Home / รักโบราณ / จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ / บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

Share

บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

Author: sanvittayam
last update Last Updated: 2025-01-01 21:22:14

บทที่ 5

เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

ในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น

นางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิด­เตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมาก­เกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้ว

จ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว

“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชาย

จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่ยว่า “แล้วเหตุใดเจ้าไม่­ไปกินที่โต๊ะของเจ้าเล่า”

“ข้าไม่อยากไปนั่งร่วมวงกับสตรีพวกนั้นเจ้าค่ะ”

นางตอบกลับพี่ชาย น้ำเสียงนั้นคล้ายกับว่ากำลังไม่พอใจสตรีพวกนั้น จนพี่ชายอย่างจ้าวอวี้เฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

“แล้วเจ้าไม่ใช่สตรีหรืออย่างไร เป็นสตรีแต่มานั่งที่สำหรับบุรุษ เดี๋ยวก็โดนเอาไปนินทาหรอก”

จ้าวเยว่หันมามองหน้าพี่ชายคนรอง พร้อมกับยิ้มกว้าง

“ช่างปะไรเล่าพี่รอง ข้าจ้าวเยว่ มิเคยคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”

จ้าวหลู่เจินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือข้างหนึ่งหยิบจานใส่ขนมกุ้ยฮวาหิมะส่งให้น้องสาวของตน

จ้าวเยว่รับขนมมา แล้วจับเข้าปากเคี้ยวอย่างรีบร้อน สักพักขนมก็ติดคอจนต้องไอออกมา

“ดื่มน้ำชาก่อน” จ้าวอวี้เฉินยื่นถ้วยน้ำชาให้ ด้านในเป็นชา­หลงจิ่งอุ่น ๆ

นางรับไปดื่มรวดเดียวหมด พอกลืนทุกอย่างลงคอแล้ว ก็หันไปถามพี่ชายทั้งสองต่อ “ท่านคิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะยาวถึงเมื่อไรเจ้าคะ ข้าอยากกลับจวนแล้ว ชุดนี้อึดอัดจะแย่”

“น่าจะราวยามห้าย กระมัง ท่านพ่อคงจะกลับเป็นคนสุดท้ายตามเคย” จ้าวหลู่เจินตอบ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองพระจันทร์เพื่อความมั่นใจ

จ้าวเยว่ได้รู้คำตอบแล้วก็ทำหน้าตาบูดบึ้งขึ้นมา

“ยามห้าย อีกตั้งหลายชั่วยาม ข้าจะไปทำอะไรที่ไหนได้เล่า”

“เจ้าก็ไปยืนคุยกับสตรีอื่น เหมือนที่สตรีพึงกระทำสิ”

จ้าวอวี้เฉินเสนอในสิ่งที่นางควรกระทำ

“ท่านก็รู้นี่ว่าข้าไม่มีสหายที่เป็นสตรี แล้วท่านจะให้ไปคุยกับใครกันเล่า” ผู้เป็นน้องสาวตอบกลับด้วยความหงุดหงิด

เมื่อเห็นน้องทั้งสองใช้วาจาหยอกล้อกันไปมาไม่หยุด พี่ชายคนโตของจวนก็เอ่ยตัดบทขึ้นมา

“พวกเจ้าพอได้แล้ว ด้านหลังตำหนักมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ เจ้ารีบกินแล้วก็รีบไปเถอะ ที่นั่นอาจจะมีปลาที่เจ้าไม่เคยเห็นก็ได้”

“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบอย่างตื่นเต้น แล้วรีบยัดขนมเข้าปาก พลางหยิบขนมอีกสองอันใส่ในอกเสื้อด้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจาก­ไป พร้อมกับมุ่งตรงไปยังด้านหลังตำหนัก

         

ด้านหลังของตำหนักมีบ่อปลาอยู่จริง ๆ แถมยังเป็นบ่อปลาขนาด­ใหญ่ที่มีปลาเป็นร้อย ๆ ตัว ตรงกลางมีสะพานโค้งทอดข้าม เพื่อให้สามารถเดินขึ้นไปดูปลาที่กลางบ่อได้ จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบวิ่งขึ้นสะพานไป

ในบ่อมีปลามากมายหลายสี ปลาบางตัวก็เหมือนกับปลาที่­จวน แต่บางตัวก็เป็นปลาที่ดูแปลกใหม่ แบบที่ไม่เคยเห็นที่ใดมา­ก่อน

นางยืนดูพวกมันแหวกว่ายไปมา พร้อมกินขนมที่แอบขโมยมาไปด้วยอย่างมีความสุข สักพักก็คิดขึ้นมาว่าหากมีอาหารปลาก็­คง­จะดี เนื่องจากจ้าวเยว่นั้นชอบให้อาหารปลาเป็นที่สุด

แต่จู่ ๆ ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นมาบนสะพานโค้ง ในมือของเขามีกล่องไม้สำหรับใส่อาหารปลามาด้วย

“ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้าต้องมาอยู่ที่นี่” เซียวเฟิงเอ่ยทักจ้าวเยว่ด้วยรอยยิ้ม

“เป็นเจ้านั่นเอง ข้าคิดว่าจะไม่มีใครรู้เสียอีก ว่าข้าอยู่ที่นี่”

จ้าวเยว่ตอบกลับ เมื่อเห็นสหายเก่านางก็ยิ้มให้เล็กน้อย

เซียวเฟิงกระแอมครั้งหนึ่ง ก่อนจะทำท่าทางราวกับผู้รู้แล้วเอ่ยว่า “อืม...ประการแรก ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่อยากอยู่ในงานเลี้ยง ประการที่สอง ไม่มีทางที่เจ้าจะไปสนทนากับสตรีพวกนั้นเป็นแน่ และประการที่สามก็คือ...ข้ารู้ว่าเจ้าชอบปลาเป็นที่สุด”

“เจ้านี่สมกับเป็นสหายของข้าจริง ๆ” จ้าวเยว่ปรบมือและพยักหน้าให้เขาอย่างภาคภูมิใจ

“เหตุใดเมื่อเดือนที่แล้วเจ้าจึงไม่มางานเลี้ยงที่จวนข้า”

 เซียวเฟิงถามในเรื่องที่เขาข้องใจมาตลอดหนึ่งเดือน

“ข้ามีธุระน่ะ” จ้าวเยว่ตอบกลับเพียงสั้น ๆ

“อย่างเจ้าน่ะหรือมีธุระ ข้าฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ”

“ที่จริงก็ไม่ได้มีธุระหรอก เพียงแต่ข้าไม่ชอบพิธีรีตอง เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน”

“สมกับเป็นเจ้า” เซียวเฟิงแกล้งทำท่านับถือให้นาง

“แน่นอน สมกับเป็นข้า” จ้าวเยว่เชิดหน้ารับอย่างภาคภูมิ

“แต่ว่าข้าไม่ได้พบเจ้าหลายปี เจ้าดูงดงามขึ้นมาก” เซียวเฟิงเอ่ยชม เขามองนางไปพลางก็ยิ้มไปพลาง

“เจ้าอย่ามาประชดข้าหน่อยเลย ข้าอึดอัดจะแย่แล้วเนี่ย”

จ้าวเยว่เอ่ยจบก็ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่าเดิม

ที่จริงแล้วสิ่งที่เซียวเฟิงเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เป็นการเอ่ยเกิน­ความจริงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่รู้สึกว่านางงดงามมากจริง ๆ งดงามจนไม่อยากให้ผู้ใดได้จ้าวเยว่ไปครอบครอง

ทว่าไม่ได้คิดจะเอ่ยมันออกมาในเวลานี้ พลางส่งกล่องไม้ที่มีอาหารปลาอยู่ในนั้นไปให้หญิงสาว

“รับไปสิ”

“ขอบคุณ” หญิงสาวรับมาด้วยความเต็มใจ ก่อนจะจัดการโปรยอาหารให้ปลาตัวน้อยที่กำลังว่ายตรงเข้ามาหาอาหาร

จ้าวเยว่กับเซียวเฟิงสนทนากันต่ออยู่พักใหญ่ จนถึงเวลาที่เซียวเฟิงต้องกลับไปที่งานเลี้ยง เนื่องจากมีเรื่องต้องสนทนากับขุน­นางด้วยกัน เขาจึงได้ขอตัวกลับไปในงานเลี้ยงก่อน โดยปล่อยให้จ้าวเยว่ยืนดูปลาภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในคืนวันเพ็ญเพียงคน­เดียว

ศาลาชมดาวมักเป็นที่ประจำสำหรับสตรีทั้งหลายเวลามีงาน­เลี้ยงเช่นนี้ แล้วตอนนี้บุตรีของขุนนางราวยี่สิบกว่าคน ก็มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ พวกนางมักจะสนทนากันเรื่องสัพเพเหระ หรือไม่ก็สนทนาถึงเรื่องของบุรุษที่ตนหมายปอง

ประเด็นของวันนี้ก็หนีไม่พ้นการเอ่ยถึงบุตรชายของท่านเซียวโหว นามว่าเซียวเฟิง ที่ตอนนี้กำลังหาบุตรีจากจวนตระกูลใหญ่มาแต่งงานด้วย

“ข้าว่าคงจะมีพวกขุนนางส่งบุตรสาวไปให้ท่านเซียวโหวเลือกอยู่ไม่น้อย เป็นถึงบุตรชายท่านโหว ใคร ๆ ก็ย่อมต้องการเกี่ยว­ดองด้วยทั้งนั้น” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้น

น้ำเสียงของนางแม้ดูจะประชดก็จริง แต่ว่าในใจก็อยากจะได้เซียวเฟิงมาครอบครองเช่นกัน

สตรีนางหนึ่งเดินแทรกเข้ามาตรงกลางแล้วเอ่ยว่า

“ใครจะไปสู้พี่หลิงเจียวของเราได้เล่า พี่หลิงเจียวออกจะเพียบพร้อม งามราวกับเทพเซียน ทั้งยังเป็นกุลสตรีมีกิริยาเรียบร้อย ชาติตระกูลก็ดี เหมาะสมกับบุตรชายของท่านโหวเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าก็เอ่ยเกินไปเสี่ยวเพ่ย ข้ามิได้ดีงามถึงขนาดนั้นหรอก”

ซูหลิงเจียวเอ่ยยิ้ม ๆ ทั้งที่ในใจก็พึงพอใจกับถ้อยวาจายกยอ

“แต่ก็ไม่มีใครงามเสมอท่านพี่จริงๆ นะเจ้าคะ ยกเว้น....จ้าว­เยว่” นี่คือคำเอ่ยของซูหนิง น้องสาวตัวดีของซูหลิงเจียว นางเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว

“ซูหนิง เจ้าอย่าได้ขัดจังหวะได้หรือไม่ เสียบรรยากาศหมด”

หวังเว่ยเถียนเอ่ยอย่างหัวเสีย

“ข้าเอ่ยความจริงก็ไม่ได้หรืออย่างไร” ซูหนิงเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางทำหน้างุนงงขึ้นมา ว่าทำไมนางจะเอ่ยความจริงไม่ได้ล่ะ

“จะว่าไป ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเซียวสนิทกับจ้าวเยว่มาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นวิ่งเล่นในจวนด้วยกันเลยนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”

ฟ่านถงถงเอ่ยขึ้นถึงข่าวที่นางได้ยินมา

สตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตอบขึ้นมาว่า

“อาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเจ้ากรมจ้าวกับท่านเซียวโหวทำงานใกล้ชิดกัน พวกเขาอาจจะไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ”

“แต่ข้าว่านะ คุณชายเซียวคงเป็นสหายกับนางไปอย่างนั้นเพราะจำใจ คงมิได้อยากจะใกล้ชิดกับนางสักเท่าไร หญิงเกียจคร้านอย่างนั้น ใครอยากจะสนิทสนมด้วยกันเล่า” หวังเว่ยเถียนกล่าวเสริม พร้อมกับแสยะยิ้มเป็นเชิงดูถูกหญิงสาวที่พวกนางเอ่ยถึง

ซูหนิงที่นิ่งฟังไปสักพักเอ่ยโพล่งขึ้นมาอีก

“แต่ข้าได้ยินข่าวมา ว่าท่านเคยไปขอนางเป็นสหาย แล้วถูกนางปฏิเสธกลับมามิใช่หรือ”

หวังเว่ยเถียนได้ยินก็โมโหจนโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความจริง “ซูหนิง ถ้าเจ้าเอ่ยอีกคำละก็...ข้าจะเอาสายรัดเอวยัดปากเจ้า”

พอได้ยินดังนั้น ซูหนิงจึงยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี

แล้วหวังเว่ยเถียนก็ได้ทีเอ่ยต่อ

“งั้นก็แสดงว่าท่านเจ้ากรมจ้าวนั้น วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิ ว่าจะผูกมัดสกุลเซียวกับสกุลจ้าวไว้ให้แน่น จึงได้เสนอบุตรสาวเข้าไปตั้งแต่ยังเป็นวัยแบเบาะ”

“พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้” ฟ่านถงถงเอ่ยแย้ง

“ถงถง คนที่เอาแต่คิดในแง่ดีอย่างเจ้า จะไปทันคนอื่นเขาได้­อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเรื่องของการเมืองเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่ง หากผูกมิตรกับขุนนางใหญ่โตได้ ก็ควรจะทำเอาไว้ แล้วเหตุใด สกุล­จ้าวจะไม่ทำเล่า ข้าว่าทั้งเจ้ากรมจ้าวแล้วก็ฮูหยิน ต้อง­วางแผนเอาไว้แล้ว ดูท่าน่าจะเจ้าเล่ห์กันอยู่ไม่น้อย” หวังเว่ยเถียนหยุด   กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าเองก็ระวังไว้เถอะ หากนางพลาดจากคุณชายเซียวเมื่อไร และบิดามารดาของนางหันมาหมาย­ปองคุณชายหลิวของเจ้า เจ้าจะลำบากเอา”

เอ่ยจบหวังเว่ยเถียนก็หันหน้าไปประจบสอพลอกับซูหลิงเจียวต่อ “ข้าว่านะ ถ้าคุณชายเซียวได้เห็นหลิงเจียวของเรา อย่างไรก็ต้องลืมจ้าวเยว่เป็นแน่ ใช่ไหมพวกเรา”

นั่นทำให้ทุกคนพยักหน้ารับอย่างจำใจ

         

จ้าวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินที่พวกบุตรสาวขุนนางทั้งหลายเอ่ยกันมาสักพักอย่างชัดถนัดหูทีเดียว

ซึ่งสาเหตุที่นางเดิน­มาที่ศาลาชมดาวแห่งนี้ ก็เพราะว่าอยากจะออกมาสัมผัสบรรยากาศนอกงานเลี้ยง แต่ว่าพอมาถึงกลับ­ได้พบกับเรื่องไม่น่าพึงใจเข้าเสียนี่ จึงได้เดินแหวกผู้คนเข้าไปกลางวงสนทนาอย่างไม่พอใจ

ทุกคนเห็นว่าเป็นจ้าวเยว่ ก็พากันตกใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่­คิดว่านางจะมาถึงที่นี่ และเรื่องที่พวกนางเอ่ยกันเมื่อสักครู่นี้ นาง­ก็คงได้ยินแล้วเป็นแน่

หลายคนถึงกับหน้าถอดสี แอบหลบไปแล้วก็มี แต่ว่าคู่สนทนาหลักอย่างหวังเว่ยเถียนกับซูหลิงเจียวนั้น ไม่สามารถหลบ­หน้าได้ จึงได้พากันทำใจดีสู้เสือ รอดูว่าจ้าวเยว่จะทำอย่างไรต่อไป

เดิมทีถ้าบรรดาสตรีเหล่านี้จะนินทานาง จ้าวเยว่ก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พวกเขากลับนินทาว่าร้ายไปจนถึงบิดามารดาของ­นาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ มือสองข้างของหญิงสาวกำแน่นจนซีดขาว และเจ้าตัวก็ต้องพยายามสูดลมหายใจเบา ๆ เพื่อระงับโทสะไว้

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องของข้านั้นหนักศีรษะพวกเจ้า แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในสมัยกวนหมิงฮ่องเต้ พวกเขาทำการลงโทษหญิงปากมากกันอย่างไร” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พลางปรายตามองสตรีแต่ละนางอย่างคาดโทษ

และผู้ที่ยกมือขึ้นตอบคือซูหนิง

“ข้ารู้ ๆ พวกเขาจะจับตัวนางไว้ แล้วก็บีบให้อ้าปาก จากนั้นก็เอาถ่านร้อน ๆ แนบลงไปที่ลิ้น”

“ซูหนิง!” ทั้งซูหลิงเจียวและหวังเว่ยเถียน ต่างก็ตวาดขึ้นมาพร้อมกัน

สตรีทุกนางในที่นั้น พอได้ยินก็ถึงกับขนลุกเกรียว ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ซีดเข้าไปอีก ได้แต่ยืนรอกันอย่างสงบเสงี่ยม ถึงแม้จะกลัว แต่ว่าก็ไม่มีใครคิดที่จะจากไป เพราะว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดตรงหน้าดูแล้ว น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

Related chapters

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 6  โต้กลับอย่างเจ็บแสบ

    บทที่ 6 โต้กลับอย่างเจ็บแสบ“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีการลงโทษแบบนั้นแล้ว สมัยนี้คือราชวงศ์ถังไม่ใช่ราชวงศ์กวน” หวังเว่ยเถียนเถียงกลับมาอย่างถือดี ทั้ง ๆ ที่ใน­ใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อยจ้าวเยว่หันไปมองหน้าหวังเว่ยเถียนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ อย่า­ลืมสิ ว่าบิดาของข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง อีกทั้งยังสนิทกับท่าน­เซียวโหว แล้วท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และหากฝ่าบาทให้นำการลงโทษนี้มาใช้ใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”บรรดาสตรีทุกนางต่างพากันปิดปากเงียบ มิมีผู้ใดกล้าต่อ­ปากต่อคำกับจ้าวเยว่สักคน เพราะไม่มีบิดาของผู้ใดที่จะมียศ­ตำแหน่งเทียบเท่ากับบิดาของนาง เว้นก็แต่บิดาของซูหลิงเจียว แต่ซูหลิงเจียวกลับวางท่าสุขุมไม่โต้ตอบอะไรหวังเว่ยเถียนเมื่อนึกคำเอ่ยออก ก็เอ่ยขึ้นมา“เจ้าคิดว่าวาจาที่มาจากสตรีที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะรับฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”คำเอ่ยของหวังเว่ยเถียนประโยคนี้ มิได้สร้างความสั่นสะเทือนใด ๆ ให้กับจ้าวเยว่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายนางยังหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ฟังจบ“หวังเว่ยเถียนนะ

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 7 ศึกทางทิศเหนือจบลง

    บทที่ 7 ศึกทางทิศเหนือจบลงณ เมืองอวี้โจว แคว้นสือเจ้า ทางตอนเหนือของแคว้นฉางอันตะวันออก เฉินฉิงตะลีตะลานหลบหนี เมื่อเห็นประตูเมืองถูกตีแตก เขามีสภาพกระเซอะกระเซิง แต่ก็ไม่อาจละวางหน้าที่ในมือลงได้ ชาย­หนุ่มยังคงกวาดสายตาอย่างกระวนกระวายแล้ววิ่งไปอย่างไร้ทิศทางเวลานี้จวนเจ้าเมืองกำลังเกิดเพลิงไหม้ ในใจเขาคิดว่าอย่างไรต้องหามันให้เจอ ก่อนที่กองกำลังของศัตรูจะมาถึงแล้วชิงมันกลับไป สุดท้ายจึงกัดฟันวิ่งเข้าไปในจวนที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ ทว่าด้านในเปลวไฟลุกท่วมโชติช่วงรุนแรง เรือนทั้งหลังกำลังจมอยู่ในกองเพลิง ขื่อ­ คานพังถล่มอย่างต่อเนื่อง จนเขาต้องผงะถอยไปหลายก้าว‘เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตราประทับจะต้องถูกแย่งชิงคืนไปเป็นแน่ แต่ข้าไม่ยอมแค่นี้แน่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพแดนใต้ของแคว้นสือเจ้า จะต้องนำมันไปให้ท่านอ๋องให้ได้’อารมณ์ความฮึกเหิมพุ่งขึ้น เขาหมุนตัวกลับหมาย­จะกลับไปแลกชีวิตกับแม่ทัพเสวี่ย ทว่าเพิ่งออกจากจวนนั้นได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเขา ซึ่งนั่นก็คือเสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพแห่งแคว้นฉางอันนั่นเองเฉิงฉิงอาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่เบื้องหลัง แล้วพยายามเพ่งเล

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 8 สมรสพระราชทาน

    บทที่ 8 สมรสพระราชทานแม่ทัพเสวี่ยเมื่อมาถึงเมืองหมิงเวย ก็มุ่งหน้าไปที่พระราชวังโดยไม่หยุดพักที่ใด ถึงแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการกรำศึกมา­เป็นเวลาหลายเดือน แต่ทว่าความมุ่งมั่นในการทำเพื่อแผ่นดินของเขานั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จึงต้องนำรายงานไปกราบทูลฮ่องเต้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จะต้องส่งคืนให้ถึงมือ รวมถึงเครื่องบรรณาการต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเมือ­งอวี้โจว“เร่งฝีเท้าเร็วเข้า อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนาน” แม่ทัพเสวี่ยเอ่ย­ขึ้นด้วยเสียงจริงจังขบวนของแม่ทัพเสวี่ยเปลี่ยนจากการเดินเท้าด้วยความเร็วมาเป็นวิ่งเหยาะ เพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเดิมโดยครั้งนี้แม่ทัพเสวี่ยนำทหารมาด้วยเพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น ส่วนทหารที่เหลือในกองทัพ ได้ถูกสั่งการให้เดินทางกลับเข้าค่ายทหารซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองไปเรียบร้อยแล้วในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็เคลื่อนมาถึงพระราชวัง“แม่ทัพเสวี่ยมาถึงแล้ว!” เสียงทหารเฝ้าประตูวังดังขึ้นแม่ทัพเสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังท้องพระโรงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนรองแม่ทัพและทหารที่เหลือ ต่างยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมกับเคลื่อนย้ายเหล่าเครื่อง

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 9 ข่าวกระจายแพร่ออกไป

    บทที่ 9 ข่าวกระจายแพร่ออกไปข่าวการสมรสพระราชทาน ระหว่างคุณหนูสกุลจ้าวและแม่­ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วฉางอัน ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเจ้าสาวจะเป็นจ้าวเยว่ เนื่องจากนางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก อันมาจากความเกียจคร้านของนาง จนบางคนถึงกลับเอาไปนินทากันต่าง ๆ นานาในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซูหลิงเจียว หวังเว่ยเถียน และสตรีอีกสองสามนาง กำลังนั่งจิบน้ำชากันอยู่ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้กำลังเล่าลือกันปากต่อปากถึงเรื่องสมรสพระราชทานครั้งนี้เช่นกัน“เจ้าคิดว่าเมื่อจ้าวเยว่แต่งเข้าจวนของแม่ทัพเสวี่ยแล้ว นางจะอยู่ได้หรือไม่” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าจ้าวเยว่นั้นไม่มีอะไรที่เทียบเคียงกับท่านแม่ทัพได้เลยซูหลิงเจียวจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่­ต่างกัน “ข้าว่านางอยู่ได้ไม่นานหรอก คนเกียจคร้านอย่างนาง ไหนเลยจะทำหน้าที่ฮูหยินที่ดีได้”“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย ไหนจะเรื่องการดูแลเรือน ไหนจะเรื่องปรนนิบัติสามี ข้าว่านางทำไม่ได้หรอก ดีไม่ดีนางได้วิ่งออกมาจากจวนตระกูลเสวี่ย ตั้งแต่สามวันแรกที่แต่งเข้าจวนด้วยซ้ำ” สตรีนางหนึ่งกล่าวเ

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 10 ไม่สามารถขัดขืนได้

    บทที่ 10 ไม่สามารถขัดขืนได้เมื่อได้รับคำสั่งแน่ชัดแล้ว จ้าวเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการ­แต่งงานในครั้งนี้ เพราะต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาง ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และแม้จะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้นางจะต้องออกเรือน แต่เรื่องการแต่งงานของนางคงต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เนื่องจากท่านแม่คงไม่ยินยอมจ้าวเยว่เดินมาที่บ่อปลาในสวนหลังจวนอีกเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจ หรือว่าโกรธ ก็จะมาสนทนากับเหล่าสหายปลาที่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงนี้เสมอถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ปลา ไม่สามารถกล่าววาจาโต้ตอบใด ๆ ได้ก็จริง แต่เมื่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกมันฟังแล้ว พวกมันก็จะรับฟังแต่โดยดี จนนางรู้สึกสบายใจขึ้นจ้าวเยว่นั่งลงที่ข้างบ่อปลา หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้ว­ตีน้ำเบา ๆ “เจ้าปลาทั้งหลาย พวกเจ้าคิดว่าเรื่องของข้านั้นน่า­เป็นกังวลหรือไม่ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ เป็น­อะไรที่ข้าไม่ยินดียินร้ายเอาเสียเลย ข้ารู้สึกลึก ๆ ว่าตนเองไม่ได้­อยากจะแต่งงานเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปทำไม หรือว่าหัวใจของข้าจะด้านชาไปเสียแล้ว อีกอย่าง ถ้าข้าออกเรือนไป จะท

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 11 นางเป็นสตรีที่แปลกยิ่งนัก

    บทที่ 11 นางเป็นสตรีที่แปลกยิ่งนักในระหว่างที่พี่ชายทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ เสียงกุกกักก็ดังมาจากด้านหลังของหีบใบหนึ่งตรงมุมห้อง จ้าวเยว่ถึงกับตกใจเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกพี่ชายทั้ง­สองจึงจับความผิดปกติได้ในทันที จ้าวหลู่เจินลุกขึ้นและเดินตรงไปที่หีบใบนั้น พลางชักดาบคู่­กายออกจากฝักคมดาบในมือต้องแสงเทียนจนเป็นประกาย ชาย­หนุ่มได้ใช้ปลายดาบจ่อไปตรงกลางหีบแล้วเอ่ยเสียงดัง “ออกมา!” เซียวเฟิงกับซูหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ต่างยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยิ้มเจื่อนออกมา“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าเอง” เซียวเฟิงยิ้มแหย ๆ ขณะเอ่ยด้วยเสียงอ่อย“ให้ตายเถอะคุณชายเซียว เหตุใดจึงได้มาอยู่ในห้องของน้อง­สามได้ล่ะ” จ้าวหลู่เจินถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นในห้องของน้องสาวเซียวเฟิงที่บัดนี้หายตกใจแล้ว จึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ก็เหมือนพวกท่านทั้งสองนั่นแหละ ข้าได้ข่าวเรื่องการแต่งงาน จึงมาปลอบนาง”ทั้งจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินมองไปทางซูหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิง แล้วจ้าวหลู่เจินก็เอ่ยถามเสียงเข้ม“แล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร”ซูหนิงกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้แม้แต่จะเปิดปา

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้น

    บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้นเมื่อมาถึงห้องโถง จ้าวเยว่ก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับข้าวของที่วางเรียงรายอยู่ มีทั้งเครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ปิ่นปักผม กำไลหยก และผ้าไหมแพรพรรณราคาแพงอีกหลายพับตอนแรกนางนึกแปลกใจอยู่ว่าจ้าวฮูหยินลงทุนซื้อของมากมายขนาดนี้ทำไมกัน ทว่าก็ได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ มิได้ถามไถ่ออกมา“ท่านแม่ เรียกข้ามามีอะไรหรือเจ้าคะ แล้วนี่อะไรเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งนายหญิงของจวน หันหน้าไปทางสิ่งของเหล่านั้นทันทีเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยถาม“เจ้าคงเห็นสิ่งของพวกนี้แล้วสินะ”“เจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินเมื่อได้รับคำตอบของบุตรสาวจึงได้เอ่ยประโยคต่อมา “นี่เป็นสิ่งของที่­ฮ่องเต้กับฮองเฮาพระราชทานให้แก่เจ้า เป็นสิ่งสำคัญที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้ยามออกเรือน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาวัดตัวเพื่อตัดชุด­แต่งงานให้เจ้า”จ้าวเยว่มองไปที่ผ้าไหมสีแดงหลายพับที่อยู่ในหีบที่กำลังเปิดอ้า พร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ หากเป็นสตรีอื่น พวกนางคงดีใจกันจนแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว ที่ได้รับสิ่งของพระราชทานเหล่านี้ ซึ่ง­ขัดแย้งกับกิริยาของนางในตอนนี้ยิ่งนักเนื่องจากหญิงสาวไม่รู้สึกอะไรกับข้าวของพวกนี้ที่ได

    Last Updated : 2025-01-25
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 13 ข้าไม่อยากทำอันใด

    บทที่ 13 ข้าไม่อยากทำอันใดลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่น­สะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้นเวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่­พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่มผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็­ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุก­จากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้องส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็ค

    Last Updated : 2025-01-25

Latest chapter

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 6 จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้น ครอบครัว

    ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 5 จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้น ปกป้องเมือง

    ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 4 จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่

    ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้­แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 3 ซูหนิง - เซียวเฟิง แต่งงาน

    ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 2   ซูหนิง - เซียวเฟิง ข้าจะแต่งกับท่าน

    ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิง ข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกัน

    ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทส่งท้าย เพราะรัก

    บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมือง­ผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 62 ถึงเมืองผานหยาง

    บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัด­เหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 61 รับตำแหน่งใหม่

    บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่­ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status