ในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น
นางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิดเตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้ว
จ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว
“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชาย
จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่ยว่า “แล้วเหตุใดเจ้าไม่ไปกินที่โต๊ะของเจ้าเล่า”
“ข้าไม่อยากไปนั่งร่วมวงกับสตรีพวกนั้นเจ้าค่ะ”
นางตอบกลับพี่ชาย น้ำเสียงนั้นคล้ายกับว่ากำลังไม่พอใจสตรีพวกนั้น จนพี่ชายอย่างจ้าวอวี้เฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“แล้วเจ้าไม่ใช่สตรีหรืออย่างไร เป็นสตรีแต่มานั่งที่สำหรับบุรุษ เดี๋ยวก็โดนเอาไปนินทาหรอก”
จ้าวเยว่หันมามองหน้าพี่ชายคนรอง พร้อมกับยิ้มกว้าง
“ช่างปะไรเล่าพี่รอง ข้าจ้าวเยว่ มิเคยคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”
จ้าวหลู่เจินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือข้างหนึ่งหยิบจานใส่ขนมกุ้ยฮวาหิมะส่งให้น้องสาวของตน
จ้าวเยว่รับขนมมา แล้วจับเข้าปากเคี้ยวอย่างรีบร้อน สักพักขนมก็ติดคอจนต้องไอออกมา
“ดื่มน้ำชาก่อน” จ้าวอวี้เฉินยื่นถ้วยน้ำชาให้ ด้านในเป็นชาหลงจิ่งอุ่น ๆ
นางรับไปดื่มรวดเดียวหมด พอกลืนทุกอย่างลงคอแล้ว ก็หันไปถามพี่ชายทั้งสองต่อ “ท่านคิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะยาวถึงเมื่อไรเจ้าคะ ข้าอยากกลับจวนแล้ว ชุดนี้อึดอัดจะแย่”
“น่าจะราวยามห้าย กระมัง ท่านพ่อคงจะกลับเป็นคนสุดท้ายตามเคย” จ้าวหลู่เจินตอบ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองพระจันทร์เพื่อความมั่นใจ
จ้าวเยว่ได้รู้คำตอบแล้วก็ทำหน้าตาบูดบึ้งขึ้นมา
“ยามห้าย อีกตั้งหลายชั่วยาม ข้าจะไปทำอะไรที่ไหนได้เล่า”
“เจ้าก็ไปยืนคุยกับสตรีอื่น เหมือนที่สตรีพึงกระทำสิ”
จ้าวอวี้เฉินเสนอในสิ่งที่นางควรกระทำ
“ท่านก็รู้นี่ว่าข้าไม่มีสหายที่เป็นสตรี แล้วท่านจะให้ไปคุยกับใครกันเล่า” ผู้เป็นน้องสาวตอบกลับด้วยความหงุดหงิด
เมื่อเห็นน้องทั้งสองใช้วาจาหยอกล้อกันไปมาไม่หยุด พี่ชายคนโตของจวนก็เอ่ยตัดบทขึ้นมา
“พวกเจ้าพอได้แล้ว ด้านหลังตำหนักมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ เจ้ารีบกินแล้วก็รีบไปเถอะ ที่นั่นอาจจะมีปลาที่เจ้าไม่เคยเห็นก็ได้”
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบอย่างตื่นเต้น แล้วรีบยัดขนมเข้าปาก พลางหยิบขนมอีกสองอันใส่ในอกเสื้อด้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไป พร้อมกับมุ่งตรงไปยังด้านหลังตำหนัก
ด้านหลังของตำหนักมีบ่อปลาอยู่จริง ๆ แถมยังเป็นบ่อปลาขนาดใหญ่ที่มีปลาเป็นร้อย ๆ ตัว ตรงกลางมีสะพานโค้งทอดข้าม เพื่อให้สามารถเดินขึ้นไปดูปลาที่กลางบ่อได้ จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบวิ่งขึ้นสะพานไป
ในบ่อมีปลามากมายหลายสี ปลาบางตัวก็เหมือนกับปลาที่จวน แต่บางตัวก็เป็นปลาที่ดูแปลกใหม่ แบบที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
นางยืนดูพวกมันแหวกว่ายไปมา พร้อมกินขนมที่แอบขโมยมาไปด้วยอย่างมีความสุข สักพักก็คิดขึ้นมาว่าหากมีอาหารปลาก็คงจะดี เนื่องจากจ้าวเยว่นั้นชอบให้อาหารปลาเป็นที่สุด
แต่จู่ ๆ ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นมาบนสะพานโค้ง ในมือของเขามีกล่องไม้สำหรับใส่อาหารปลามาด้วย
“ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้าต้องมาอยู่ที่นี่” เซียวเฟิงเอ่ยทักจ้าวเยว่ด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเจ้านั่นเอง ข้าคิดว่าจะไม่มีใครรู้เสียอีก ว่าข้าอยู่ที่นี่”
จ้าวเยว่ตอบกลับ เมื่อเห็นสหายเก่านางก็ยิ้มให้เล็กน้อย
เซียวเฟิงกระแอมครั้งหนึ่ง ก่อนจะทำท่าทางราวกับผู้รู้แล้วเอ่ยว่า “อืม...ประการแรก ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่อยากอยู่ในงานเลี้ยง ประการที่สอง ไม่มีทางที่เจ้าจะไปสนทนากับสตรีพวกนั้นเป็นแน่ และประการที่สามก็คือ...ข้ารู้ว่าเจ้าชอบปลาเป็นที่สุด”
“เจ้านี่สมกับเป็นสหายของข้าจริง ๆ” จ้าวเยว่ปรบมือและพยักหน้าให้เขาอย่างภาคภูมิใจ
“เหตุใดเมื่อเดือนที่แล้วเจ้าจึงไม่มางานเลี้ยงที่จวนข้า”
เซียวเฟิงถามในเรื่องที่เขาข้องใจมาตลอดหนึ่งเดือน
“ข้ามีธุระน่ะ” จ้าวเยว่ตอบกลับเพียงสั้น ๆ
“อย่างเจ้าน่ะหรือมีธุระ ข้าฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ”
“ที่จริงก็ไม่ได้มีธุระหรอก เพียงแต่ข้าไม่ชอบพิธีรีตอง เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน”
“สมกับเป็นเจ้า” เซียวเฟิงแกล้งทำท่านับถือให้นาง
“แน่นอน สมกับเป็นข้า” จ้าวเยว่เชิดหน้ารับอย่างภาคภูมิ
“แต่ว่าข้าไม่ได้พบเจ้าหลายปี เจ้าดูงดงามขึ้นมาก” เซียวเฟิงเอ่ยชม เขามองนางไปพลางก็ยิ้มไปพลาง
“เจ้าอย่ามาประชดข้าหน่อยเลย ข้าอึดอัดจะแย่แล้วเนี่ย”
จ้าวเยว่เอ่ยจบก็ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่าเดิม
ที่จริงแล้วสิ่งที่เซียวเฟิงเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เป็นการเอ่ยเกินความจริงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่รู้สึกว่านางงดงามมากจริง ๆ งดงามจนไม่อยากให้ผู้ใดได้จ้าวเยว่ไปครอบครอง
ทว่าไม่ได้คิดจะเอ่ยมันออกมาในเวลานี้ พลางส่งกล่องไม้ที่มีอาหารปลาอยู่ในนั้นไปให้หญิงสาว
“รับไปสิ”
“ขอบคุณ” หญิงสาวรับมาด้วยความเต็มใจ ก่อนจะจัดการโปรยอาหารให้ปลาตัวน้อยที่กำลังว่ายตรงเข้ามาหาอาหาร
จ้าวเยว่กับเซียวเฟิงสนทนากันต่ออยู่พักใหญ่ จนถึงเวลาที่เซียวเฟิงต้องกลับไปที่งานเลี้ยง เนื่องจากมีเรื่องต้องสนทนากับขุนนางด้วยกัน เขาจึงได้ขอตัวกลับไปในงานเลี้ยงก่อน โดยปล่อยให้จ้าวเยว่ยืนดูปลาภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในคืนวันเพ็ญเพียงคนเดียว
ศาลาชมดาวมักเป็นที่ประจำสำหรับสตรีทั้งหลายเวลามีงานเลี้ยงเช่นนี้ แล้วตอนนี้บุตรีของขุนนางราวยี่สิบกว่าคน ก็มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ พวกนางมักจะสนทนากันเรื่องสัพเพเหระ หรือไม่ก็สนทนาถึงเรื่องของบุรุษที่ตนหมายปอง
ประเด็นของวันนี้ก็หนีไม่พ้นการเอ่ยถึงบุตรชายของท่านเซียวโหว นามว่าเซียวเฟิง ที่ตอนนี้กำลังหาบุตรีจากจวนตระกูลใหญ่มาแต่งงานด้วย
“ข้าว่าคงจะมีพวกขุนนางส่งบุตรสาวไปให้ท่านเซียวโหวเลือกอยู่ไม่น้อย เป็นถึงบุตรชายท่านโหว ใคร ๆ ก็ย่อมต้องการเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้น” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงของนางแม้ดูจะประชดก็จริง แต่ว่าในใจก็อยากจะได้เซียวเฟิงมาครอบครองเช่นกัน
สตรีนางหนึ่งเดินแทรกเข้ามาตรงกลางแล้วเอ่ยว่า
“ใครจะไปสู้พี่หลิงเจียวของเราได้เล่า พี่หลิงเจียวออกจะเพียบพร้อม งามราวกับเทพเซียน ทั้งยังเป็นกุลสตรีมีกิริยาเรียบร้อย ชาติตระกูลก็ดี เหมาะสมกับบุตรชายของท่านโหวเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าก็เอ่ยเกินไปเสี่ยวเพ่ย ข้ามิได้ดีงามถึงขนาดนั้นหรอก”
ซูหลิงเจียวเอ่ยยิ้ม ๆ ทั้งที่ในใจก็พึงพอใจกับถ้อยวาจายกยอ
“แต่ก็ไม่มีใครงามเสมอท่านพี่จริงๆ นะเจ้าคะ ยกเว้น....จ้าวเยว่” นี่คือคำเอ่ยของซูหนิง น้องสาวตัวดีของซูหลิงเจียว นางเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว
“ซูหนิง เจ้าอย่าได้ขัดจังหวะได้หรือไม่ เสียบรรยากาศหมด”
หวังเว่ยเถียนเอ่ยอย่างหัวเสีย
“ข้าเอ่ยความจริงก็ไม่ได้หรืออย่างไร” ซูหนิงเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางทำหน้างุนงงขึ้นมา ว่าทำไมนางจะเอ่ยความจริงไม่ได้ล่ะ
“จะว่าไป ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเซียวสนิทกับจ้าวเยว่มาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นวิ่งเล่นในจวนด้วยกันเลยนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
ฟ่านถงถงเอ่ยขึ้นถึงข่าวที่นางได้ยินมา
สตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตอบขึ้นมาว่า
“อาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเจ้ากรมจ้าวกับท่านเซียวโหวทำงานใกล้ชิดกัน พวกเขาอาจจะไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ”
“แต่ข้าว่านะ คุณชายเซียวคงเป็นสหายกับนางไปอย่างนั้นเพราะจำใจ คงมิได้อยากจะใกล้ชิดกับนางสักเท่าไร หญิงเกียจคร้านอย่างนั้น ใครอยากจะสนิทสนมด้วยกันเล่า” หวังเว่ยเถียนกล่าวเสริม พร้อมกับแสยะยิ้มเป็นเชิงดูถูกหญิงสาวที่พวกนางเอ่ยถึง
ซูหนิงที่นิ่งฟังไปสักพักเอ่ยโพล่งขึ้นมาอีก
“แต่ข้าได้ยินข่าวมา ว่าท่านเคยไปขอนางเป็นสหาย แล้วถูกนางปฏิเสธกลับมามิใช่หรือ”
หวังเว่ยเถียนได้ยินก็โมโหจนโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความจริง “ซูหนิง ถ้าเจ้าเอ่ยอีกคำละก็...ข้าจะเอาสายรัดเอวยัดปากเจ้า”
พอได้ยินดังนั้น ซูหนิงจึงยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
แล้วหวังเว่ยเถียนก็ได้ทีเอ่ยต่อ
“งั้นก็แสดงว่าท่านเจ้ากรมจ้าวนั้น วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิ ว่าจะผูกมัดสกุลเซียวกับสกุลจ้าวไว้ให้แน่น จึงได้เสนอบุตรสาวเข้าไปตั้งแต่ยังเป็นวัยแบเบาะ”
“พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้” ฟ่านถงถงเอ่ยแย้ง
“ถงถง คนที่เอาแต่คิดในแง่ดีอย่างเจ้า จะไปทันคนอื่นเขาได้อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเรื่องของการเมืองเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่ง หากผูกมิตรกับขุนนางใหญ่โตได้ ก็ควรจะทำเอาไว้ แล้วเหตุใด สกุลจ้าวจะไม่ทำเล่า ข้าว่าทั้งเจ้ากรมจ้าวแล้วก็ฮูหยิน ต้องวางแผนเอาไว้แล้ว ดูท่าน่าจะเจ้าเล่ห์กันอยู่ไม่น้อย” หวังเว่ยเถียนหยุด กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าเองก็ระวังไว้เถอะ หากนางพลาดจากคุณชายเซียวเมื่อไร และบิดามารดาของนางหันมาหมายปองคุณชายหลิวของเจ้า เจ้าจะลำบากเอา”
เอ่ยจบหวังเว่ยเถียนก็หันหน้าไปประจบสอพลอกับซูหลิงเจียวต่อ “ข้าว่านะ ถ้าคุณชายเซียวได้เห็นหลิงเจียวของเรา อย่างไรก็ต้องลืมจ้าวเยว่เป็นแน่ ใช่ไหมพวกเรา”
นั่นทำให้ทุกคนพยักหน้ารับอย่างจำใจ
จ้าวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินที่พวกบุตรสาวขุนนางทั้งหลายเอ่ยกันมาสักพักอย่างชัดถนัดหูทีเดียว
ซึ่งสาเหตุที่นางเดินมาที่ศาลาชมดาวแห่งนี้ ก็เพราะว่าอยากจะออกมาสัมผัสบรรยากาศนอกงานเลี้ยง แต่ว่าพอมาถึงกลับได้พบกับเรื่องไม่น่าพึงใจเข้าเสียนี่ จึงได้เดินแหวกผู้คนเข้าไปกลางวงสนทนาอย่างไม่พอใจ
ทุกคนเห็นว่าเป็นจ้าวเยว่ ก็พากันตกใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่คิดว่านางจะมาถึงที่นี่ และเรื่องที่พวกนางเอ่ยกันเมื่อสักครู่นี้ นางก็คงได้ยินแล้วเป็นแน่
หลายคนถึงกับหน้าถอดสี แอบหลบไปแล้วก็มี แต่ว่าคู่สนทนาหลักอย่างหวังเว่ยเถียนกับซูหลิงเจียวนั้น ไม่สามารถหลบหน้าได้ จึงได้พากันทำใจดีสู้เสือ รอดูว่าจ้าวเยว่จะทำอย่างไรต่อไป
เดิมทีถ้าบรรดาสตรีเหล่านี้จะนินทานาง จ้าวเยว่ก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พวกเขากลับนินทาว่าร้ายไปจนถึงบิดามารดาของนาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ มือสองข้างของหญิงสาวกำแน่นจนซีดขาว และเจ้าตัวก็ต้องพยายามสูดลมหายใจเบา ๆ เพื่อระงับโทสะไว้
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องของข้านั้นหนักศีรษะพวกเจ้า แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในสมัยกวนหมิงฮ่องเต้ พวกเขาทำการลงโทษหญิงปากมากกันอย่างไร” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พลางปรายตามองสตรีแต่ละนางอย่างคาดโทษ
และผู้ที่ยกมือขึ้นตอบคือซูหนิง
“ข้ารู้ ๆ พวกเขาจะจับตัวนางไว้ แล้วก็บีบให้อ้าปาก จากนั้นก็เอาถ่านร้อน ๆ แนบลงไปที่ลิ้น”
“ซูหนิง!” ทั้งซูหลิงเจียวและหวังเว่ยเถียน ต่างก็ตวาดขึ้นมาพร้อมกัน
สตรีทุกนางในที่นั้น พอได้ยินก็ถึงกับขนลุกเกรียว ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ซีดเข้าไปอีก ได้แต่ยืนรอกันอย่างสงบเสงี่ยม ถึงแม้จะกลัว แต่ว่าก็ไม่มีใครคิดที่จะจากไป เพราะว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดตรงหน้าดูแล้ว น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
บทที่ 1 จ้าวเยว่หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่งอำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียวฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมืองส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุดอีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุนนางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสามจ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าวหลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโด
บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดีแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้“ผิงผิง ๆ”“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านในห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็นงานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่าผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวใ
บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้านตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกันหมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำตัวราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าวเยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมังพี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรงว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเองพอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าวไพร่มารวมตัวกันที่สวนหลังจวนพอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคนเดียว
บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม”จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา“ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่ม้ายังดีเสียกว่า”จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราวกับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง“ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า”“หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้ากันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่”“ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสด
บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไรในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้นนางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิดเตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้วจ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชายจ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่
บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม”จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา“ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่ม้ายังดีเสียกว่า”จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราวกับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง“ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า”“หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้ากันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่”“ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสด
บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้านตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกันหมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำตัวราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าวเยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมังพี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรงว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเองพอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าวไพร่มารวมตัวกันที่สวนหลังจวนพอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคนเดียว
บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดีแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้“ผิงผิง ๆ”“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านในห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็นงานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่าผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวใ
บทที่ 1 จ้าวเยว่หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่งอำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียวฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมืองส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุดอีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุนนางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสามจ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าวหลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโด