เสียงฝนตกพรำๆ นอกหน้าต่างหญิงชราเอ่ยด้วยความจริงจัง : "อันที่จริง ในความสัมพันธ์เครือญาติของเรา ลู่เหิงจือค่อนข้างห่างเหินกับเราอยู่บ้าง แม้จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่กลับไปมาหาสู่กันไม่นับว่าบ่อยนัก ตอนลู่เหิงจืออายุได้สิบสอง พ่อของเขาลู่เหรินจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคประจำตัว ทำให้บ้านขาดเสาหลัก เขาเองก็เข้าเรียนที่เดิมไม่ได้อีก"แม่ของเขามาขอร้องข้า หวังว่าลู่เหิงจือจะได้เรียนหนังสือกับตระกูลลู่ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าย่อมตอบตกลงเป็นธรรมดา"ยามนั้นทำไปก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก แต่ใครจะคิดถึงว่าเขากลับได้เป็นจอหงวน ด้วยความขยันหมั่นเพียรทำให้เขาได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี"สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงไปกว่านั้นคือ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากได้เป็นอัครมหาเสนาบดี คือสั่งประหารลู่จ้งอาแท้ๆ ของเขา โทษฐานปลอมเงิน"หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกราวกับถูกบีบคั้น เอ่ยถาม : "เช่นนั้นอาของเขาปลอมเงินจริงหรือไม่เจ้าคะ"หญิงชราตอบ : "อาของเขาเป็นช่างทำเครื่องเงิน แต่เขาเพียงแค่ผลิตเงินขึ้นมาเล่นๆ สองสามก้อนเท่านั้น โทษไม่ถึงตาย อาสะใภ้ของเขาบอกว่าลู่เหิงจือใช้อำนาจหลวงชำระแค้นส่วนตัว แต่เป็นเพราะเหต
ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนรักอย่างเฉิงไหวมาเยี่ยมพอดีเฉิงไหวเอ่ยถาม : "ข้าได้ยินน้องสาวบอกว่าวันนี้นางไปเดินตลาด เห็นเจ้าถูกลู่เหิงจือทำร้ายเข้าพอดี เจ็บหนักหรือไม่"เรื่องแพร่ออกไปไวเช่นนี้ หนิงไห่ลู่ได้แต่รู้สึกอับอาย : "โชคดีที่เป็นมือซ้าย หากเป็นมือขวา เหอะ ข้ากับลู่เหิงจือต้องตายกันไปข้างหนึ่ง น่าเสียดายที่ยามนี้เขามีอำนาจมากนัก ข้าไม่มีหนทางต่อกรกับเขา"เฉิงไหวหัวร่อ : "หญิงสาวผู้นั้นเป็นเพียงแค่บุตรสาวพ่อค้าที่จวนหย่งซุ่นป๋อรับอุปถัมภ์ไว้ ชื่อเสียงก็ไม่ได้ดีนัก เหตุใดไม่เข้าวังไปขอร้องกุ้ยเฟยให้ไปสู่ขอนางมาเล่า คงจะทำให้ทางนั้นได้ใจน่าดู"ถูกใจหนิงไห่ลู่ยิ่งนักลู่เหิงจือไม่ยอมให้เขาแตะต้องนางผู้นั้น เขาก็จะไปสู่ขอนางกลับมาอยู่ด้วยทุกวันให้ลู่เหิงจือดูหนิงไห่ลู่คิดภาพสีหน้าของลู่เหิงจือหลังจากที่ได้ยินว่าเขาจะสู่ขอนางผู้นั้น และท่าทางที่นางถูกเขาข่มเหงทรมานอยู่ใต้เรือนร่างเขาหลังจากสู่ขอนางมาแล้ว ในใจพลันเกิดความรู้สึกชอบอกชอบใจทันใดนั้นเองเขาก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ : "จริงสิ นางผู้นั้นชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร น้องสาวเจ้ารู้หรือไม่""ซูชิงลั่ว"หนิงไห่ลู่ไม่รอช
ซูชิงลั่วเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจือเพิ่งเข้าวังไปตอนเช้า ตกบ่ายฮ่องเต้ก็ทรงมีราชโองการพระราชทานพิธีแต่งงานให้เลยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรีบร้อนแล้วไปยังโถงรับรองทันที ลู่เหิงจือเองก็กลับมาแล้วเขาไม่มีเวลาถอดชุดพิธีออก ยังคงสวมเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินตัวนั้นอยู่ ราศีของความสูงสง่าเปล่งออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่ากงกงจากในวังที่กำลังแสดงความยินดีกับเขาราวกับดาวกำลังล้อมเดือนเมื่อเห็นนาง เขาก็หันมาพยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดทางซ้ายทีทางขวาที ให้ความรู้สึกเพียบพร้อมเก่งกาจไปทุกเรื่องทว่าซูชิงลั่วกลับหน้าแดงก่ำเพียงเพราะเขามองเธอแค่ผาดเดียว เมื่อเห็นหญิงชราออกมาก็รีบเข้าไปรับทันทีจวนหย่งซุ่นป๋อไม่รู้ว่ามีหนุ่มสาวกี่คนที่ไม่เคยรับพระราชโองการ หญิงชราเองก็ตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่ากันรอจนคนมาครบ จัดโต๊ะบูชาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ฟังกงกงอ่านพระราชโองการ แน่นอนว่ามีลู่เหิงจือเป็นผู้นำหลังจากประกาศพระราชโองการจบ ความกังวลภายในจิตใจของซูชิงลั่วก็สงบลงได้สักที นางถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งนางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มองตรงไปเห็นลู่
