“ไป!” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็นชา ขี่ม้าออกจากเมืองทันทีพร้อมบ่าวรับใช้ประจำจวนและองค์รักษ์ลับที่ยืมมา*ผ้าสีดำที่ปิดตาถูกถอดออกในห้องลับยามนี้มีการจุดเทียนสีแดงจำนวนมากเรียงรายอยู่รอบ ๆ สร้างบรรยากาศอันน่าขนลุกและน่ากลัวขึ้นมา ซูชิงลั่วเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มองหนิงไห่ลู่ที่ค่อย ๆ เช็ดแส้สีดำด้วยผ้าอย่างช้าๆ บนแส้นั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยคราบเลือดเก่าที่เปลี่ยนเป็นสีสนิมติดอยู่ ขณะที่เขาเช็ด ก็ยิ้มและหันมองซูชิงลั่วที่เนื้อตัวสั่นเทาเป็นระยะ ๆ - นี่คือจุดประสงค์ที่เขาเอาผ้าปิดตาของซูชิงลั่วออก ยิ่งนางกลัว เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ท่ามกลางแสงเทียนสีแดง เขาเก็บแส้ที่เช็ดแล้วไว้ข้าง ๆ แล้วไปเช็ดเชือกสีแดงยาวอีกเส้นหนึ่งหลังจากเช็ดจากหัวจรดปลาย เขาก็หัวเราะออกมา “คืนนี้อีกยาวนาน พวกเราค่อย ๆ เล่นสนุกกัน”มือข้างหนึ่งกำเชือกสีแดง อีกมือหนึ่งถือกรรไกร เดินมาข้างหน้านางอย่างช้า ๆ แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อบริเวณลำคอของนาง ความเย็นเยือกราวกับเหล็กกล้าไหลผ่านกระดูกไหปลาร้าของนาง ซูชิงลั่วหลับตา แล้วท่องคำว่าลาก่อนในใจ กำลังจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็ได้ยินเสียงคล้ายหนังสติ๊ก แล้วเห็นหน
ซูชิงลั่วยังไม่ทันจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ต้องกลัวจากเขา ก็ได้ยินเสียงของร่างกายหนึ่งกระแทกพื้นอย่างแรง นางเผลอหันไป แต่ถูกมือของลู่เหิงจือที่ยื่นมาบังไว้ เมื่อเข้าใจว่าเขาทำอะไรลงไป ซูชิงลั่วร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว แผ่นหลังรู้สึกชาขึ้นมาเขา... เขาฆ่าคนเพื่อนาง! ฆ่าหนิงไห่ลู่ หลานชายของกุ้ยเฟยองค์ปัจจุบัน เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร “เหิงจือ เจ้า...” เซี่ยถิงอวี้ขมวดคิ้ว ผ่านไปชั่วครู่ถึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว ก็ช่างเถอะ” มือของลู่เหิงจือค่อย ๆ กดลงบนไหล่ของซูชิงลั่วราวกับเป็นการปลอบโยน ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นี่ให้เจ้าจัดการ ข้าพานางไปก่อน”ซูชิงลั่วตกใจกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะจนกระทั่งลู่เหิงจือพยุงนางขึ้นรถม้า นางยังคงเกาะแขนเสื้อของเขาไว้ด้วยความหวาดกลัว รถม้าวิ่งไปไกลแล้ว นางถึงได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไร”ท้องฟ้ามืดครึ้ม น่าจะเพราะรีบออกมา รถม้าจึงไม่มีโคมไฟซูชิงลั่วรีบคลำขึ้นไปตามแขนเสื้อของเขาด้วยความร้อนรน “บาดเจ็บตรงไหนหรือ ข้า...”มือถูกเขากดไว้ทันที “อย่าขยับ”
ยามนั้นนางยังคงเป็นเด็กสาวตัวน้อยความทรงจำดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงมีหยาดน้ำตาอุ่น ๆ ตกลงบนแขนของเขา ลู่เหิงจือเอ่ยปาก “ทำไมถึงร้องไห้เล่า”ซูชิงลั่วส่ายศีรษะ เช็ดน้ำตาพลางถามว่า “ทำไมเจ้าถึงกระตุ้นแผลตลอดเวลา”ถูกจับได้แล้วสินะความคิดละเอียดอ่อนเหมือนกันนะเนี่ยลู่เหิงจือปลอบโยนเสียงเบา “ไม่เป็นไรจริง ๆ” เขายกมือขวาอยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่พอสัมผัสผิวแก้มของนาง ร่างกายของเขาก็ราวกับถูกราดด้วยสุรารสร้อนแรง ทำให้ระเบิดขึ้นมาทันที เขากำมือแน่น ดึงมือกลับมาอย่างแรง หันหน้าหนี หายใจหอบ “เจ็บแผลอีกแล้วหรือ” ซูชิงลั่วเอ่ยพลางเข้าไปดูแผลของเขา พอเข้าใกล้เขาก็ดึงนางเข้าไปกอดทันทีนางตกละลึงร่างกายของนางถูกเขารัดแน่น นั่งลงบนตัก และมือก็คว้าเสื้อของเขาไว้โดยไม่รู้ตัวร่างกายของเขาร้อนรุ่มมาก คล้ายกับเปียกชุ่มเพราะผ้าตรงปกเสื้อเปียกชื้นยังไม่ทันได้ครุ่นคิดว่าจู่ ๆ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ ปฏิกิริยาแรกคือเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา“เจ้าไข้ขึ้นหรือ ทำไมถึงร้อนอย่างกับ...” ซูชิงลั่วหยุดชะงัก และรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขา จึงใบหน้าแดงก้ำขึ้นทันที
ลมหายใจอุ่น ๆ พัดเข้าไปในหู ทำให้รู้สึกคันยิบ ๆซูชิงลั่วมือสั่นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงริมฝีปากอันเร้าร้อนของลู่เหิงจือ คล้ายกับจะสัมผัสใบหูของนางเบา ๆ ทำให้รู้สึกอึดอัดมาก จะ...ให้เขาลวนลามกลับดีหรือไม่เขาจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะครั้งก่อนเขาช่วยนาง จึงต้องการให้นางช่วยเขากลับใช่หรือไม่นางจับปกเสื้อของเขาแน่นขึ้น ก้มศีรษะบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณ หรือเพราะกลิ่นน้ำหอมอันเย้ายวนบนร่างกายทำให้นางลุ่มหลงกันแน่ นางบีบเสียงเอ่ยราวกับเสียงยุงว่า “หากเจ้าอยาก ก็...ได้”สองคำนั้นแทบฟังไม่ได้ยินเส้นแบ่งราวกับถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง ลู่เหิงจือขยับริมฝีปากบางลงมา ลมหายใจรดที่แก้มนาง ค่อย ๆ เลื่อนตามแนวกรามมาที่ริมฝีปากของนาง หยุดชั่วขณะ แล้วมือก็ย้ายไปที่ท้ายทอยของนาง ก่อนจะบรรเลงจูบอย่างไม่ลังเลในสมองเสียง “ตู้ม” ดังขึ้นราวกับบางอย่างระเบิดกระแสไฟฟ้าซ่า ๆ วิ่งตั้งแต่ริมฝีปากกระจาบไปทั่วร่างกาย แสงจันทราสาดส่องเข้ามาในห้อง ส่องกระทบร่างกายเขาริมฝีปากของเขามีอุณหภูมิร้อนจัด รุกเข้ามาหานางราวกับจะยึดครอง ทำให้นางรับมือไม่ไหว สติของนางถูกจูบนี้กลืนกิน
ซ่งเหวินรู้ตัวว่าตนพูดผิด จึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รีบถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูคำพูดนี้ทำให้หลังจากนั้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วรับประทานอาหารด้วยความเงียบตลอดเวลา ไม่มีใครพูดอะไรเลย ซูชิงลั่วเคยคิดจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปลอบโยนระหว่างนั้น แต่พอนึกถึงคำพูดของซ่งเหวิน ก็รู้สึกว่าไม่ควรปลอบจะดีกว่า ประเดี๋ยวจะพูดอะไรไม่เหมาะสมออกมาจะยิ่งอึดอัด นางจึงก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ หิวมากชัด ๆ กลับรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเท่าที่เคยกินในวัดเซิ่งอัน ดูเหมือนฝีมือการทำอาหารของซ่งเหวินจะแย่ลงอาจเป็นเพราะวันนี้เวลาเร่งรัดไปเสียหน่อย เขาจึงแสดงฝีมือออกมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะไม่มีเวลาทำอาหาร จึงให้คนอื่นทำแทน?ทว่ายามนี้ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก แค่อิ่มท้องก็ถือว่าดีมากแล้ว เมื่อเห็นนางวางตะเกียบลง ลู่เหิงจือจึงเอ่ยถามว่า “อิ่มแล้วหรือ”ซูชิงลั่วพยักหน้าลู่เหิงจือไม่รู้ว่ากินอิ่มแล้วหรือไม่ ก็วางตะเกียบลง แล้วเก็บจานชามใส่กล่องอาหาร แล้วยื่นออกไปหลังจากถูกช่วยออกมาก็ผวาตลอดเวลา ขณะนี้ซูชิงลั่วถึงมีเวลาเอ่ยถามว่า “แล้วเรื่องของหนิงไห่ลู่จะทำอย่างไรดี”
ลู่เหิงจือก้มศีรษะลง “ตื่นแล้วหรือ” เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อใดไม่รู้ เสื้อทรงยาวสีเขียว ให้ความรู้สึกถึงความสง่างามซูชิงลั่วพยักหน้า ผลักเขาเบา ๆ อย่างเขินอาย จึงถึงโอกาสปล่อยนางลง นางเปิดม่านรถม้ามอง ท้องฟ้ามืดครึ้ม พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงจาง ๆ อยู่ทางทิศตะวันตก ราวกับกำลังล้างหมึกออกจากกระดาษ ยังไม่ถึงเวลาเปิดประตูเมือง ก็หมายความว่า ประตูเมืองเปิดให้พวกเขาโดยเฉพาะ ซูชิงลั่วรู้สึกเนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่านางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ลู่เหิงจือจึงเอ่ยว่า “ต้องปิดเรื่องนี้กับทุกคน เจ้าต้องกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่ ทางฝั่งท่านยายจัดการทุกอย่างไว้แล้ว” มิเช่นนั้น หญิงสาวค้างคืนข้างนอก เสียชื่อเสียง แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยากที่จะปิดปากคนทั้งเมือง ซูชิงลั่วพยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านชายสาม” นึกไม่ถึงว่าจะกล่าวขอบคุณเขา ไม่โกรธที่เขาแม้จะทำนางหาย กลับยังไปขอบคุณเขา และไม่ได้ตำหนิเขาเลยแม้แต่น้อยลู่เหิงจือมองนางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือ” ซูชิงลั่วสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว “ใบหน้าข้ามีอะไรเปื้อนหรือ” ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสวยมาก”“...”
นึกไม่ถึงว่าจะมีกลอุบายเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านยายจะรู้สึกไม่ชอบลู่เหิงจือตั้งแต่แรก ทั้งให้นางอยู่ห่าง ๆ และเตือนให้คิดให้รอบคอบก่อนแต่งงาน ทว่าไม่รู้ว่าท่านยายจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของลู่เหิงจือหรือไม่ท่านยายก็ดูตกตะลึงมาก นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะนึกว่าตนหูฝาด “สามวันรึ”ลู่เหิงจือ “ขอครับ” ท่านยาย “จะ...มากเกินไปเสียแล้ว” นางชะงักชั่วขณะ นึกไม่ออกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาโต้แย้งท่านยายรู้สึกอึดอัดเต็มอก เหตุผลที่เคยคิดไว้แต่แรก ก็ถูกตนหักล้างไปหมดแล้ว เกรงว่าจะตกหลุมพลางเขาเข้าแล้วลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องขององค์หญิงอวี้หยางและตระกูลหนิงที่เกิดขึ้นกะทันหัน หลานยังไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ รีบแต่งงานกับชิงลั่วก่อน จะได้ไม่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ"เขาสีหน้าเคร่งเครียดและดูจริงจัง เหลือบมองชิงลั่วราวกับเป็นห่วงอย่างมาก ท่านยายก็ค่อย ๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแม้เขาจะใช้กลอุบายจริง ๆ ทว่าใจที่เป็นห่วงซูชิงลั่วก็เป็นเรื่องจริงช่างเหอะท่านยายกัดฟัน “สามวันสั้นไป เพียงส่งจดหมายเชื้อเชิญแขกเกรงว่าก็ต้องใช้เวลาสามวันแล้ว เจ็ดวัน
หลังกินมื้ออาหาร ทั้งสองเริ่มปักชุดงานแต่งคนละส่วน ถึงจะบอกว่าทำด้วยกัน แต่คนหลักก็คือจื๋อหยวนเพราะซูชิงลั่วข้อมือยังใช้ได้ไม่ค่อยคล่อง แค่หยิบเข็มยังสั่น ทำได้เพียงปักอย่างช้า ๆ ขณะปักอยู่นั้น ซ่งเหวินมาส่งยาจินฉวงให้กับซูชิงลั่ว บอกว่าเป็นคำสั่งของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วจึงวางเข็มและด้ายลง ได้พักสักหน่อยพอดี และให้สาวใช้รับยามาลู่เหิงจือทั้งต้องเตรียมงานแต่ง ต้องสะสางเรื่องที่เหลือ ยังมีเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยหรือ ตกลงเขาทีสมองกี่อันกันแน่ซูชิงลั่วเอ่ยถาม “บาดแผลของท่านชายสามเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่งเหวินยิ้มตอบ “แม่นางวางใจได้ ข้าเพิ่งเปลี่ยนยาให้ท่านอ๋อง ไม่ร้ายแรง ไม่กระทบกับงานแต่งอย่างแน่นอน” “…” ใครถามว่าจะกระทบกับงานแต่งหรือไม่เล่า ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำทันที แล้วไล่ซ่งเหวินออกไปพอซ่งเหวินกลับไป ก็รีบไปกระซิบข้างหูข้างหูลู่เหิงจือเพื่อขอความดีความชอบ “คุณหนูซูกำลังยุ่งกับการปักชุดแต่งงานกับจื๋อหยวนยุ่งขนาดนั้นยังมีเวลามาถามถึงบาดแผลของท่านอีก แสดงว่าเป็นห่วงท่านมาก”ลู่เหิงจือเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็เหลือบมองเขา “ตรอกปาเถียวเตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”