สตรีอย่างจ้าวเยว่ก็เสมือนคมในฝัก ภายนอกแม้จะดูเกียจคร้านจนผู้คนเบือนหน้าหนี ทว่าความสามารถที่มีนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เมื่อต้องปกป้องชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจึงไม่อาจปิดบังความสามารถได้อีกต่อไป
Узнайте большеหมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่งอำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียว
ฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมือง
ส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุด
อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุนนางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสาม
จ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่
บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าวหลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว
ส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโดยแท้จริง เนื่องจากนางเป็นบุคคลที่เกียจคร้านที่สุดในเมือง ไม่สิ ต้องกล่าวว่าทั่วแคว้นเลยก็ว่าได้ จ้าวฮูหยินมักจะชอบกล่าวหาว่า ‘นางเป็นสตรีเกียจคร้าน’ ไม่มีผู้ใดอยากสู่ขอไปเป็นภรรยาอยู่เสมอ
ทว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจไม่ ต่อให้ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยาก็ช่างปะไร ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ก็พอใจแล้ว
ส่วนพี่ชายทั้งสองก็เอาใจนางยิ่งนัก แต่ใครให้นางเกิดเป็นน้องสาวคนสุดท้องกันล่ะ ในเมื่อเป็นน้องคนสุดท้องอีกทั้งยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว พี่ชายทั้งสองย่อมต้องรักและทะนุถนอมมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ยามนี้บริเวณบ่อเลี้ยงปลาในสวนของจวน มีปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปมา พวกมันทำตัวราวกันว่าชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีหน้าที่เพียงแค่ว่ายไปมาอย่างมีความสุข พร้อมกับกินอาหารที่ผู้คนนำมาให้เท่านั้น จ้าวเยว่นั่งมองดูปลาพวกนี้ว่ายไปมาอย่างใจลอย มือหนึ่งถือกิ่งไม้ไว้ใช้ตีน้ำเล่น ก่อนจะเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท ที่อยู่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์
“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้ากับปลาพวกนี้ใครสบายกว่ากัน” แม้จะกล่าวกับผิงผิง แต่สายตาของนางยังคงมองปลาพวกนั้นไม่วางตา
สาวใช้นามว่าผิงผิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นนายของตนได้ยินถนัด
“ก็ต้องเป็นคุณหนูอยู่แล้วเจ้าค่ะ จะมีผู้ใดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิเจ้าคะต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันจะสบายเท่าคุณหนูไม่มีอีกแล้ว”
จ้าวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ข้าคิดว่า เจ้าปลาพวกนี้สบายกว่าข้าตั้งเยอะ ตัวข้าเป็นสตรียังต้องอาบน้ำแต่งตัว ยามจะกินข้าวก็ต้องเดินไปกิน ยามจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินไปนอน แต่เจ้าดูสิเจ้าปลาพวกนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาโยนอาหารให้กินถึงปาก ข้าว่าอย่างไรเจ้าปลาพวกนี้ย่อมต้องสบายกว่าข้า”
“แล้วคุณหนูจะอิจฉาเจ้าปลาพวกนี้ไปด้วยเหตุใดกันล่ะเจ้าคะ ถึงอย่างไรพวกมันก็มิได้มีชีวิตที่ดีแบบคุณหนูนี่เจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูถึงได้อิจฉาเจ้าปลาพวกนี้กันนะ
“ก็จริงของเจ้า” จ้าวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเมียงมองไปยังบ่อปลาอย่างเหม่อลอย
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาหา พอมาถึงจุดหมายก็หยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาให้ฟัง “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะทุกครั้งที่ถูกมารดาเรียกไปพบ เรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ
ไม่ว่าจะเป็นให้นางไปเรียนเขียนอักษร เรียนปักผ้า ไปถือศีลที่ศาลเจ้าแม่หวังหมู่ ไปฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่ไปงานเลี้ยงใด ๆ นางล้วนไม่อยากทำทั้งนั้น และครั้งนี้ที่นางเชื่อว่ามารดาเรียกพบก็คงจะไม่พ้นเรื่องพวกนี้อีกตามเคย จึงได้คิดเตรียมคำกล่าวที่จะปฏิเสธขึ้นมา
“ให้ข้าไปพบที่ใดหรือ” จ้าวเยว่ถามกลับ ในใจนั้นพยายามหาข้ออ้างเพื่อที่จะปฏิเสธเรื่องที่มารดาเรียกหา
“ห้องโถงเจ้าค่ะ” สาวใช้นางนี้ก้มหน้าตอบ เพราะไม่ค่อยกล้าสู้หน้าคุณหนูสักเท่าไร เนื่องจากรู้ดีถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินเรียกคุณหนูไปพบ
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อรู้ว่ามารดาเรียกตนเองไปที่ใด จ้าวเยว่จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาท่าทางเกียจคร้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ เมื่อได้รับคำตอบสาวใช้นางนี้จึงได้เดินกลับไปยังห้องโถงตามเดิม
ที่จริงแล้วระยะทางจากสวนแห่งนี้ไปยังห้องโถงนั้นไม่ได้ไกลเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เพียงแต่จ้าวเยว่ยังไม่อยากเดินไปถึงห้องโถงเร็วนัก จึงได้ถ่วงเวลาไว้ด้วยการชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้าควรปฏิเสธท่านแม่ว่าอย่างไรดี” จ้าวเยว่เอ่ยถามกับคนข้างกายด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อพบว่าพวกตนเดินมาใกล้จะถึงห้องโถงแล้ว
ซึ่งตัวผิงผิงเองก็กระซิบกระซาบตอบกลับไปผู้เป็นนายเช่นกัน
“จะให้ตอบอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ก็คุณหนูเองไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน ที่พอจะเป็นข้ออ้างให้ปฏิเสธได้เลย”
“หรือข้าจะบอกท่านแม่ไปว่าข้าจะท่องตำราดี เจ้าคิดว่าเหตุผลนี้ดีหรือไม่” คุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของจวนพยายามคิดหาทางรอดอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสิ่งใดจากนาง
“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจะตอบว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ถ้าเกิดฮูหยินถามคุณหนูว่าท่านท่องตำราไปเพื่อสิ่งใดกัน” ผิงผิงเอ่ยถามกลับพร้อมกับส่ายหน้าคอแทบหลุด เพราะถ้าคุณหนูของนางบอกไปแบบนี้ฮูหยินคงไม่มีทางที่จะเชื่อแน่นอน
จ้าวเยว่ทำสายตาละห้อยส่งให้กับผิงผิง พลางพึมพำออกมาอย่างอับจนหนทาง
“นั่นน่ะสิ จะตอบว่าข้าเตรียมสอบบัณฑิตก็คงไม่ได้ แล้วข้าจะตอบท่านแม่ว่าอย่างไรดีเล่า เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ผิงผิง”
ผิงผิงสูดลมหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่นางจะคว้ามือทั้งสองข้างของผู้เป็นนายมากุมไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอาอย่างนี้สิเจ้าคะ ถ้าฮูหยินให้คุณหนูทำสิ่งใด คุณหนูก็ทำไปเถอะเจ้าค่ะ อย่าได้ปฏิเสธเลย เชื่อผิงผิงนะเจ้าคะ”
“ผิงผิง นี่เจ้า... นอกจากจะไม่ช่วยข้าคิดแล้ว ยังจะอยู่ฝ่ายท่านแม่อีกหรือ”
จ้าวเยว่เอ่ยอย่างตัดพ้อ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความอึดอัด ราวกับว่าจะมีการลงโทษผู้ใดอย่างไรอย่างนั้น จ้าวเยว่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากจะมีการลงโทษกันเกิดขึ้นจริง ผู้ที่ถูกลงโทษก็น่าจะเป็นตนเอง
อีกทั้งเวลานี้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทไม่ได้ตามเข้ามาด้วย นี่จึงทำให้นางหมดความมั่นใจไปอีกหลายส่วน
อีกด้านหนึ่งของห้องโถง จ้าวฮูหยินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางของเจ้าจวน นางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต ท่วงท่าการนั่งที่สง่างามนั้น ทำให้นางดูราวกับนางพญาผีเสื้อตัวใหญ่ที่โดดเด่น
จ้าวเยว่ยืนมองมารดาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีคำถาม จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน “ท่านแม่เรียกข้ามา มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“นั่งลงก่อนเถอะ เยว์เอ๋อร์” ผู้เป็นมารดาสั่งความแต่เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามบุตรสาว
เมื่อได้รับคำอนุญาต จ้าวเยว่จึงเดินไปนั่งเก้าอี้ทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของนาง ทว่าสายตายังคงมองไปยังมารดาอย่างไม่วางใจ
เมื่อเห็นบุตรสาวนั่งลงแล้ว จ้าวฮูหยินก็เริ่มต้นการสนทนา
“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่บ้าง”
แม้นี่เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ใดก็สามารถตอบได้ แต่คนคนนั้นไม่ใช่จ้าวเยว่ เนื่องจากนางคือบุคคลที่ไม่มีอะไรทำอย่างแท้จริง ดังนั้นการถูกถามว่าทำอะไรอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ไม่สามารถหาคำตอบที่น่าฟังมาตอบได้
จ้าวเยว่ทำตาละห้อยเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของนางในยามนี้ดูเจื่อนลงไปหลายส่วน ก่อนจะตอบมารดาของตน
“ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าค่ะ จะมีก็แต่...ให้อาหารปลา”
“สิ่งนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องทำ ข้าคิดว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอต้องทำ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
จ้าวฮูหยินสวนทันควัน พลางจ้องมองบุตรสาวด้วยความเอือมระอา จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยเสียงอันเข้มงวด
“เย็นวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหว งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก ครอบครัวของเราจะต้องไปทุกคน เจ้าเองก็ต้องไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”
“ข้าไม่ไปไม่ได้หรือท่านแม่”
จ้าวเยว่ถามขึ้นมา เนื่องจากนางไม่ชอบงานเลี้ยงพวกนี้ ไม่ใช่เพราะนางเกียจคร้าน แต่เพราะนางไม่ชอบปั้นหน้าให้กับผู้ใดต่างหาก ดังนั้นหากให้เลือก นางขออยู่ในจวนอย่างเกียจคร้านดีกว่า
จ้าวฮูหยินหันมาทำสีหน้าจริงจังกับบุตรสาว แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นราวกับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน และทุกครั้งที่จ้าวเยว่เห็นเข้า นางก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครา
“ไม่ได้! งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก อีกทั้งท่านโหวเองก็เป็นผู้มีพระคุณกับสกุลจ้าวของเรา ถ้าเจ้าไม่ไปก็ถือว่าไม่ให้เกียรติท่านโหว”
“แต่ข้าก็มิได้รู้จักกับท่านโหวเป็นการส่วนตัวนี่เจ้าคะ ท่านพ่อ ท่านแม่ กับท่านพี่ทั้งสองไปก็พอแล้วนี่เจ้าคะ” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า พลางลอบสังเกตสีหน้าของมารดาไปด้วย
จ้าวฮูหยินฟังข้ออ้างของบุตรสาวแล้วก็ยิ่งบังเกิดโทสะ จึงใช้มือทุบโต๊ะคราหนึ่ง พร้อมกับลุกพรวดขึ้นยืน
“อย่างไรเจ้าก็ต้องไป คราวนี้ท่านโหวอยากให้บุตรชายของท่านได้พบกับเจ้า”
จ้าวเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอีกทันทีเช่นกันก่อนจะกล่าวเสียงแข็งตอบกลับมารดา
“ถ้าอย่างนั้นข้ายิ่งไม่ไปเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากพบกับบุตรชายท่านโหวอะไรนั่น เขาสำคัญแค่ไหนกันเชียว”
กล่าวจบหญิงสาวก็เดินปัดก้นออกจากห้องโถงไป ปล่อยให้ผู้เป็นมารดายืนคับแค้นใจอยู่ฝ่ายเดียว จ้าวฮูหยินเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับบุตรสาวคนนี้ดี จึงได้แต่ปล่อยนางไป หวังว่าสักวันเมื่อนางเติบโตขึ้น จะเข้าใจสิ่งที่บิดามารดาสั่งสอนบ้าง
จ้าวเยว่เดินกลับห้องของตัวเองไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง นางไม่ชอบไปงานเลี้ยง เพราะนางไม่อยากที่จะต้องปั้นหน้าปั้นตากล่าวทักทายคนนั้นคนนี้ ปกติแล้วนางเองก็ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด มีบุตรสาวขุนนางหลายคนพยายามจะมาเป็นสหายกับนาง ชวนนางไปนั่นไปนี่ ทว่านั่นกลับขัดกับความต้องการของนางอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวพวกนี้มักจะออกไปเดินตลาด เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือไม่ก็พวกเครื่องประทินโฉมเพื่อเสริมส่งความงามให้โดดเด่น
แต่ว่าหญิงสาวไม่เคยหาสนใจสิ่งของพวกนั้น เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจก็คือการฝึกวรยุทธ์ต่างหาก
จ้าวเยว่มักจะไปฝึกกับพี่ชายที่สนามฝึกอยู่เสมอ ด้วยนางถือว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวที่ได้เข้าไปใช้สนามฝึกของกองทัพ ตั้งแต่เล็กจนโต นางจึงฝึกมาหมดทั้งเพลงดาบ กระบี่ ทวน ธนู เพลงหมัด ขี่ม้า นางยังเคยขี่ม้าชนะทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาแล้ว จนทหารนั้นต้องแพ้พนัน ด้วยการกินกระเทียมเป็นเข่ง ๆ
หากถามว่านางมีใครเป็นสหายบ้าง หากจะให้ตอบคงจะพวกทหาร แล้วก็พวกหน่วยพยัคฆ์ดำของพี่ชายนั่นแหละ ส่วนสตรีในห้องหอหรือสตรีวัยเดียวกันนางนั้น แทบไม่มีเลย
ทันทีที่กลับถึงห้อง หญิงสาวก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที นางกางแขนกางขาสองข้างออกทำท่าทางราวกับว่าเป็นบุรุษที่ตรากตรำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วต้องการพักผ่อน
“คุณหนูจะทำอะไรดีเจ้าคะ” ผิงผิงถามในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถอดรองเท้าให้ผู้เป็นนาย
จ้าวเยว่ส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
“อืม...ทำอะไรดีนะ แช่น้ำดีหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้นผิงผิงจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล
แต่ก่อนที่ผิงผิงจะเดินไปที่ถังอาบน้ำ ก็หันกลับมากล่าวกับจ้าวเยว่อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
“คุณหนูจะไม่ไปงานเลี้ยงที่จวนท่านโหวจริงหรือเจ้าคะ ผิงผิงว่าคุณหนูควรจะไปเสียหน่อย”
จ้าวเยว่ถึงกับต้องดีดตัวขึ้นจากเตียง
“ผิงผิง เจ้านี่อย่างไรกันนะ เจ้าเป็นคนของข้า หรือว่าเป็นคนของท่านแม่กันแน่ หรือว่าเจ้าถูกท่านแม่จ้างมา”
“ผิงผิงหวังดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับเสียงซื่อ
“ถ้าเจ้าหวังดีกับข้า เจ้าก็ต้องอยู่ข้างข้าสิ”
จ้าวเยว่กล่าวจบก็เดินไปที่ถังอาบน้ำ นางปลดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงาม แต่นางกลับชอบแช่น้ำอุ่นมาก ปกติแล้วจะแช่ถึงวันละสองครั้ง เพราะการแช่น้ำอุ่น ๆ นั้น ทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย
อีกทั้งกลิ่นของพวกดอกไม้กับเครื่องหอมต่าง ๆ ที่ผิงผิงหามาใส่ในอ่างอาบน้ำให้นั้น ทำให้หญิงสาวมีความสุขอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่แช่น้ำ ผิงผิงก็จะเป็นคนนำผ้ามาขัดถูตามเนื้อตัวให้อยู่เสมอ
หลังจากชำระร่างกายและขึ้นจากน้ำแล้ว จ้าวเยว่มักจะชอบให้ผิงผิงทาน้ำมันแล้วนวดให้เสมอ การบีบนวดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายกายยิ่งนัก
แล้วสิ่งนี้ก็คือสวรรค์สำหรับนางอย่างแท้จริง!!
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน
Комментарии