค์รักษ์ลับที่ยืมมา*ผ้าสีดำที่ปิดตาถูกถอดออกในห้องลับยามนี้มีการจุดเทียนสีแดงจำนวนมากเรียงรายอยู่รอบ ๆ สร้างบรรยากาศอันน่าขนลุกและน่ากลัวขึ้นมา ซูชิงลั่วเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มองหนิงไห่ลู่ที่ค่อย ๆ เช็ดแส้สีดำด้วยผ้าอย่างช้าๆ บนแส้นั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยคราบเลือดเก่าที่เปลี่ยนเป็นสีสนิมติดอยู่ ขณะที่เขาเช็ด ก็ยิ้มและหันมองซูชิงลั่วที่เนื้อตัวสั่นเทาเป็นระยะ ๆ - นี่คือจุดประสงค์ที่เขาเอาผ้าปิดตาของซูชิงลั่วออก ยิ่งนางกลัว เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ท่ามกลางแสงเทียนสีแดง เขาเก็บแส้ที่เช็ดแล้วไว้ข้าง ๆ แล้วไปเช็ดเชือกสีแดงยาวอีกเส้นหนึ่งหลังจากเช็ดจากหัวจรดปลาย เขาก็หัวเราะออกมา “คืนนี้อีกยาวนาน พวกเราค่อย ๆ เล่นสนุกกัน”มือข้างหนึ่งกำเชือกสีแดง อีกมือหนึ่งถือกรรไกร เดินมาข้างหน้านางอย่างช้า ๆ แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อบริเวณลำคอของนาง ความเย็นเยือกราวกับเหล็กกล้าไหลผ่านกระดูกไหปลาร้าของนาง ซูชิงลั่วหลับตา แล้วท่องคำว่าลาก่อนในใจ กำลังจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็ได้ยินเสียงคล้ายหนังสติ๊ก แล้วเห็นหน
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป