Share

บทที่ 86

Author: หอมดังเดิม
ซ่งเหวินรู้ตัวว่าตนพูดผิด จึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รีบถอยออกไปพร้อมกับปิดประตู

คำพูดนี้ทำให้หลังจากนั้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วรับประทานอาหารด้วยความเงียบตลอดเวลา ไม่มีใครพูดอะไรเลย

ซูชิงลั่วเคยคิดจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปลอบโยนระหว่างนั้น แต่พอนึกถึงคำพูดของซ่งเหวิน ก็รู้สึกว่าไม่ควรปลอบจะดีกว่า ประเดี๋ยวจะพูดอะไรไม่เหมาะสมออกมาจะยิ่งอึดอัด

นางจึงก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ

ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ หิวมากชัด ๆ กลับรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเท่าที่เคยกินในวัดเซิ่งอัน ดูเหมือนฝีมือการทำอาหารของซ่งเหวินจะแย่ลง

อาจเป็นเพราะวันนี้เวลาเร่งรัดไปเสียหน่อย เขาจึงแสดงฝีมือออกมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร

หรืออาจจะไม่มีเวลาทำอาหาร จึงให้คนอื่นทำแทน?

ทว่ายามนี้ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก แค่อิ่มท้องก็ถือว่าดีมากแล้ว

เมื่อเห็นนางวางตะเกียบลง ลู่เหิงจือจึงเอ่ยถามว่า “อิ่มแล้วหรือ”

ซูชิงลั่วพยักหน้า

ลู่เหิงจือไม่รู้ว่ากินอิ่มแล้วหรือไม่ ก็วางตะเกียบลง แล้วเก็บจานชามใส่กล่องอาหาร แล้วยื่นออกไป

หลังจากถูกช่วยออกมาก็ผวาตลอดเวลา ขณะนี้ซูชิงลั่วถึงมีเวลาเอ่ยถามว่า “แล้วเรื่องของหนิงไห่ลู่จะทำอย่างไรดี”

Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 87

    ลู่เหิงจือก้มศีรษะลง “ตื่นแล้วหรือ” เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อใดไม่รู้ เสื้อทรงยาวสีเขียว ให้ความรู้สึกถึงความสง่างามซูชิงลั่วพยักหน้า ผลักเขาเบา ๆ อย่างเขินอาย จึงถึงโอกาสปล่อยนางลง นางเปิดม่านรถม้ามอง ท้องฟ้ามืดครึ้ม พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงจาง ๆ อยู่ทางทิศตะวันตก ราวกับกำลังล้างหมึกออกจากกระดาษ ยังไม่ถึงเวลาเปิดประตูเมือง ก็หมายความว่า ประตูเมืองเปิดให้พวกเขาโดยเฉพาะ ซูชิงลั่วรู้สึกเนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ลู่เหิงจือจึงเอ่ยว่า “ต้องปิดเรื่องนี้กับทุกคน เจ้าต้องกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่ ทางฝั่งท่านยายจัดการทุกอย่างไว้แล้ว” มิเช่นนั้น หญิงสาวค้างคืนข้างนอก เสียชื่อเสียง แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยากที่จะปิดปากคนทั้งเมือง ซูชิงลั่วพยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านชายสาม” นึกไม่ถึงว่าจะกล่าวขอบคุณเขา ไม่โกรธที่เขาแม้จะทำนางหาย กลับยังไปขอบคุณเขา และไม่ได้ตำหนิเขาเลยแม้แต่น้อยลู่เหิงจือมองนางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือ” ซูชิงลั่วสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว “ใบหน้าข้ามีอะไรเปื้อนหรือ” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสวยมาก”“...”

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 88

    นึกไม่ถึงว่าจะมีกลอุบายเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านยายจะรู้สึกไม่ชอบลู่เหิงจือตั้งแต่แรก ทั้งให้นางอยู่ห่าง ๆ และเตือนให้คิดให้รอบคอบก่อนแต่งงาน ทว่าไม่รู้ว่าท่านยายจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของลู่เหิงจือหรือไม่ท่านยายก็ดูตกตะลึงมาก นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะนึกว่าตนหูฝาด “สามวันรึ”ลู่เหิงจือ “ขอครับ” ท่านยาย “จะ...มากเกินไปเสียแล้ว” นางชะงักชั่วขณะ นึกไม่ออกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาโต้แย้งท่านยายรู้สึกอึดอัดเต็มอก เหตุผลที่เคยคิดไว้แต่แรก ก็ถูกตนหักล้างไปหมดแล้ว เกรงว่าจะตกหลุมพลางเขาเข้าแล้วลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องขององค์หญิงอวี้หยางและตระกูลหนิงที่เกิดขึ้นกะทันหัน หลานยังไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ รีบแต่งงานกับชิงลั่วก่อน จะได้ไม่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ"เขาสีหน้าเคร่งเครียดและดูจริงจัง เหลือบมองชิงลั่วราวกับเป็นห่วงอย่างมาก ท่านยายก็ค่อย ๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแม้เขาจะใช้กลอุบายจริง ๆ ทว่าใจที่เป็นห่วงซูชิงลั่วก็เป็นเรื่องจริงช่างเหอะท่านยายกัดฟัน “สามวันสั้นไป เพียงส่งจดหมายเชื้อเชิญแขกเกรงว่าก็ต้องใช้เวลาสามวันแล้ว เจ็ดวัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 89

    หลังกินมื้ออาหาร ทั้งสองเริ่มปักชุดงานแต่งคนละส่วน ถึงจะบอกว่าทำด้วยกัน แต่คนหลักก็คือจื๋อหยวนเพราะซูชิงลั่วข้อมือยังใช้ได้ไม่ค่อยคล่อง แค่หยิบเข็มยังสั่น ทำได้เพียงปักอย่างช้า ๆ ขณะปักอยู่นั้น ซ่งเหวินมาส่งยาจินฉวงให้กับซูชิงลั่ว บอกว่าเป็นคำสั่งของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วจึงวางเข็มและด้ายลง ได้พักสักหน่อยพอดี และให้สาวใช้รับยามาลู่เหิงจือทั้งต้องเตรียมงานแต่ง ต้องสะสางเรื่องที่เหลือ ยังมีเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยหรือ ตกลงเขาทีสมองกี่อันกันแน่ซูชิงลั่วเอ่ยถาม “บาดแผลของท่านชายสามเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่งเหวินยิ้มตอบ “แม่นางวางใจได้ ข้าเพิ่งเปลี่ยนยาให้ท่านอ๋อง ไม่ร้ายแรง ไม่กระทบกับงานแต่งอย่างแน่นอน” “…” ใครถามว่าจะกระทบกับงานแต่งหรือไม่เล่า ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำทันที แล้วไล่ซ่งเหวินออกไปพอซ่งเหวินกลับไป ก็รีบไปกระซิบข้างหูข้างหูลู่เหิงจือเพื่อขอความดีความชอบ “คุณหนูซูกำลังยุ่งกับการปักชุดแต่งงานกับจื๋อหยวนยุ่งขนาดนั้นยังมีเวลามาถามถึงบาดแผลของท่านอีก แสดงว่าเป็นห่วงท่านมาก”ลู่เหิงจือเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็เหลือบมองเขา “ตรอกปาเถียวเตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 90

    วันแต่งงาน ซูชิงลั่วตื่นแต่เช้ามืด หลังจากกินมื้อาหารเช้าอย่างเรียบง่ายแล้ว ก็เริ่มแต่งหน้าทำผม ท่านยายหาแม่เฒ่าที่ทำผมและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมาหวีผมทรงใจเดียวให้โดยเฉพาะ และมีสาวใช้มาทาแป้งเขียนคิ้วทาปากให้ เป็นครั้งแรกที่แต่งชุดเต็มยศ คอรู้สึกเมื่อยล้าเพราะเครื่องประดับหนักมาก แต่การแต่งกายเช่นนี้ดูสง่างามและหรูหรา ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อฟ้าเริ่มสาง เสียงประทัดดังขึ้นหน้าประตู นางได้รับการพยุงจากจื๋อหยวนไปร่ำลาญาติฝ่ายหญิง ญาติฝ่ายหญิงที่แท้จริงมีเพียงท่านยาย ทว่าเหอซื่อก็ออกมาหนุนหลังนาง ส่วนเฉียนซื่อได้ไปเตรียมตัวที่ตรอกปาเถียวก่อนแล้ว เพียงไปพักที่ตรอกปาเถียวไม่กี่คืนก็จะกลับมา ซูชิงลั่วตั้งใจไว้ก่อนเข้าประตูว่าจะไม่ร้องไห้ เพื่อไม่ให้ท่านยายเสียใจ แต่สุดท้ายแล้วงานแต่งก็คืองานแต่ง เมื่อนางก้าวเข้าไปในห้องและเห็นใบหน้าอันเมตตาและแก่ชราของท่านยาย น้ำตาก็ไหลพรากออกมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ย้ายจากจินหลิงมายังเมืองหลวงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผุดขึ้นในใจ แล้วค่อย ๆ จางหายไป สุดท้ายเหลือเพียงความขมขื่นนางคุกเข่าหมอบกราบ มือของท่านยายที่สั่นเทายื่นอยู่กลางอ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 91

    ลู่เหิงจือเตรียมสินสอดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแปดหีบเลยหรือเวลาสั้นเพียงนี้ทำได้อย่างไรกัน สินเดิมของนางก็รวมได้หนึ่งร้อยยี่สิบหีบจื๋อหยวนเห็นนางทำสีหน้าประหลาดใจ จึงรีบเอ่ยว่า “จะมีอะไรให้แปลกใจหรือ นายท่านคงคิดจะแต่งงานกับแม่นางมานานแล้ว ตั้งแต่สามเดือนก่อนก็เตรียมสินสอดเกือบครบแล้ว” ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปากเขิยอาย คงเป็นได้แค่เช่นนี้ ไม่นานนัก สาวใช้ข้างกายเจียงหมัวมัวก็มาเคาะประตูและส่งอาหารมาให้ ไม่อาจให้คนนอกเห็นใบหน้าเจ้าสาว ฉู่หมัวมัวจึงเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง รับกล่องอาหารเข้ามาแล้วปิดประตู นางจัดวางอาหาร “ข้างนอกมีแขกจำนวนมาก นายท่านคงเข้ามายามดึกเลย ยังเช้าอยู่ แม่นางกินรองท้องก่อน” ซูชิงลั่วพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาเอ่ยถามต่อว่า “แล้วพวกเจ้าล่ะ” ฉู่หมัวมัวอุทาน “ไอ้หยา” ออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่ลือกันว่าแม่นางจิตใจดี เวลานี้ยังนึกถึงพวกข้าอีก ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูตระกูลใดออกเรือนแล้ว หมัวมัวและสาวใช้ข้างกายจะได้กินข้าวในวันนั้น เพราะคงยุ่งจนไม่มีเวลาได้ดื่มน้ำด้วยซ้ำ ท่านกินของท่านไปเถอะ วันนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่น” ซูชิงลั่วจึงปิดปากชั่วคราว ก้มศีรษะกินข้าวอา

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 92

    คู่เทียนแดงส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบสงบ และภายใต้แสงสลัว ใบหน้าคมกริบของลู่เหิงจือดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ ความอ่อนโยนนี้ทำให้ซูชิงลั่วผ่อนคลายความตึงเครียดลง นางมองลู่เหิงจือด้วยท่าทางสงสัย และอดเอ่ยคำถามในใจไม่ได้“นี่ไม่ใช่วิธีดื่มสุรามงคลที่เขียนไว้ในบทบรรยายหรอกหรือ”ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกว่าการดื่มสุรามงคลอย่างถูกต้องตามประเพณีควรเป็นแบบที่หมัวมัวสอน คือคู่บ่าวสาวชนถ้วยดื่มพร้อมกันเท่านั้น วิธีของลู่เหิงจือ ราวกับปรากฏในบทบรรยายที่นางแอบอ่านเรื่องของหญิงงามในหอนางโลมลักลอบแต่งงานกับบัณฑิต เป็นวิธีการที่โรแมนติกมาก และสุดท้ายหญิงงามผู้นั้นก็ป้อนสุราในปากให้กับบัณฑิต พอคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีขณะอยู่ต่อหน้าลู่เหิงจือ นางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร“อ่อ เจ้าเคยอ่านบทบรรยายด้วยหรือ” เสียงของลู่เหิงจือฟังดูมีความหมายลึกซึ้ง ซูชิงลั่วรีบตอบตะกุกตะกักว่า “ก็... ก็ไม่หรอก ข้าได้ยินเหล่าสาวใช้พูดกันน่ะ ได้ยินมา...”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้น เจ้าเชื่อสาวใช้ ไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ” สายตาของเขานิ่งสงบ“แน่นอนว่าไม่ใช่สิ” ซูชิงลั่วไม่ค่อยเข้าใจเรื่อ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 93

    “อืม”ซูชิงลั่วจ้องมองเขาด้วยดวงตางดงาม “หมายความว่าฝ่าบาทไม่ทรงพิโรธที่เจ้าทำร้ายองค์หญิงอวี้หยางใช่หรือไม่” นางก็เพิ่งมาทราบจากซ่งเหวิน วันนั้นลู่เหิงจือเพื่อตามหานาง ทำให้องค์หญิงอวี้หยางมีรอยขีดข่วนบริเวณใบหน้า เรื่องนี้แน่นอนว่าไม่ได้แพร่กระจายไปทั่ว องค์หญิงอวี้หยางหลังจากนั้นก็อยู่แต่ในตำหนัก ไม่เคยออกไปที่ใด ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ “เรื่องนี้ไม่ได้ถึงพระกรรณของฝ่าบาท ข้าไปหาอ๋องตวนเพื่อไกล่เกลี่ยน่ะ” อ๋องตวนไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอยู่แล้ว เขามีบุคลิกเจ้าสำราญมาโดยตลอด คิดว่าหลานสาวเพียงแค่อยากจะสมสู่กับลู่เหิงจือ ถึงยินดีช่วยเหลือ ใครจะไปคาดคิดว่าอวี้หยางจะหักหลัง ร่วมมือกับคนอื่นลักพาตัวว่าที่ฮูหยินของลู่เหิงจือไป เรื่องนี้หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ คงดูไม่ดีทั้งสองฝ่าย คนภายนอกแม้เห็นว่าอวี้หยางได้รับความโปรดปราน เพราะฮองเฮาองค์ก่อนสวรรคต ฝ่าบาทพูดให้ดูดีคือโปรดปราน ทว่าพูดไม่ดีก็คือไม่อยากยุ่งเกี่ยว ในวังหลังนางก็ไม่มีอำนาจใด ๆ กลายเป็นคนชายขอบไปเสียแล้วอ๋องตวนครุ่นคิดดูแล้ว ปิดเรื่องนี้ไว้ดีที่สุด เพราะการใช้ยารักกับอัครมหาเสนาบดีคงไม่ใช่เรื่องดีแน่อวี้หยางแม้จะเกลียด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 94

    พลุสว่างไสวในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด ส่องแสงไปยังใบหน้าอันงดงามของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่...จุดให้ข้าโดยเฉพาะหรือ” ลู่เหิงจือพยักหน้า ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและในใจก็ผุดความหวานซึ้งขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดอะไร พลุก็ระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าดอกแล้วดอกเล่าสีชมพู สีเหลือง สีแดง สีขาว... มองไม่สายตา แต่เพราะกลัวว่าจะหนาว ลู่เหิงจือจึงสั่งให้คนเตรียมเสื้อคลุมมาให้และคลุมให้นางด้วยตัวเอง เมื่อรู้สึกถึงการกระทำของเขา ซูชิงลั่วก็สติหลุดไปชั่วขณะ แม้สายตาจะยังคงมองไปที่พลุ แต่หางตาก็เหลือบมองใบหน้าของลู่เหิงจือ เขาสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าชอบพลุเป็นพิเศษ- เขาไม่ชอบ แต่ก็ยังจัดตรียมไว้ให้นาง ลู่เหิงจือเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของนางที่มองมา จึงก้มศีรษะลงทันทีซูชิงลั่วแทบจะหันสายตากลับในทันที นางเงยหน้าขึ้นมองพลุอย่างไม่กระพริบตา และไม่กล้าเบนความสนใจไปที่อื่นอีกต่อไปร่างกายที่รู้สึกหนาวสั่นก็อบอุ่นขึ้นเพราะผ้าคลุมผืนนี้ ทำให้นางสามารถยืนอยู่บนแท่นสูงชมการแสดงพลุอันงดงามได้อย่างสบายใจ หลังจากจบลง นางยังรู้สึกไม่จุใจลู่เหิงจือมองใบหน้าของนาง “ชอบหรือไม่”

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status