“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีการลงโทษแบบนั้นแล้ว สมัยนี้คือราชวงศ์ถังไม่ใช่ราชวงศ์กวน” หวังเว่ยเถียนเถียงกลับมาอย่างถือดี ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อย
จ้าวเยว่หันไปมองหน้าหวังเว่ยเถียนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ อย่าลืมสิ ว่าบิดาของข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง อีกทั้งยังสนิทกับท่านเซียวโหว แล้วท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และหากฝ่าบาทให้นำการลงโทษนี้มาใช้ใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”
บรรดาสตรีทุกนางต่างพากันปิดปากเงียบ มิมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำกับจ้าวเยว่สักคน เพราะไม่มีบิดาของผู้ใดที่จะมียศตำแหน่งเทียบเท่ากับบิดาของนาง เว้นก็แต่บิดาของซูหลิงเจียว แต่ซูหลิงเจียวกลับวางท่าสุขุมไม่โต้ตอบอะไร
หวังเว่ยเถียนเมื่อนึกคำเอ่ยออก ก็เอ่ยขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าวาจาที่มาจากสตรีที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะรับฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
คำเอ่ยของหวังเว่ยเถียนประโยคนี้ มิได้สร้างความสั่นสะเทือนใด ๆ ให้กับจ้าวเยว่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายนางยังหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ฟังจบ
“หวังเว่ยเถียนนะหวังเว่ยเถียน เมื่อก่อนสติปัญญาของเจ้านั้นไม่ดี ข้าก็พอเข้าใจ แต่ว่าเจ้าเติบโตมาจนป่านนี้ สติปัญญาของเจ้ากลับยังเป็นเช่นเดิมอยู่อีกหรือ ที่ข้าเอ่ย เจ้าฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร” จ้าวเยว่ถามกลับด้วยท่าทางเหยียดหยามอีกคนอย่างชัดเจน
“ทำไมข้าจะฟังไม่เข้าใจ ก็เจ้าบอกว่าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้นำกฎนี้ขึ้นมาใช้ใหม่ไม่ใช่หรือ” หวังเว่ยเถียนตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“มีใครสามารถบอกเล่าให้นางฟังได้บ้างหรือไม่”
จ้าวเยว่ทำเป็นเอ่ยถามทุกคน แต่ที่จริงแล้วนางก็ตั้งใจจะบอกเล่าด้วยตนเอง เพื่อตอกย้ำสติปัญญาที่ต่ำต้อยของหวังเว่ยเถียน อยู่แล้ว
คนอื่นต่างก็ปิดปากเงียบ เพราะกลัวว่าถ้าเอ่ยอะไรแล้วจะโดนนางตอกกลับมา มีเพียงแต่ซูหนิงเท่านั้นที่ฉลาดและกล้าเอ่ยที่สุด นางเป็นน้องสาวของซูหลิงเจียวก็จริง แต่ว่านิสัยต่างกันลิบลับ บางครั้งนางก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาวตนเอง แต่ด้วยความที่เป็นน้อง จึงมิอาจห้ามปรามได้
นางเดินออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ข้า ข้าเอง เมื่อสักครู่ที่แม่นางจ้าวกล่าว ก็คือบิดาของนางสนิทกับท่านเซียวโหว และท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท ดังนั้นจ้าวเยว่ไม่ได้คิดที่จะไปกราบทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง แต่นางจะบอกผ่านบิดาของนาง ให้ไปบอกท่านเซียวโหว แล้วให้ท่านเซียวโหวนำความกราบทูลต่อฝ่าบาท ข้ากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว คุณหนูรองตระกูลซูช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมปรบมือให้ซูหนิง ซูหลิงเจียวจึงรีบดึงน้องสาวมาอยู่ข้างหลังแล้วเอ็ดนางเสียงเบา
“เจ้าเงียบไปเลย”
“พวกข้าสนทนากัน แล้วเจ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า อยากร่วมวงสนทนากับพวกเราหรืออย่างไร” สตรีนางหนึ่งรวบรวมความกล้าขึ้นมา จึงตะโกนถามจ้าวเยว่
จ้าวเยว่เดินตรงเข้าไปหาสตรีนางนั้น สายตาของหญิงสาวมีความท้าทายอยู่ไม่น้อย นางเดินเข้าไปใกล้ จนใบหน้าแทบจะประชิดกับใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากจะลดตัวลงมาสนทนากับบุตรของขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างพวกเจ้าหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเอ่ยถึงข้าก่อน”
คำว่า ‘ลดตัวลงมา’ กับคำว่า ‘ขุนนางชั้นผู้น้อย’ ทำให้เหล่าสตรีทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้านกันไปเป็นแถบ ด้วยไม่คิดว่าจ้าวเยว่จะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นไปถึงผู้ใหญ่
แต่ว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจ ในเมื่อคนพวกนี้เอ่ยวาจาให้ร้ายบิดามารดาของนางก่อน นางจะเอ่ยคำว่าขุนนางชั้นผู้น้อย แล้วจะเป็นอย่างไร
“พะ...พวกข้าเอ่ยถึงเจ้าที่ไหนกัน เจ้าอย่ามาทึกทัก พวกข้าแค่คุยกันเรื่องทั่วไป” หวังเว่ยเถียนเอ่ยแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก
“ใช่ ๆ” เหล่าสตรีที่อยู่ด้านหลังรีบเสริม
“โถ...หวังเว่ยเถียน ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเจ้าจะเสื่อมถอย แต่ว่าความไร้ยางอายของเจ้ามิได้เสื่อมถอยเลย”
จ้าวเยว่เอ่ยขึ้น ประโยคหลังนางเน้นเสียงหนัก ราวกับจะเอ่ยประจานหวังเว่ยเถียนอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูรองตระกูลซู เมื่อสักครู่ท่านได้ยินใครเอ่ยว่าร้ายข้าและบิดามารดาของข้าหรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยถามซูหนิงที่ยืนอยู่
คำถามนี้กดดันซูหนิงอย่างหนัก นางเป็นคนดีที่ไม่เคยเอ่ยโกหกเลยสักครั้ง แต่ว่าครั้งนี้กลับมีพี่สาวของนางเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย จึงได้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเป็นคนดีหรือคนชั่ว และในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“มี พวกนางต่างพากันเอ่ยถึงท่าน แล้วก็บิดามารดาท่านกันหมดเลย”
สตรีกว่ายี่สิบนางมองมาที่ซูหนิงทันที สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
“นี่เจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่ ถ้าเจ้าเห็นด้วยกับนาง ก็ไปอยู่ฝั่งนาง” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น แล้วดันน้องสาวไปหาจ้าวเยว่
เมื่อซูหนิงถูกดันออกมาแล้ว ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินตามออกมา หญิงสาวผู้นั้นก็คือฟ่านถงถงนั่นเอง
เมื่อสักครู่ฟ่านถงถงไม่ได้ร่วมวงนินทากับพวกนางด้วย อีกทั้งยังห้ามปรามแล้วหลายครั้ง แต่ว่าทุกคนไม่ยอมฟัง นางจึงไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมวงสนทนากับคนพวกนั้นอีกต่อไป แล้วเปลี่ยนมายืนฝั่งจ้าวเยว่แทน
“ข้าก็ได้ยินว่าพวกเขาเอ่ยเช่นนั้น” ฟ่านถงถงกล่าวขึ้น
จ้าวเยว่ไม่เคยคิดเลย ว่าในบรรดาสตรีที่ไร้สาระพวกนี้ จะมีคนดีมีเหตุผลอยู่ด้วย นางยิ้มให้กับคุณหนูทั้งสองเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยวาจาดุเดือดต่อ
“หวังเว่ยเถียน ข้าได้ยินที่เจ้าเอ่ยทั้งหมด เจ้าเอ่ยว่าข้าเป็นสตรีที่เกียจคร้าน มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และบิดามารดาข้า ส่งข้าเข้ามาใช้มารยาหลอกล่อเซียวเฟิงตั้งแต่ยังแบเบาะ แล้วยังเอ่ยอีก ว่าบิดามารดาของข้านั้น มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและคิดจะจับตระกูลเซียวให้อยู่หมัด” จ้าวเยว่เอ่ยไปก็ก้าวเข้าไปใกล้หวังเว่ยเถียนทีละนิด หวังเว่ยเถียนเองก็ถอยหลังไปทีละก้าวด้วยความกลัว
“เดิมทีพวกเจ้าจะนินทาว่าร้ายข้า ข้าไม่เคยสนใจ แต่เจ้าบังอาจว่าร้ายมาถึงบิดามารดาข้า ข้าให้อภัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ข้าเอ่ยเพียงว่าพวกเจ้าเป็นบุตรีของขุนนางชั้นผู้น้อยนั้น ยังเบาไปเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ จ้าวเยว่” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น
จ้าวเยว่เริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้ว จึงหันไปเค้นเสียงเอ่ยใส่หน้าซูหลิงเจียวว่า “ถ้าสิ่งที่ข้าทำเรียกว่ามากเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเจ้าทำเล่าเรียกว่าอะไร ทำตัวเป็นสตรีสูงศักดิ์ แต่วาจาต่ำทรามยิ่งกว่าบ่าวไพร่”
คราวนี้นางหันกลับไปมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าหากอยากที่จะเป็นสุนัขรับใช้ใครก็ใช้สติปัญญาดูด้วย ว่าคนผู้นั้นควรค่าแก่การเดินตามหรือไม่ อย่าได้แต่เอาจมูกดมกลิ่นแล้วตามไปเพราะว่าหอม เพราะบางครั้งกลิ่นที่แรกเริ่มหอมเย้ายวน อาจจะกลายเป็นเหม็นโฉ่วก็ได้”
จ้าวเยว่เอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป ด้านซูหนิงกับฟ่านถงถงนั้นก็แยกตัวออกไปพร้อมกับสตรีคนอื่น ๆ เช่นกัน
บัดนี้จึงเหลือเพียงแค่ซูหลิงเจียวกับหวังเว่ยเถียนที่กำลังคับแค้นใจ จนไม่รู้ว่าจะเอาคืนจ้าวเยว่อย่างไรดี
“ไทเฮาเพคะ เหล่าสตรีทะเลาะวิวาทกันที่ศาลาชมดาวเพคะ” นางกำลังนางหนึ่งเดินเข้ามากราบทูล
“เป็นผู้ใดกัน” ไทเฮาตรัสถามออกอย่างสงสัย
“เป็นคุณหนูตระกูลจ้าวกับคุณหนูตระกูลซู และคุณหนูตระกูลหวังเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ
“เจ้ากลับไปดูซิ ว่าพวกนางเลิกทะเลาะวิวาทกันหรือยัง หากยังไม่ยอมหยุด ก็ให้บอกไปว่าข้าจะลงโทษ ถ้าใครยังคิดก่อเรื่อง”
ไทเฮาตรัสเสียงดัง และเมื่อตรัสกับนางกำนัลจบ ไทเฮาก็หันมาตรัสกับเจ้ากรมทั้งสองที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้อยู่
“บุตรีของท่านทั้งสองก่อเรื่องอยู่ที่ศาลาชมดาว เมื่อพวกท่านกลับจวนไปแล้ว คงต้องอบรมสั่งสอนพวกนางเสียใหม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” ทั้งจ้าวฝู่และซูม่อเยี่ยต่างน้อมรับบัญชา
ใกล้ถึงเวลากลับจวนแล้ว จ้าวเยว่จึงมารวมตัวกับพี่ชายทั้งสองหน้าตำหนัก แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันแล้ว ด้านในจึงเหลือเพียงขุนนางใหญ่ไม่กี่คน รวมทั้งบิดาของพวกเขาด้วย
“ข้าว่าพวกเราไปรอที่รถม้ากันเถอะ เดี๋ยวท่านพ่อกับท่านแม่ก็ออกมา ข้าเมื่อยจะตายอยู่แล้ว อย่ายืนรอตรงนี้อีกเลย”
จ้าวอวี้เฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขามาเข้าวังเพื่อรับงานสืบราชการลับจากฮ่องเต้ ภารกิจของเขารัดตัวยิ่งนัก ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้พักผ่อน พอตกเย็นยังต้องมางานเลี้ยงอีก จึงเหนื่อยล้ามากกว่าทุกวัน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ไปกันเถอะ เจ้าเองก็นวดให้พี่รองของเจ้าหน่อยเป็นอย่างไร” จ้าวหลู่เจินหันไปหาน้องสาวแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้านวดไม่เป็น เหตุใดจึงไม่ให้แม่นางเมิ่งแห่งหอโอบจันทร์นวดให้เล่า” จ้าวเยว่เอ่ยหยอกเย้าพี่ชาย
เมื่อได้ยินชื่อแม่นางเมิ่งแห่งหอโอบจันทร์ จ้าวอวี้เฉินก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา จากที่บ่นปวดเมื่อยก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นว่ามีแรงวิ่งไล่ตีน้องสาวรอบรถม้าเสียได้ ทางด้านพี่ใหญ่กับน้องสามพอได้กลั่นแกล้งน้องรอง ก็พากันหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน
ยามรถม้าสองคันมาจอดเทียบที่หน้าจวนเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่กับจ้าวฮูหยินก็เดินลงมาจากรถม้าคันแรก ส่วนลูก ๆ ทั้งสามเดินลงมาจากรถม้าคันที่สอง ทั้งหมดก้าวเดินเข้าไปในจวนอย่างอ่อนล้า แต่เมื่อกำลังจะแยกทางกันไปยังเรือนพักของตน จ้าวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าไปได้ ยกเว้นจ้าวเยว่ มาที่ห้องโถงกับข้า”
‘ห้องโถงอีกแล้วหรือ อะไรกันอีกล่ะเนี่ย’ จ้าวเยว่คิดในใจ เริ่มสังหรณ์ใจว่าการถูกเรียกตัวในคราวนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องไม่ดีอีกตามเคย
ภายในห้องโถง มีเพียงแค่จ้าวฮูหยินกับจ้าวเยว่สองคน คราวนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเอ่ยให้นางได้เลย ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีท่านพี่ทั้งสอง ไม่มีแม้กระทั่งผิงผิง นางจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา พลางนั่งตัวงอ จนตอนนี้ตัวหดเล็กลง ราวกับเป็นเพียงลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“เจ้าไปก่อเรื่องอันใดมา” จ้าวฮูหยินถามเสียงเย็น
“ไม่มีนะเจ้าคะ ไม่มี” จ้าวเยว่ส่ายหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย
นางคิดไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่นางทะเลาะวิวาทกับเหล่าสตรีพวกนั้นที่งานเลี้ยง เพราะนอกจากเรื่องนี้ ก็คงไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว
“เจ้าอย่ามาเฉไฉ” จ้าวฮูหยินทำเสียงดุ
จ้าวเยว่ได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งให้มารดาของตน
“ลูกมีเรื่องวิวาทเล็กน้อยตามประสาสตรีเจ้าค่ะ”
“เล่ามา” จ้าวฮูหยินสั่งเสียงเข้ม
จ้าวเยว่สูดหายใจเข้าคราหนึ่ง แล้วรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาทันที
“แต่เรื่องนี้ลูกไม่ได้ผิดนะเจ้าคะ เป็นเพราะว่าพวกนางนินทาว่าร้ายลูกก่อน มิหนำซ้ำพวกนางยังลากท่านพ่อกับท่านแม่มาเกี่ยวด้วย พวกนางเอ่ยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะจับตระกูลเซียว อีกทั้งยัง...”
“พอๆ เจ้าพอได้แล้ว ข้าเพียงจะเรียกเจ้ามาตักเตือน ความผิดครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะที่ไหนกับผู้ใด ไว้หน้าบิดาเจ้าบ้าง ครั้งนี้ข้าจะกักบริเวณเจ้าสักสิบวัน สำนึกผิดให้ดี” จ้าวฮูหยินเอ่ยจบก็เดินออกจากประตูไป
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่รับคำอย่างยอมจำนน
แม้ใจนางจะไม่อยากยอมรับบทลงโทษนี้ แต่ก็ช่างเถอะ นางก็ไม่ได้คิดจะออกนอกจวนอยู่แล้ว ถูกกักบริเวณสิบวัน แลกกับการได้สั่งสอนสตรีปากเสียพวกนั้นสักครั้ง จะเป็นไรไป
บทที่ 7 ศึกทางทิศเหนือจบลงณ เมืองอวี้โจว แคว้นสือเจ้า ทางตอนเหนือของแคว้นฉางอันตะวันออก เฉินฉิงตะลีตะลานหลบหนี เมื่อเห็นประตูเมืองถูกตีแตก เขามีสภาพกระเซอะกระเซิง แต่ก็ไม่อาจละวางหน้าที่ในมือลงได้ ชายหนุ่มยังคงกวาดสายตาอย่างกระวนกระวายแล้ววิ่งไปอย่างไร้ทิศทางเวลานี้จวนเจ้าเมืองกำลังเกิดเพลิงไหม้ ในใจเขาคิดว่าอย่างไรต้องหามันให้เจอ ก่อนที่กองกำลังของศัตรูจะมาถึงแล้วชิงมันกลับไป สุดท้ายจึงกัดฟันวิ่งเข้าไปในจวนที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ ทว่าด้านในเปลวไฟลุกท่วมโชติช่วงรุนแรง เรือนทั้งหลังกำลังจมอยู่ในกองเพลิง ขื่อ คานพังถล่มอย่างต่อเนื่อง จนเขาต้องผงะถอยไปหลายก้าว‘เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตราประทับจะต้องถูกแย่งชิงคืนไปเป็นแน่ แต่ข้าไม่ยอมแค่นี้แน่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพแดนใต้ของแคว้นสือเจ้า จะต้องนำมันไปให้ท่านอ๋องให้ได้’อารมณ์ความฮึกเหิมพุ่งขึ้น เขาหมุนตัวกลับหมายจะกลับไปแลกชีวิตกับแม่ทัพเสวี่ย ทว่าเพิ่งออกจากจวนนั้นได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเขา ซึ่งนั่นก็คือเสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพแห่งแคว้นฉางอันนั่นเองเฉิงฉิงอาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่เบื้องหลัง แล้วพยายามเพ่งเล
บทที่ 8 สมรสพระราชทานแม่ทัพเสวี่ยเมื่อมาถึงเมืองหมิงเวย ก็มุ่งหน้าไปที่พระราชวังโดยไม่หยุดพักที่ใด ถึงแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการกรำศึกมาเป็นเวลาหลายเดือน แต่ทว่าความมุ่งมั่นในการทำเพื่อแผ่นดินของเขานั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จึงต้องนำรายงานไปกราบทูลฮ่องเต้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จะต้องส่งคืนให้ถึงมือ รวมถึงเครื่องบรรณาการต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเมืองอวี้โจว“เร่งฝีเท้าเร็วเข้า อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนาน” แม่ทัพเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงจริงจังขบวนของแม่ทัพเสวี่ยเปลี่ยนจากการเดินเท้าด้วยความเร็วมาเป็นวิ่งเหยาะ เพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเดิมโดยครั้งนี้แม่ทัพเสวี่ยนำทหารมาด้วยเพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น ส่วนทหารที่เหลือในกองทัพ ได้ถูกสั่งการให้เดินทางกลับเข้าค่ายทหารซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองไปเรียบร้อยแล้วในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็เคลื่อนมาถึงพระราชวัง“แม่ทัพเสวี่ยมาถึงแล้ว!” เสียงทหารเฝ้าประตูวังดังขึ้นแม่ทัพเสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังท้องพระโรงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนรองแม่ทัพและทหารที่เหลือ ต่างยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมกับเคลื่อนย้ายเหล่าเครื่อง
บทที่ 9 ข่าวกระจายแพร่ออกไปข่าวการสมรสพระราชทาน ระหว่างคุณหนูสกุลจ้าวและแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วฉางอัน ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเจ้าสาวจะเป็นจ้าวเยว่ เนื่องจากนางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก อันมาจากความเกียจคร้านของนาง จนบางคนถึงกลับเอาไปนินทากันต่าง ๆ นานาในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซูหลิงเจียว หวังเว่ยเถียน และสตรีอีกสองสามนาง กำลังนั่งจิบน้ำชากันอยู่ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้กำลังเล่าลือกันปากต่อปากถึงเรื่องสมรสพระราชทานครั้งนี้เช่นกัน“เจ้าคิดว่าเมื่อจ้าวเยว่แต่งเข้าจวนของแม่ทัพเสวี่ยแล้ว นางจะอยู่ได้หรือไม่” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าจ้าวเยว่นั้นไม่มีอะไรที่เทียบเคียงกับท่านแม่ทัพได้เลยซูหลิงเจียวจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน “ข้าว่านางอยู่ได้ไม่นานหรอก คนเกียจคร้านอย่างนาง ไหนเลยจะทำหน้าที่ฮูหยินที่ดีได้”“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย ไหนจะเรื่องการดูแลเรือน ไหนจะเรื่องปรนนิบัติสามี ข้าว่านางทำไม่ได้หรอก ดีไม่ดีนางได้วิ่งออกมาจากจวนตระกูลเสวี่ย ตั้งแต่สามวันแรกที่แต่งเข้าจวนด้วยซ้ำ” สตรีนางหนึ่งกล่าวเ
บทที่ 10 ไม่สามารถขัดขืนได้เมื่อได้รับคำสั่งแน่ชัดแล้ว จ้าวเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการแต่งงานในครั้งนี้ เพราะต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาง ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และแม้จะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้นางจะต้องออกเรือน แต่เรื่องการแต่งงานของนางคงต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เนื่องจากท่านแม่คงไม่ยินยอมจ้าวเยว่เดินมาที่บ่อปลาในสวนหลังจวนอีกเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจ หรือว่าโกรธ ก็จะมาสนทนากับเหล่าสหายปลาที่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงนี้เสมอถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ปลา ไม่สามารถกล่าววาจาโต้ตอบใด ๆ ได้ก็จริง แต่เมื่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกมันฟังแล้ว พวกมันก็จะรับฟังแต่โดยดี จนนางรู้สึกสบายใจขึ้นจ้าวเยว่นั่งลงที่ข้างบ่อปลา หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วตีน้ำเบา ๆ “เจ้าปลาทั้งหลาย พวกเจ้าคิดว่าเรื่องของข้านั้นน่าเป็นกังวลหรือไม่ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ เป็นอะไรที่ข้าไม่ยินดียินร้ายเอาเสียเลย ข้ารู้สึกลึก ๆ ว่าตนเองไม่ได้อยากจะแต่งงานเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปทำไม หรือว่าหัวใจของข้าจะด้านชาไปเสียแล้ว อีกอย่าง ถ้าข้าออกเรือนไป จะท
บทที่ 11 นางเป็นสตรีที่แปลกยิ่งนักในระหว่างที่พี่ชายทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ เสียงกุกกักก็ดังมาจากด้านหลังของหีบใบหนึ่งตรงมุมห้อง จ้าวเยว่ถึงกับตกใจเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกพี่ชายทั้งสองจึงจับความผิดปกติได้ในทันที จ้าวหลู่เจินลุกขึ้นและเดินตรงไปที่หีบใบนั้น พลางชักดาบคู่กายออกจากฝักคมดาบในมือต้องแสงเทียนจนเป็นประกาย ชายหนุ่มได้ใช้ปลายดาบจ่อไปตรงกลางหีบแล้วเอ่ยเสียงดัง “ออกมา!” เซียวเฟิงกับซูหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ต่างยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยิ้มเจื่อนออกมา“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าเอง” เซียวเฟิงยิ้มแหย ๆ ขณะเอ่ยด้วยเสียงอ่อย“ให้ตายเถอะคุณชายเซียว เหตุใดจึงได้มาอยู่ในห้องของน้องสามได้ล่ะ” จ้าวหลู่เจินถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นในห้องของน้องสาวเซียวเฟิงที่บัดนี้หายตกใจแล้ว จึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ก็เหมือนพวกท่านทั้งสองนั่นแหละ ข้าได้ข่าวเรื่องการแต่งงาน จึงมาปลอบนาง”ทั้งจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินมองไปทางซูหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิง แล้วจ้าวหลู่เจินก็เอ่ยถามเสียงเข้ม“แล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร”ซูหนิงกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้แม้แต่จะเปิดปา
บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้นเมื่อมาถึงห้องโถง จ้าวเยว่ก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับข้าวของที่วางเรียงรายอยู่ มีทั้งเครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ปิ่นปักผม กำไลหยก และผ้าไหมแพรพรรณราคาแพงอีกหลายพับตอนแรกนางนึกแปลกใจอยู่ว่าจ้าวฮูหยินลงทุนซื้อของมากมายขนาดนี้ทำไมกัน ทว่าก็ได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ มิได้ถามไถ่ออกมา“ท่านแม่ เรียกข้ามามีอะไรหรือเจ้าคะ แล้วนี่อะไรเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งนายหญิงของจวน หันหน้าไปทางสิ่งของเหล่านั้นทันทีเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยถาม“เจ้าคงเห็นสิ่งของพวกนี้แล้วสินะ”“เจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินเมื่อได้รับคำตอบของบุตรสาวจึงได้เอ่ยประโยคต่อมา “นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาพระราชทานให้แก่เจ้า เป็นสิ่งสำคัญที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้ยามออกเรือน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาวัดตัวเพื่อตัดชุดแต่งงานให้เจ้า”จ้าวเยว่มองไปที่ผ้าไหมสีแดงหลายพับที่อยู่ในหีบที่กำลังเปิดอ้า พร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ หากเป็นสตรีอื่น พวกนางคงดีใจกันจนแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว ที่ได้รับสิ่งของพระราชทานเหล่านี้ ซึ่งขัดแย้งกับกิริยาของนางในตอนนี้ยิ่งนักเนื่องจากหญิงสาวไม่รู้สึกอะไรกับข้าวของพวกนี้ที่ได
บทที่ 13 ข้าไม่อยากทำอันใดลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้นเวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่มผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้องส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็ค
บทที่ 14 ถูกกักบริเวณเมื่อเข้ามาในห้องโถง จ้าวเยว่ย่อกายทำความเคารพมารดา ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่มารดาเรียกตนเองมาพบ “ท่านแม่เรียกให้ข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินโยนของบางอย่างลงพื้น ซึ่งนั่นก็คือผ้าปิดหน้าสีแดง พร้อมกับชี้ให้จ้าวเยว่ดู “เจ้าดูเอาเอง ว่านี่คืออะไร”ตอนนี้จ้าวเยว่รู้แล้วว่าหายนะมาเยือนตัวเองแล้ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน วิธีที่ที่ดีสุด ก็คือยอมรับไปเลยดีกว่า แล้วค่อยหาข้ออ้างว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น“ท่านแม่ คะ...คือข้าคิดว่าฝีเข็มและความสามารถด้านการตัดเย็บของข้านั้นแย่เอามาก ๆ หากข้าทำออกมาเองคงจะกลายเป็นผ้าปิดหน้าที่อัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิ ต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันเลยก็เป็นได้ ข้าเลยคิดว่า ให้ผิงผิงทำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร จ้าวฮูหยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด“ถึงจะอัปลักษณ์อย่างไร เจ้าก็ต้องทำเอง นี่มันคือผ้าปิดหน้าของเจ้า ผิงผิง...เจ้าเองก็เช่นกัน ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่สมควรช่วย”“ผิงผิงขอโทษเจ้าค่ะ ผิงผิงจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน”ผิงผิงรีบคุกเข่ากล่าวขอโทษขอโพยฮูห
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน