เสียง “โอ้ย” ดังขึ้นจากด้านนอก ซูชิงลั่วมองผ่านช่องว่างของม่านที่ถูกลมพัดปลิว เห็นซ่งเหวินร่วงลงจากรถม้าเสียงตะโกนของบ่าวทั้งหลายดังมาจากด้านหลัง แต่เสียงกลับห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆม้าคลุ้มคลั่งวิ่งไปถึงนอกเมือง และในที่สุดก็ถูกหยุดด้วยพลังมหาศาลประตูรถเปิดออกกระทันหัน ซูชิงลั่วถูกกระแทกจนหน้ามืดตาลาย ไม่ทันได้มองดูคนตรงหน้า ก็พลันมืดลง ถูกปิดตาและถูกมัดมือมัดเท้าสายตาของนางมืดมิดไปหมด แล้วนางก็ถูกโยนขึ้นไปบนรถม้าอีกคัน คือหนิงไห่ลู่ หนิงไห่ลู่สั่งให้คนมาลักพาตัวนางอย่างแน่นอน ซูชิงลั่วขดตัวอยู่ในมุมของรถม้า ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ถูกเสียงรถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ และดังก้องอยู่ในหูของนางราวกับยืดความกลัวของนางให้ยาวออกไปโดยไม่รู้จบ ไม่ได้การแล้ว จะนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง แต่เชือกที่มัดมือนางไว้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการผูกปมแบบพิเศษ ทำให้นางไม่กล้าขยับอีกเลยเท้าของนางก็เช่นกันโชคดีที่ผ้าปิดตาหลุดออกเล็กน้อยเพราะนางใช้แขนขยับไปมา จนมองเห็นช่องว่างขนาดเล็ก ด้านหน้าเป
ในความเงียบสงัด เสียงฝีเท้าอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอย่างฉับพลัน และตามด้วยเสียงประตูห้องลับที่ถูกเปิดออก ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของดวงตา ซูชิงลั่วมองเห็นชายชุดคลุมสีเขียวเข้มของผู้มาเยือน จึงอดถอยหลังไปไม่ได้ เป็นชุดของหนิงไห่ลู่ ราวกับจะยืนยันความคิดของนาง เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาของหนิงไห่ลู่ก็ดังขึ้นทันทีว่า “สาวน้อย ในที่สุดก็ตกอยู่ในมือข้าเสียแล้ว” เขาเหยียดฝ่ามือซ้ายออกมา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีแดงสดอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเพิ่งหายได้ไม่นาน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สิ่งที่ลู่เหิงจือมอบให้ข้า ข้าจะเอาคืนจากเจ้าให้มากกว่าเดิม”*หอเทียนเหอเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ชั้นสามทั้งหมดถูกอ๋องตวนเหมาเป็นประจำ จึงไม่มีคนอื่นใด ภายในห้องแยกมีเตียงหรูหรา ชัดเจนว่าอ๋องตวนเหมาจะพักผ่อนที่นี่หลังจากดื่มจนหนำใจ ลู่เหิงจือไม่ได้ตั้งใจจะดื่มสุราพูดคุยกับอ๋องตวนเป็นเวลานาน และเขามักไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ จึงเตรียมจะดื่มสองสามแก้วแล้วหาโอกาสจากไป ทว่านึกไม่ถึงว่าหลังจากดื่มไปสองสามแก้ว ประตูห้องก็ถูกเปิดออก องค์หญิงอวี้หยางก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ “เสด็จอากำลังดื่มสุร
เสียงดังอึกทึกในหอเทียนเหอเงียบลงทันที ทุกสายตาเงยหน้ามองชั้นสอง - ลู่เหิงจือผลักประตูออกมา ใบหน้าเคร่งขรึมราวกับน้ำแข็งทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือกราวกับยมทูตหน้าตาย ถึงว่าอัครมหาเสนาบดีลู่ได้รับฉายาว่า “ยมทูตหน้าตาย” ใบหน้าเช่นนี้น่ากลัวเหลือเกินลู่เหิงจือไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง ถึงแม้จะเสียกำลังไปเกินครึ่ง แต่เขาก็พยายามลงมาจากชั้นบนอย่างสงบนิ่ง เมื่อเดินออกจากภัตตาคารเขาเดิมคิดว่าเรื่องวุ่นวายนี้จบลงแล้ว กลับเห็นซ่งเหวินวิ่งมาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ใต้เท้า...แย่แล้ว แม่นางซูหายตัวไป” สีหน้าของลู่เหิงจือเปลี่ยนไปทันที “เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซ่งเหวินรีบตอบ ขณะกำลังส่งซูชิงลั่วกลับจวน ม้าตัวหนึ่งตกใจและวิ่งเสียหลักชนเข้ามา จากนั้นก็มีชายชุดดำคนหนึ่งดึงเขาลงจากรถม้า แล้วตามรถม้าที่วิ่งเสียหลักไปยังนอกเมือง เมื่อเขาตามม้าไปถึงนอกเมืองก็พบว่าในรถม้าเหลือเพียงจื๋อหยวนที่นอนสลบอยู่ วันนี้เนื่องด้วยลู่เหิงจือพาซูชิงลั่วออกมาข้างนอก จึงมีเพียงองครักษ์ลับตามไปคนเดียว ยามนี้องครักษ์ลับคนนั้นยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่ายังคงติดตามซูชิงลั่วอยู่จึงยังไม่ต้องข่าวกลับมา หรือถูกอีกฝ
“ไป!” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็นชา ขี่ม้าออกจากเมืองทันทีพร้อมบ่าวรับใช้ประจำจวนและองค์รักษ์ลับที่ยืมมา*ผ้าสีดำที่ปิดตาถูกถอดออกในห้องลับยามนี้มีการจุดเทียนสีแดงจำนวนมากเรียงรายอยู่รอบ ๆ สร้างบรรยากาศอันน่าขนลุกและน่ากลัวขึ้นมา ซูชิงลั่วเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มองหนิงไห่ลู่ที่ค่อย ๆ เช็ดแส้สีดำด้วยผ้าอย่างช้าๆ บนแส้นั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยคราบเลือดเก่าที่เปลี่ยนเป็นสีสนิมติดอยู่ ขณะที่เขาเช็ด ก็ยิ้มและหันมองซูชิงลั่วที่เนื้อตัวสั่นเทาเป็นระยะ ๆ - นี่คือจุดประสงค์ที่เขาเอาผ้าปิดตาของซูชิงลั่วออก ยิ่งนางกลัว เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ท่ามกลางแสงเทียนสีแดง เขาเก็บแส้ที่เช็ดแล้วไว้ข้าง ๆ แล้วไปเช็ดเชือกสีแดงยาวอีกเส้นหนึ่งหลังจากเช็ดจากหัวจรดปลาย เขาก็หัวเราะออกมา “คืนนี้อีกยาวนาน พวกเราค่อย ๆ เล่นสนุกกัน”มือข้างหนึ่งกำเชือกสีแดง อีกมือหนึ่งถือกรรไกร เดินมาข้างหน้านางอย่างช้า ๆ แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อบริเวณลำคอของนาง ความเย็นเยือกราวกับเหล็กกล้าไหลผ่านกระดูกไหปลาร้าของนาง ซูชิงลั่วหลับตา แล้วท่องคำว่าลาก่อนในใจ กำลังจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็ได้ยินเสียงคล้ายหนังสติ๊ก แล้วเห็นหน
ซูชิงลั่วยังไม่ทันจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ต้องกลัวจากเขา ก็ได้ยินเสียงของร่างกายหนึ่งกระแทกพื้นอย่างแรง นางเผลอหันไป แต่ถูกมือของลู่เหิงจือที่ยื่นมาบังไว้ เมื่อเข้าใจว่าเขาทำอะไรลงไป ซูชิงลั่วร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว แผ่นหลังรู้สึกชาขึ้นมาเขา... เขาฆ่าคนเพื่อนาง! ฆ่าหนิงไห่ลู่ หลานชายของกุ้ยเฟยองค์ปัจจุบัน เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร “เหิงจือ เจ้า...” เซี่ยถิงอวี้ขมวดคิ้ว ผ่านไปชั่วครู่ถึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว ก็ช่างเถอะ” มือของลู่เหิงจือค่อย ๆ กดลงบนไหล่ของซูชิงลั่วราวกับเป็นการปลอบโยน ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นี่ให้เจ้าจัดการ ข้าพานางไปก่อน”ซูชิงลั่วตกใจกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะจนกระทั่งลู่เหิงจือพยุงนางขึ้นรถม้า นางยังคงเกาะแขนเสื้อของเขาไว้ด้วยความหวาดกลัว รถม้าวิ่งไปไกลแล้ว นางถึงได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไร”ท้องฟ้ามืดครึ้ม น่าจะเพราะรีบออกมา รถม้าจึงไม่มีโคมไฟซูชิงลั่วรีบคลำขึ้นไปตามแขนเสื้อของเขาด้วยความร้อนรน “บาดเจ็บตรงไหนหรือ ข้า...”มือถูกเขากดไว้ทันที “อย่าขยับ”
ยามนั้นนางยังคงเป็นเด็กสาวตัวน้อยความทรงจำดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงมีหยาดน้ำตาอุ่น ๆ ตกลงบนแขนของเขา ลู่เหิงจือเอ่ยปาก “ทำไมถึงร้องไห้เล่า”ซูชิงลั่วส่ายศีรษะ เช็ดน้ำตาพลางถามว่า “ทำไมเจ้าถึงกระตุ้นแผลตลอดเวลา”ถูกจับได้แล้วสินะความคิดละเอียดอ่อนเหมือนกันนะเนี่ยลู่เหิงจือปลอบโยนเสียงเบา “ไม่เป็นไรจริง ๆ” เขายกมือขวาอยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่พอสัมผัสผิวแก้มของนาง ร่างกายของเขาก็ราวกับถูกราดด้วยสุรารสร้อนแรง ทำให้ระเบิดขึ้นมาทันที เขากำมือแน่น ดึงมือกลับมาอย่างแรง หันหน้าหนี หายใจหอบ “เจ็บแผลอีกแล้วหรือ” ซูชิงลั่วเอ่ยพลางเข้าไปดูแผลของเขา พอเข้าใกล้เขาก็ดึงนางเข้าไปกอดทันทีนางตกละลึงร่างกายของนางถูกเขารัดแน่น นั่งลงบนตัก และมือก็คว้าเสื้อของเขาไว้โดยไม่รู้ตัวร่างกายของเขาร้อนรุ่มมาก คล้ายกับเปียกชุ่มเพราะผ้าตรงปกเสื้อเปียกชื้นยังไม่ทันได้ครุ่นคิดว่าจู่ ๆ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ ปฏิกิริยาแรกคือเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา“เจ้าไข้ขึ้นหรือ ทำไมถึงร้อนอย่างกับ...” ซูชิงลั่วหยุดชะงัก และรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขา จึงใบหน้าแดงก้ำขึ้นทันที
ลมหายใจอุ่น ๆ พัดเข้าไปในหู ทำให้รู้สึกคันยิบ ๆซูชิงลั่วมือสั่นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงริมฝีปากอันเร้าร้อนของลู่เหิงจือ คล้ายกับจะสัมผัสใบหูของนางเบา ๆ ทำให้รู้สึกอึดอัดมาก จะ...ให้เขาลวนลามกลับดีหรือไม่เขาจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะครั้งก่อนเขาช่วยนาง จึงต้องการให้นางช่วยเขากลับใช่หรือไม่นางจับปกเสื้อของเขาแน่นขึ้น ก้มศีรษะบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณ หรือเพราะกลิ่นน้ำหอมอันเย้ายวนบนร่างกายทำให้นางลุ่มหลงกันแน่ นางบีบเสียงเอ่ยราวกับเสียงยุงว่า “หากเจ้าอยาก ก็...ได้”สองคำนั้นแทบฟังไม่ได้ยินเส้นแบ่งราวกับถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง ลู่เหิงจือขยับริมฝีปากบางลงมา ลมหายใจรดที่แก้มนาง ค่อย ๆ เลื่อนตามแนวกรามมาที่ริมฝีปากของนาง หยุดชั่วขณะ แล้วมือก็ย้ายไปที่ท้ายทอยของนาง ก่อนจะบรรเลงจูบอย่างไม่ลังเลในสมองเสียง “ตู้ม” ดังขึ้นราวกับบางอย่างระเบิดกระแสไฟฟ้าซ่า ๆ วิ่งตั้งแต่ริมฝีปากกระจาบไปทั่วร่างกาย แสงจันทราสาดส่องเข้ามาในห้อง ส่องกระทบร่างกายเขาริมฝีปากของเขามีอุณหภูมิร้อนจัด รุกเข้ามาหานางราวกับจะยึดครอง ทำให้นางรับมือไม่ไหว สติของนางถูกจูบนี้กลืนกิน
ซ่งเหวินรู้ตัวว่าตนพูดผิด จึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รีบถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูคำพูดนี้ทำให้หลังจากนั้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วรับประทานอาหารด้วยความเงียบตลอดเวลา ไม่มีใครพูดอะไรเลย ซูชิงลั่วเคยคิดจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปลอบโยนระหว่างนั้น แต่พอนึกถึงคำพูดของซ่งเหวิน ก็รู้สึกว่าไม่ควรปลอบจะดีกว่า ประเดี๋ยวจะพูดอะไรไม่เหมาะสมออกมาจะยิ่งอึดอัด นางจึงก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ หิวมากชัด ๆ กลับรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเท่าที่เคยกินในวัดเซิ่งอัน ดูเหมือนฝีมือการทำอาหารของซ่งเหวินจะแย่ลงอาจเป็นเพราะวันนี้เวลาเร่งรัดไปเสียหน่อย เขาจึงแสดงฝีมือออกมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะไม่มีเวลาทำอาหาร จึงให้คนอื่นทำแทน?ทว่ายามนี้ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก แค่อิ่มท้องก็ถือว่าดีมากแล้ว เมื่อเห็นนางวางตะเกียบลง ลู่เหิงจือจึงเอ่ยถามว่า “อิ่มแล้วหรือ”ซูชิงลั่วพยักหน้าลู่เหิงจือไม่รู้ว่ากินอิ่มแล้วหรือไม่ ก็วางตะเกียบลง แล้วเก็บจานชามใส่กล่องอาหาร แล้วยื่นออกไปหลังจากถูกช่วยออกมาก็ผวาตลอดเวลา ขณะนี้ซูชิงลั่วถึงมีเวลาเอ่ยถามว่า “แล้วเรื่องของหนิงไห่ลู่จะทำอย่างไรดี”