ลู่เหิงจือก้มศีรษะลง “ตื่นแล้วหรือ” เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อใดไม่รู้ เสื้อทรงยาวสีเขียว ให้ความรู้สึกถึงความสง่างามซูชิงลั่วพยักหน้า ผลักเขาเบา ๆ อย่างเขินอาย จึงถึงโอกาสปล่อยนางลง นางเปิดม่านรถม้ามอง ท้องฟ้ามืดครึ้ม พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงจาง ๆ อยู่ทางทิศตะวันตก ราวกับกำลังล้างหมึกออกจากกระดาษ ยังไม่ถึงเวลาเปิดประตูเมือง ก็หมายความว่า ประตูเมืองเปิดให้พวกเขาโดยเฉพาะ ซูชิงลั่วรู้สึกเนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ลู่เหิงจือจึงเอ่ยว่า “ต้องปิดเรื่องนี้กับทุกคน เจ้าต้องกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่ ทางฝั่งท่านยายจัดการทุกอย่างไว้แล้ว” มิเช่นนั้น หญิงสาวค้างคืนข้างนอก เสียชื่อเสียง แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยากที่จะปิดปากคนทั้งเมือง ซูชิงลั่วพยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านชายสาม” นึกไม่ถึงว่าจะกล่าวขอบคุณเขา ไม่โกรธที่เขาแม้จะทำนางหาย กลับยังไปขอบคุณเขา และไม่ได้ตำหนิเขาเลยแม้แต่น้อยลู่เหิงจือมองนางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือ” ซูชิงลั่วสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว “ใบหน้าข้ามีอะไรเปื้อนหรือ” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสวยมาก”“...”
นึกไม่ถึงว่าจะมีกลอุบายเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านยายจะรู้สึกไม่ชอบลู่เหิงจือตั้งแต่แรก ทั้งให้นางอยู่ห่าง ๆ และเตือนให้คิดให้รอบคอบก่อนแต่งงาน ทว่าไม่รู้ว่าท่านยายจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของลู่เหิงจือหรือไม่ท่านยายก็ดูตกตะลึงมาก นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะนึกว่าตนหูฝาด “สามวันรึ”ลู่เหิงจือ “ขอครับ” ท่านยาย “จะ...มากเกินไปเสียแล้ว” นางชะงักชั่วขณะ นึกไม่ออกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาโต้แย้งท่านยายรู้สึกอึดอัดเต็มอก เหตุผลที่เคยคิดไว้แต่แรก ก็ถูกตนหักล้างไปหมดแล้ว เกรงว่าจะตกหลุมพลางเขาเข้าแล้วลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องขององค์หญิงอวี้หยางและตระกูลหนิงที่เกิดขึ้นกะทันหัน หลานยังไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ รีบแต่งงานกับชิงลั่วก่อน จะได้ไม่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ"เขาสีหน้าเคร่งเครียดและดูจริงจัง เหลือบมองชิงลั่วราวกับเป็นห่วงอย่างมาก ท่านยายก็ค่อย ๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแม้เขาจะใช้กลอุบายจริง ๆ ทว่าใจที่เป็นห่วงซูชิงลั่วก็เป็นเรื่องจริงช่างเหอะท่านยายกัดฟัน “สามวันสั้นไป เพียงส่งจดหมายเชื้อเชิญแขกเกรงว่าก็ต้องใช้เวลาสามวันแล้ว เจ็ดวัน
หลังกินมื้ออาหาร ทั้งสองเริ่มปักชุดงานแต่งคนละส่วน ถึงจะบอกว่าทำด้วยกัน แต่คนหลักก็คือจื๋อหยวนเพราะซูชิงลั่วข้อมือยังใช้ได้ไม่ค่อยคล่อง แค่หยิบเข็มยังสั่น ทำได้เพียงปักอย่างช้า ๆ ขณะปักอยู่นั้น ซ่งเหวินมาส่งยาจินฉวงให้กับซูชิงลั่ว บอกว่าเป็นคำสั่งของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วจึงวางเข็มและด้ายลง ได้พักสักหน่อยพอดี และให้สาวใช้รับยามาลู่เหิงจือทั้งต้องเตรียมงานแต่ง ต้องสะสางเรื่องที่เหลือ ยังมีเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยหรือ ตกลงเขาทีสมองกี่อันกันแน่ซูชิงลั่วเอ่ยถาม “บาดแผลของท่านชายสามเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่งเหวินยิ้มตอบ “แม่นางวางใจได้ ข้าเพิ่งเปลี่ยนยาให้ท่านอ๋อง ไม่ร้ายแรง ไม่กระทบกับงานแต่งอย่างแน่นอน” “…” ใครถามว่าจะกระทบกับงานแต่งหรือไม่เล่า ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำทันที แล้วไล่ซ่งเหวินออกไปพอซ่งเหวินกลับไป ก็รีบไปกระซิบข้างหูข้างหูลู่เหิงจือเพื่อขอความดีความชอบ “คุณหนูซูกำลังยุ่งกับการปักชุดแต่งงานกับจื๋อหยวนยุ่งขนาดนั้นยังมีเวลามาถามถึงบาดแผลของท่านอีก แสดงว่าเป็นห่วงท่านมาก”ลู่เหิงจือเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็เหลือบมองเขา “ตรอกปาเถียวเตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
วันแต่งงาน ซูชิงลั่วตื่นแต่เช้ามืด หลังจากกินมื้อาหารเช้าอย่างเรียบง่ายแล้ว ก็เริ่มแต่งหน้าทำผม ท่านยายหาแม่เฒ่าที่ทำผมและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมาหวีผมทรงใจเดียวให้โดยเฉพาะ และมีสาวใช้มาทาแป้งเขียนคิ้วทาปากให้ เป็นครั้งแรกที่แต่งชุดเต็มยศ คอรู้สึกเมื่อยล้าเพราะเครื่องประดับหนักมาก แต่การแต่งกายเช่นนี้ดูสง่างามและหรูหรา ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อฟ้าเริ่มสาง เสียงประทัดดังขึ้นหน้าประตู นางได้รับการพยุงจากจื๋อหยวนไปร่ำลาญาติฝ่ายหญิง ญาติฝ่ายหญิงที่แท้จริงมีเพียงท่านยาย ทว่าเหอซื่อก็ออกมาหนุนหลังนาง ส่วนเฉียนซื่อได้ไปเตรียมตัวที่ตรอกปาเถียวก่อนแล้ว เพียงไปพักที่ตรอกปาเถียวไม่กี่คืนก็จะกลับมา ซูชิงลั่วตั้งใจไว้ก่อนเข้าประตูว่าจะไม่ร้องไห้ เพื่อไม่ให้ท่านยายเสียใจ แต่สุดท้ายแล้วงานแต่งก็คืองานแต่ง เมื่อนางก้าวเข้าไปในห้องและเห็นใบหน้าอันเมตตาและแก่ชราของท่านยาย น้ำตาก็ไหลพรากออกมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ย้ายจากจินหลิงมายังเมืองหลวงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผุดขึ้นในใจ แล้วค่อย ๆ จางหายไป สุดท้ายเหลือเพียงความขมขื่นนางคุกเข่าหมอบกราบ มือของท่านยายที่สั่นเทายื่นอยู่กลางอ
ลู่เหิงจือเตรียมสินสอดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแปดหีบเลยหรือเวลาสั้นเพียงนี้ทำได้อย่างไรกัน สินเดิมของนางก็รวมได้หนึ่งร้อยยี่สิบหีบจื๋อหยวนเห็นนางทำสีหน้าประหลาดใจ จึงรีบเอ่ยว่า “จะมีอะไรให้แปลกใจหรือ นายท่านคงคิดจะแต่งงานกับแม่นางมานานแล้ว ตั้งแต่สามเดือนก่อนก็เตรียมสินสอดเกือบครบแล้ว” ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปากเขิยอาย คงเป็นได้แค่เช่นนี้ ไม่นานนัก สาวใช้ข้างกายเจียงหมัวมัวก็มาเคาะประตูและส่งอาหารมาให้ ไม่อาจให้คนนอกเห็นใบหน้าเจ้าสาว ฉู่หมัวมัวจึงเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง รับกล่องอาหารเข้ามาแล้วปิดประตู นางจัดวางอาหาร “ข้างนอกมีแขกจำนวนมาก นายท่านคงเข้ามายามดึกเลย ยังเช้าอยู่ แม่นางกินรองท้องก่อน” ซูชิงลั่วพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาเอ่ยถามต่อว่า “แล้วพวกเจ้าล่ะ” ฉู่หมัวมัวอุทาน “ไอ้หยา” ออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่ลือกันว่าแม่นางจิตใจดี เวลานี้ยังนึกถึงพวกข้าอีก ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูตระกูลใดออกเรือนแล้ว หมัวมัวและสาวใช้ข้างกายจะได้กินข้าวในวันนั้น เพราะคงยุ่งจนไม่มีเวลาได้ดื่มน้ำด้วยซ้ำ ท่านกินของท่านไปเถอะ วันนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่น” ซูชิงลั่วจึงปิดปากชั่วคราว ก้มศีรษะกินข้าวอา
คู่เทียนแดงส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบสงบ และภายใต้แสงสลัว ใบหน้าคมกริบของลู่เหิงจือดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ ความอ่อนโยนนี้ทำให้ซูชิงลั่วผ่อนคลายความตึงเครียดลง นางมองลู่เหิงจือด้วยท่าทางสงสัย และอดเอ่ยคำถามในใจไม่ได้“นี่ไม่ใช่วิธีดื่มสุรามงคลที่เขียนไว้ในบทบรรยายหรอกหรือ”ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกว่าการดื่มสุรามงคลอย่างถูกต้องตามประเพณีควรเป็นแบบที่หมัวมัวสอน คือคู่บ่าวสาวชนถ้วยดื่มพร้อมกันเท่านั้น วิธีของลู่เหิงจือ ราวกับปรากฏในบทบรรยายที่นางแอบอ่านเรื่องของหญิงงามในหอนางโลมลักลอบแต่งงานกับบัณฑิต เป็นวิธีการที่โรแมนติกมาก และสุดท้ายหญิงงามผู้นั้นก็ป้อนสุราในปากให้กับบัณฑิต พอคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีขณะอยู่ต่อหน้าลู่เหิงจือ นางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร“อ่อ เจ้าเคยอ่านบทบรรยายด้วยหรือ” เสียงของลู่เหิงจือฟังดูมีความหมายลึกซึ้ง ซูชิงลั่วรีบตอบตะกุกตะกักว่า “ก็... ก็ไม่หรอก ข้าได้ยินเหล่าสาวใช้พูดกันน่ะ ได้ยินมา...”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้น เจ้าเชื่อสาวใช้ ไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ” สายตาของเขานิ่งสงบ“แน่นอนว่าไม่ใช่สิ” ซูชิงลั่วไม่ค่อยเข้าใจเรื่อ
“อืม”ซูชิงลั่วจ้องมองเขาด้วยดวงตางดงาม “หมายความว่าฝ่าบาทไม่ทรงพิโรธที่เจ้าทำร้ายองค์หญิงอวี้หยางใช่หรือไม่” นางก็เพิ่งมาทราบจากซ่งเหวิน วันนั้นลู่เหิงจือเพื่อตามหานาง ทำให้องค์หญิงอวี้หยางมีรอยขีดข่วนบริเวณใบหน้า เรื่องนี้แน่นอนว่าไม่ได้แพร่กระจายไปทั่ว องค์หญิงอวี้หยางหลังจากนั้นก็อยู่แต่ในตำหนัก ไม่เคยออกไปที่ใด ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ “เรื่องนี้ไม่ได้ถึงพระกรรณของฝ่าบาท ข้าไปหาอ๋องตวนเพื่อไกล่เกลี่ยน่ะ” อ๋องตวนไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอยู่แล้ว เขามีบุคลิกเจ้าสำราญมาโดยตลอด คิดว่าหลานสาวเพียงแค่อยากจะสมสู่กับลู่เหิงจือ ถึงยินดีช่วยเหลือ ใครจะไปคาดคิดว่าอวี้หยางจะหักหลัง ร่วมมือกับคนอื่นลักพาตัวว่าที่ฮูหยินของลู่เหิงจือไป เรื่องนี้หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ คงดูไม่ดีทั้งสองฝ่าย คนภายนอกแม้เห็นว่าอวี้หยางได้รับความโปรดปราน เพราะฮองเฮาองค์ก่อนสวรรคต ฝ่าบาทพูดให้ดูดีคือโปรดปราน ทว่าพูดไม่ดีก็คือไม่อยากยุ่งเกี่ยว ในวังหลังนางก็ไม่มีอำนาจใด ๆ กลายเป็นคนชายขอบไปเสียแล้วอ๋องตวนครุ่นคิดดูแล้ว ปิดเรื่องนี้ไว้ดีที่สุด เพราะการใช้ยารักกับอัครมหาเสนาบดีคงไม่ใช่เรื่องดีแน่อวี้หยางแม้จะเกลียด
พลุสว่างไสวในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด ส่องแสงไปยังใบหน้าอันงดงามของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่...จุดให้ข้าโดยเฉพาะหรือ” ลู่เหิงจือพยักหน้า ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและในใจก็ผุดความหวานซึ้งขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดอะไร พลุก็ระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าดอกแล้วดอกเล่าสีชมพู สีเหลือง สีแดง สีขาว... มองไม่สายตา แต่เพราะกลัวว่าจะหนาว ลู่เหิงจือจึงสั่งให้คนเตรียมเสื้อคลุมมาให้และคลุมให้นางด้วยตัวเอง เมื่อรู้สึกถึงการกระทำของเขา ซูชิงลั่วก็สติหลุดไปชั่วขณะ แม้สายตาจะยังคงมองไปที่พลุ แต่หางตาก็เหลือบมองใบหน้าของลู่เหิงจือ เขาสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าชอบพลุเป็นพิเศษ- เขาไม่ชอบ แต่ก็ยังจัดตรียมไว้ให้นาง ลู่เหิงจือเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของนางที่มองมา จึงก้มศีรษะลงทันทีซูชิงลั่วแทบจะหันสายตากลับในทันที นางเงยหน้าขึ้นมองพลุอย่างไม่กระพริบตา และไม่กล้าเบนความสนใจไปที่อื่นอีกต่อไปร่างกายที่รู้สึกหนาวสั่นก็อบอุ่นขึ้นเพราะผ้าคลุมผืนนี้ ทำให้นางสามารถยืนอยู่บนแท่นสูงชมการแสดงพลุอันงดงามได้อย่างสบายใจ หลังจากจบลง นางยังรู้สึกไม่จุใจลู่เหิงจือมองใบหน้าของนาง “ชอบหรือไม่”