"ก่อนหน้านี้ไม่นาน น้องสี่มีสัมพันธ์กับใครอีกคน ถอนหมั้นกับชิงลั่ว หลานคิดว่า ชิงลั่วเพิ่งจะถอนหมั้นแล้วจะหารือเรื่องงานแต่งเลย อาจจะรู้สึกไม่เหมาะสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลานจึงคิดว่าควรรออีกหน่อยแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ แต่กลับไม่คิดว่าจะมีเรื่องชิงลั่วกับหนิงไห่ลู่อีก""หลานไม่อยากรอแล้ว หลังจากที่ถามความสมัครใจของชิงลั่ว ก็ตัดสินใจเข้าวังไปขอพระราชทานงานแต่งทันที""เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างฉุกลหุก ไม่ทันได้บอกท่านย่า หวังว่าท่านย่าจะไม่โกรธ"หลังจากพูดจบ ซูชิงลั่วเกือบจะเชื่อทุกอย่างแล้วจริงๆสมแล้วที่เป็นอัครมหาเสนาบดี สามารถคิดเหตุผลที่น่าเชื่อถือเช่นนี้ได้ภายในเวลาสั้นๆ ช่างน่ายกย่องเสียจริงหญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม : "เช่นนี้ ที่เจ้าไม่ได้สู่ขอใครเลยในช่วงหลายปีมานี้ ก็เพื่อชิงลั่วหรอกหรือ"ลู่เหิงจือตอบ : "ขอรับ"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้เขากล้าพูดทุกอย่างเลยจริงๆ คิดว่าเขาเป็นคนเย็นชาพูดน้อยมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้ในที่สุดหญิงชราก็เบาใจได้สักที น้ำเสียงก็พลอยอ่อนโยนตามไปด้วย : "เด็กดี รีบลุกขึ้นมานั่งเถอะ ข้าเองก็เป็นห่วงชิงลั
หลังจากที่หารือจนได้เวลาพอสังเขปมาแล้ว หญิงชราก็ให้ทั้งสองคนออกไป นางต้องรีบเชิญนางเฉียนและนางเหอมาปรึกษาว่าจะจัดงานเช่นไรดี เนื่องจากเวลากระชั้นชิดมากเกินไปทั้งสองคนออกมาจากห้องของหญิงชราซูชิงลั่วเดินตามหลังลู่เหิงจือ ก้มลงมองปลายเสื้อคลุมพญางูที่สั่นไหวเบาๆ ของเขา ลายเส้นด้ายสีทองพริ้วไหว นึกถึงก่อนหน้านี้ นางก็เคยเดินตามหลังเขาเช่นนี้ ตอนนั้นเขายังเปิดม่านในห้องแทนนางด้วยเพียงแต่ตอนนั้นยังคงอยู่ในฤดูหนาวระหว่างที่กำลังคิดเช่นนี้ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ม่านที่ร้อยด้วยมุกก็ถูกสองมือขาวสะอาดที่เห็นข้อต่อชัดเจนยกขึ้นอย่างช้าๆครั้งนี้ เขาไม่ได้เดินไปก่อน แต่กลับเบี่ยงตัวแล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางไปก่อนแสงแดดเจิดจ้าส่องทะลุม่านมุกเข้ามาดูเหมือนซูชิงลั่วจะถูกแดดส่องจนรู้สึกร้อนผ่าว ระหว่างที่เดินผ่านช่องว่างระหว่างแขนของเขาไป ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวเขา กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นอย่างหนึ่งนางไม่กล้ามองเขา หลังจากที่เดินออกมาแล้ว ได้ยินเสียงม่านมุกกระทบกันดังกังวาล ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงที่ใสสะอาดของเขา"ไปที่เรือนเจ้าหน่อย จะหารือเรื่องงา
โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าลง กระทั่งเขาเข้ามาใกล้ นางถึงจะเห็นว่าเข็มขัดบนเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินของเขามีถุงหอมสีเขียวเข้มของนางแขวนอยู่ หัวใจดวงนั้นของนางเต้นอย่างรุนแรงเขานั่งลง ขณะที่ซูชิงลั่วกำลังจะรินน้ำชาให้เขา มือของเขากลับจับกาน้ำชาอยู่ก่อนแล้ว"ข้าเอง"เขาถือแก้วน้ำชาไว้ในมือ น้ำชาไหลรินลงสู่ถ้วยชาลายครามเขียนสี ท่วงท่าของเขา มองแล้วชวนให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจยิ่งนักเขารินน้ำชาหนึ่งแก้ว ก่อนจะใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ดันถ้วยชามาตรงหน้านางเสียงก้นถ้วยน้ำชาเคลื่อนผ่านโต๊ะอย่างช้าๆ ฟังดูอื้ออึงและสากทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดทว่าลู่เหิงจือกลับดูนิ่งสงบ ไม่รีบร้อนใดๆ แต่บรรยากาศที่เงียบเกินเหตุเช่นนี้ทำให้ซูชิงลั่วเริ่มทำตัวไม่ถูกโชคดีที่ไม่นานนักลู่เหิงจือก็พูดขึ้นมา : "ยามนี้เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจวนลู่ หากจะจัดพิธีแต่งงานที่จวนลู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม แต่จะให้เจ้าย้ายออกไปก็ไม่ได้ ที่ตรอกปาเถียว ข้ามีเรือนอาศัยที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้อยู่ ฉะนั้น ข้าคงทำพิธีร
เป็นไปไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามสงบสติอารมณ์ตอนที่นางให้ของเหล่านั้นกับเขา เขาเพิ่งจะเคยช่วยนางไว้หนเดียว จะคิดเรื่องแต่งงานกับนางได้เช่นไรคงเพราะเขานึกขึ้นมาได้แล้วเย้านางเล่นก็เท่านั้นซูชิงลั่วพูดเสียงเบา : "ได้ ข้าจะนำของสามสิ่งไปเป็นสินเดิม"นางก้มหน้าลงราวกับดอกไม้ตูมที่กำลังเหนียมอาย น้ำเสียงก็ฟังดูเชื่อฟังว่าง่ายปลายนิ้วของลู่เหิงจือลูบไล้อยู่บนถ้วยเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งเพื่อระงับความสั่นไหวเล็กๆ ภายในใจ"ชุดแต่งงานปักทันหรือไม่""ทันเจ้าค่ะ" แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปบ้าง แต่นางจะปักส่วนที่สำคัญเอง ส่วนอื่นที่ไม่ค่อยสำคัญให้จื๋อหยวนทำแทนลู่เหิงจือขานรับ "อืม" เบาๆ "หากจะเพิ่มถุงหอมอีกสักถุงเล่า"ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อยลู่เหิงจือก้มหน้า จงใจมองไปยังถุงหอมที่เอวอย่างไม่ใส่ใจ : "มีเพียงชิ้นเดียว ไม่สะดวกถอดไปซักเท่าใดนัก"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของเขาในทันที ตอบเสียงเบา : "น่าจะทัน แค่ถุงหอมถุงเดียวเท่านั้นเอง"ลู่เหิงจือโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย แสงแดดส่องทะแยงมาจากด้านหลังของเขา เงาของเขาทอดอยู่บนโต๊ะ อยู่ห่างปลายนิ้วของนางเพียงคืบเดียวเท่านั้นนางเริ่มหายใจติดขัด เห็นเงา
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการแต่งงานหลอกๆ นางเองจะถลำลึกมากเกินไปไม่ได้อีกทั้งก่อนหน้าเขาก็เคยบอกไว้แล้วว่าหากนางเจอชายใดที่ถูกใจ เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ เช่นนั้นหากเขาเจอหญิงที่ถูกใจอยากจะรับเข้ามา ก็เป็นเรื่องสมควรเช่นกันหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่นิ่งเรียบของลู่เหิงจือ : "ไม่มีทาง"ก็จริง หากเขาจะคิดจะรับอนุเข้ามาก็คงจะทำไปนานแล้วซูชิงลั่วโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แม้นางจะไม่อาจขอร้องให้เขาไม่รับอนุได้ แต่หากมีหญิงอื่นเข้ามาเป็นอนุ คงยากที่จะเลี่ยงปัญหาในการอยู่ร่วมกันได้"เช่นนั้นหากท่านมีหญิงที่ถูกใจ...""บอกแล้วว่าไม่มีทาง" ลู่เหิงจือพูดตัดบทนาง "เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก""อ่อ" ซูชิงลั่วพยักหน้า "เช่นนั้นข้าก็ไม่มีคำถามที่สำคัญอันใดแล้ว""ยังมีที่ไม่สำคัญอีกหรือ เช่นนั้นก็ถามมาเลยเถอะ เจ้าจะได้ไม่ต้อง——" เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง "คิดฟุ้งซ่านไปเอง"ครั้นแล้วซูชิงลั่วจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ "ท่านขอพระราชทานพิธีแต่งงานกับฝ่าบาทเช่นไร"นางสงสัยมากจริงๆ รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ลู่เหิงจือทำไม่ได้ลู่เหิงจือหลุบตาลง ก่อนจะรินน้ำชาให้ตนเองอีกแก้ว : "ได้ยินที่ข้าตอบคำถามท่านย่าเ
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป