ในระหว่างที่พี่ชายทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ เสียงกุกกักก็ดังมาจากด้านหลังของหีบใบหนึ่งตรงมุมห้อง จ้าวเยว่ถึงกับตกใจเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
พี่ชายทั้งสองจึงจับความผิดปกติได้ในทันที จ้าวหลู่เจินลุกขึ้นและเดินตรงไปที่หีบใบนั้น พลางชักดาบคู่กายออกจากฝัก
คมดาบในมือต้องแสงเทียนจนเป็นประกาย ชายหนุ่มได้ใช้ปลายดาบจ่อไปตรงกลางหีบแล้วเอ่ยเสียงดัง “ออกมา!”
เซียวเฟิงกับซูหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ต่างยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยิ้มเจื่อนออกมา
“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าเอง” เซียวเฟิงยิ้มแหย ๆ ขณะเอ่ยด้วยเสียงอ่อย
“ให้ตายเถอะคุณชายเซียว เหตุใดจึงได้มาอยู่ในห้องของน้องสามได้ล่ะ” จ้าวหลู่เจินถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นในห้องของน้องสาว
เซียวเฟิงที่บัดนี้หายตกใจแล้ว จึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ก็เหมือนพวกท่านทั้งสองนั่นแหละ ข้าได้ข่าวเรื่องการแต่งงาน จึงมาปลอบนาง”
ทั้งจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินมองไปทางซูหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิง แล้วจ้าวหลู่เจินก็เอ่ยถามเสียงเข้ม
“แล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร”
ซูหนิงกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้แม้แต่จะเปิดปากเอ่ยก็ยังทำไม่ได้ จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้นจึงชิงตอบแทน
“คุณหนูรองตระกูลซู นางมีชื่อว่าซูหนิง นางเป็นสหายของข้าเอง”
“ใช่ ๆ” ซูหนิงพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
จ้าวอวี้เฉินยิ้มให้น้องสาวของตนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่เลวนี่ เดี๋ยวนี้มีสหายกับเขาแล้วหรือ”
“ก็มีแค่สองคนนี่แหละเจ้าค่ะท่านพี่” จ้าวเยว่จึงเอ่ยตอบพี่ชาย
“สาม” ซูหนิงแทรกขึ้นมา “ท่านลืมพี่ถงถงแล้วหรือ วันนั้นนางก็เดินออกมาอยู่ข้างท่านด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงฟ่านถงถง จ้าวเยว่ก็นึกออกขึ้นมาทันที
“อ้อ...แม่นางที่มีคุณธรรมผู้นั้นนั่นเอง”
หลังจากนั้น คนทั้งห้าก็สนทนากันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันไป เซียวเฟิงกับซูหนิงเองก็ต้องกลับจวนแล้ว เพราะได้หายออกมานาน เดี๋ยวจะเป็นที่สงสัยเอา จ้าวเยว่จึงได้ฝากพี่ชายให้ไปส่งสหายทั้งสองด้วยตัวเอง
จ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินจึงได้ช่วยคุ้มครองให้พวกเขาออกทางประตูหลังไป
เช้าวันต่อมา
จ้าวเยว่ตื่นขึ้นมาปฏิบัติตัวเฉกเช่นทุกวัน ซึ่งก็คือไปล้างหน้าบ้วนปาก แล้วก็ไปกินอาหารเช้าด้วยความเกียจคร้าน ถ้าหากเป็นบุตรสาวจวนอื่น เมื่อได้รับการสมรสพระราชทาน พวกนางจะต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะเตรียมการทุกอย่างเพื่อเป็นเจ้าสาว
แต่สำหรับจ้าวเยว่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ไม่สามารถมาสั่นคลอนวิถีชีวิตอันเกียจคร้านของนางได้ทั้งนั้น
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งบิดาและพี่ชายทั้งสองก็ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตน ในห้องโถงตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่จ้าวเยว่กับจ้าวฮูหยินเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อน เจ้าอย่าเพิ่งไป”
เสียงของจ้าวฮูหยินดังขึ้นมา เมื่อจ้าวเยว่กำลังจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องโถงไป
นางจำต้องหมุนตัวกลับไปหาด้วยท่าทีที่เบื่อหน่ายก่อนจะถามกลับมารดาของตน
“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
จ้าวฮูหยินควักถุงเงินออกมาแล้ววางบนโต๊ะ
“เอาเงินนี่ไปแล้วไปซื้อสิ่งของที่เจ้าต้องการ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว”
“ให้ข้าซื้ออะไรหรือเจ้าคะท่านแม่”
จ้าวเยว่ไม่ได้เสแสร้ง แต่นางไม่รู้จริง ๆ ว่าการเป็นเจ้าสาวต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จึงได้ถามออกไป
“เจ้านี่มันจริง ๆ เลยนะ เจ้าก็ไปหาซื้อพวกเครื่องหอม ผ้าขัดตัว น้ำมันใส่ผิว น้ำมันทาผม แป้งผัดหน้า ชาด หรืออะไรก็ตามที่เจ้าต้องใช้บำรุงตัวเองในทุกวันอย่างไรเล่า” จ้าวฮูหยินเอ่ยด้วยความอ่อนใจเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนนั้นช่างไม่รู้อะไรเลย
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบกลับจากนั้นจึงยื่นมือไปรับถุงเงินจากมารดามาไว้กับตน พร้อมกับก้าวออกมาจากห้องโถงทันที
เมื่อถึงยามอู่[1] จ้าวเยว่และผิงผิง ก็พากันเดินมาถึงตลาดทางตอนใต้ของแคว้นฉางอัน สาเหตุที่จ้าวเยว่เลือกมาที่ตลาดแห่งนี้เพราะว่าตลาดนี้อยู่ไกลจากจวนของนางเป็นพิเศษ สามารถถ่วงเวลาให้เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกได้นานขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ ผิงผิงจำได้ว่ามีร้านขายน้ำมันทาผิวกับน้ำมันใส่ผมอยู่ทางด้านโน้น พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ผิงผิงบอกพร้อมกวักมือเรียกนายของตน
จ้าวเยว่ที่กำลังยืนมองภาพวาดอยู่อย่างใจจดใจจ่อ และไม่ได้สนใจที่ผิงผิงเอ่ยแม้แต่น้อย นางได้แต่โบกมือให้ผิงผิงไปซื้อของเอง
“คุณหนูต้องไปลองดมกลิ่นดู ว่าชอบกลิ่นไหนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปซื้อมาเถอะ จะกลิ่นไหนมันก็ทาได้ทั้งนั้น ขอแค่ไม่ใช่กลิ่นเหม็นก็พอ”
ผิงผิงเดินจากไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมขวดน้ำมันสองขวด
“ได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนู ท่านจะลองดมดูหน่อยหรือไม่”
ผิงผิงยื่นขวดน้ำมันให้คุณหนู แค่จ้าวเยว่ก็ยังโบกมือไล่
จ้าวเยว่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางรู้สึกอยากได้ภาพ ๆ หนึ่งขึ้นมา ภาพนี้เขียนขึ้นโดยจิตรกรที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก นามว่าหลินย่อฝู่ ทว่าความสามารถการวาดเส้นของเขานั้นช่างคมคาย จนสะกดใจจ้าวเยว่ให้ยืนมองได้ตั้งนานสองนาน
“ผิงผิง เงินเหลืออยู่เท่าไร” จ้าวเยว่ถามขึ้นมา โดยไม่หันไปมองคนข้างกาย สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดภาพนั้น
“จะซื้อภาพนี้ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู เงินนี้เราต้องเอาไปซื้อพวกเครื่องหอม ผ้าขัดตัว แป้งผัดหน้า แล้วก็ชาดอีก ไหนจะเหลือไว้กินข้าวกลางวันด้วย ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าอยากได้จริง ๆ นะ” จ้าวเยว่ยังคงดื้อดึง
“อยากได้ก็ซื้อไม่ได้เจ้าค่ะ ไปเถอะเจ้าค่ะ”
เอ่ยจบผิงผิงก็ดึงมือคุณหนูของตนให้ออกจากร้านขายภาพวาดไป
เมื่อสองนายบ่าวเดินออกจากร้านไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายในชุดชาวบ้าน ก็เดินตรงมายังร้านขายภาพวาด
“เถ้าแก่ภาพนี้ราคาเท่าไร”
เถ้าแก่เจ้าของร้านมองดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ในใจก็คิดว่าท่าทางดูยากจนเช่นนี้ จะมีเงินซื้อภาพวาดของเขาหรือ จึงได้บอกราคาที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะซื้อไหว
“ยี่สิบตำลึง”
“ข้าเอา ห่อให้ข้าอย่างดีด้วยล่ะ” ชายหนุ่มผู้นั้นยื่นเงินยี่สิบตำลึงให้เถ้าแก่ โดยไม่ต่อรองราคาแม้เพียงครึ่งคำ
เถ้าแก่จึงห่อภาพวาดนั้นให้เขาอย่างดี เมื่อรับมันมาแล้ว ชายหนุ่มก็รีบเดินไปยังทิศทางที่จ้าวเยว่เพิ่งเดินไปเมื่อสักครู่
จ้าวเยว่กับผิงผิงพากันเดินซื้อของจนเหน็ดเหนื่อย จึงได้แวะกินอาหารกลางวันกันที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นางเลือกสั่งแต่อาหารแปลก ๆ ที่ไม่มีให้กินในจวน อีกทั้งยังสั่งสุราดอกบัวมาหนึ่งไหด้วย
“คุณหนู ดื่มสุราอย่างนี้จะดีหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามขึ้นมา สีหน้านางดูเป็นกังวลไม่น้อย
“ดีสิ ได้ออกมาข้างนอกทั้งที ควรจะต้องกินดื่มให้เต็มที่ เจ้าเองก็กินดื่มร่วมกับข้าด้วยสิ” จ้าวเยว่บอกพร้อมกับรินสุราให้ผิงผิงจอกหนึ่ง
ผิงผิงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
“เราเป็นสตรี จะทำตัวเยี่ยงบุรุษไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวผู้ใดมาเห็นเข้าจะเอาไปนินทาเอาได้”
“จะนินทาก็ช่างปะไร ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
จ้าวเยว่ตอบอย่างไม่คิดแยแส มือข้างหนึ่งจับตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแกะผัดเผ็ดเข้าปาก ตามด้วยยกสุราดอกบัวดื่มอีกหนึ่งจอก
“แต่ถ้าคนของสกุลเสวี่ยมาเห็นเข้า จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
ผิงผิงยังคงกังวลและมองซ้ายของขวาอย่างไม่สบายใจ
“เห็นก็ดี พวกเขาจะได้ไม่ชอบข้า และมีเหตุที่จะไล่ข้าออกจากจวนเร็ว ๆ” จ้าวเยว่ตอบกลับและคีบอาหารกินอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำเอ่ยของสาวใช้ข้างกายเลยแม้แต่น้อย
ผิงผิงที่พยายามเอ่ยจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้วก็ได้แต่ก้มหน้างุด จนจ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “เจ้านั่งทำอะไรอยู่เล่า กินสิ”
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับคำแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
นายบ่าวทั้งสองนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างเอร็ดอร่อย โดยมิทันได้สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามพวกนางมา
ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่งริมเสา ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องที่ทั้งสองสนทนากัน
เมื่อกลับมาถึงจวน จ้าวเยว่ก็วางของทุกอย่างไว้ที่มุมห้องอย่างส่ง ๆ นางไม่มีความคิดที่จะใช้ของที่ซื้อมาแม้แต่น้อย ความจริงคือไม่คิดที่จะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำไป ต่อให้จ้าวฮูหยินกับผิงผิงจะเคี่ยวเข็ญสักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้น จ้าวเยว่ก็ไม่ได้ตื่นตัวกับการสมรสพระราชทานครั้งนี้แต่อย่างใด นางยังคงถือคติว่าจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาบน้ำขัดตัวแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของผิงผิงดังมาจากทางถังอาบน้ำที่หลังห้อง
ผิงผิงได้ผสมน้ำอุ่นไว้ให้คุณหนูของตนเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังโรยเครื่องหอมต่างๆ ลงไปในน้ำจนหอมฟุ้ง
“อืม” จ้าวเยว่ตอบรับในลำคอ
นางคืบคลานไปที่ถังอาบน้ำช้า ๆ ปกติแล้วจ้าวเยว่เป็นคนที่ชอบแช่น้ำมาก แต่ว่าครั้งนี้กลับไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนทุกครั้ง
การอาบน้ำขัดผิวและนวดตัว กลับกลายเป็นหน้าที่ไปแล้ว และเมื่อมันเป็นหน้าที่ หญิงสาวก็เริ่มไม่มีความสุข นางจึงได้ทำไปแบบส่ง ๆ อย่างนั้นเอง
“เจ้าลงมือขัดให้ข้าเลย ขัดให้เนื้อหนังของข้าหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ จนเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวเลยยิ่งดี” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมแสดงสีหน้าไร้อารมณ์
ถ้อยวาจาของนายสาว ทำเอาผิงผิงกล่าวอย่างเหนื่อยใจว่า
“ได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูเอ่ยอะไรก็ไม่รู้”
“ข้าต้องทำอย่างนี้ทุกวันจนถึงวันแต่งงานเลยอย่างนั้นหรือไง”
จ้าวเยว่ถามอย่างเหนื่อยหน่าย ชีวิตของการเป็นเจ้าสาวน่าเบื่อถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางอยากรู้จริง ๆว่า เหตุใดทุกคนจึงดูตื่นเต้นกับเรื่องนี้นัก
“ใช่เจ้าค่ะ วันแต่งงานคุณหนูจะต้องเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในแคว้นฉางอัน” ผิงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ นางเชื่อว่าวันแต่งงาน คุณหนูของนางย่อมต้องงดงามที่สุด หามีผู้ใดมาเปรียบได้
“ทำอย่างนี้ทุกวันข้าคงน่าเบื่อแย่”
“เมื่อก่อนคุณหนูก็ชอบแช่น้ำทุกวันอยู่แล้ว มิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงจะเบื่อ”
“ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว มันเป็นการบังคับข้า”
“คุณหนูก็คิดเสียว่ามิใช่การบังคับสิเจ้าคะ คุณหนูลองคิดสิว่า นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการทำด้วยความเต็มใจเหมือนอย่างเช่นเมื่อก่อน เท่านี้ก็จะมีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นเพื่อให้นายสาวสบายใจ
“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ข้ามิได้มีจิตใจที่ดีงามอย่างแม่ชีที่จะสามารถปล่อยวางอะไรได้ง่าย ๆ เสียหน่อย” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างหมดอารมณ์
ครู่หนึ่งก็มีสาวใช้สองคนมาหาถึงห้อง รายงานว่าจ้าวฮูหยิน เรียกคุณหนูไปพบที่ห้องโถง จ้าวเยว่จึงให้ผิงผิงไปรายงานว่า ตนเองอาบน้ำเสร็จแล้วจะตามไป
[1] ยามอู่ คือช่วงเวลาตั้งแต่ 11.00 - 12.59 น.
บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้นเมื่อมาถึงห้องโถง จ้าวเยว่ก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับข้าวของที่วางเรียงรายอยู่ มีทั้งเครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ปิ่นปักผม กำไลหยก และผ้าไหมแพรพรรณราคาแพงอีกหลายพับตอนแรกนางนึกแปลกใจอยู่ว่าจ้าวฮูหยินลงทุนซื้อของมากมายขนาดนี้ทำไมกัน ทว่าก็ได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ มิได้ถามไถ่ออกมา“ท่านแม่ เรียกข้ามามีอะไรหรือเจ้าคะ แล้วนี่อะไรเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งนายหญิงของจวน หันหน้าไปทางสิ่งของเหล่านั้นทันทีเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยถาม“เจ้าคงเห็นสิ่งของพวกนี้แล้วสินะ”“เจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินเมื่อได้รับคำตอบของบุตรสาวจึงได้เอ่ยประโยคต่อมา “นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาพระราชทานให้แก่เจ้า เป็นสิ่งสำคัญที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้ยามออกเรือน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาวัดตัวเพื่อตัดชุดแต่งงานให้เจ้า”จ้าวเยว่มองไปที่ผ้าไหมสีแดงหลายพับที่อยู่ในหีบที่กำลังเปิดอ้า พร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ หากเป็นสตรีอื่น พวกนางคงดีใจกันจนแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว ที่ได้รับสิ่งของพระราชทานเหล่านี้ ซึ่งขัดแย้งกับกิริยาของนางในตอนนี้ยิ่งนักเนื่องจากหญิงสาวไม่รู้สึกอะไรกับข้าวของพวกนี้ที่ได
บทที่ 13 ข้าไม่อยากทำอันใดลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้นเวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่มผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้องส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็ค
บทที่ 14 ถูกกักบริเวณเมื่อเข้ามาในห้องโถง จ้าวเยว่ย่อกายทำความเคารพมารดา ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่มารดาเรียกตนเองมาพบ “ท่านแม่เรียกให้ข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินโยนของบางอย่างลงพื้น ซึ่งนั่นก็คือผ้าปิดหน้าสีแดง พร้อมกับชี้ให้จ้าวเยว่ดู “เจ้าดูเอาเอง ว่านี่คืออะไร”ตอนนี้จ้าวเยว่รู้แล้วว่าหายนะมาเยือนตัวเองแล้ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน วิธีที่ที่ดีสุด ก็คือยอมรับไปเลยดีกว่า แล้วค่อยหาข้ออ้างว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น“ท่านแม่ คะ...คือข้าคิดว่าฝีเข็มและความสามารถด้านการตัดเย็บของข้านั้นแย่เอามาก ๆ หากข้าทำออกมาเองคงจะกลายเป็นผ้าปิดหน้าที่อัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิ ต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันเลยก็เป็นได้ ข้าเลยคิดว่า ให้ผิงผิงทำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร จ้าวฮูหยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด“ถึงจะอัปลักษณ์อย่างไร เจ้าก็ต้องทำเอง นี่มันคือผ้าปิดหน้าของเจ้า ผิงผิง...เจ้าเองก็เช่นกัน ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่สมควรช่วย”“ผิงผิงขอโทษเจ้าค่ะ ผิงผิงจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน”ผิงผิงรีบคุกเข่ากล่าวขอโทษขอโพยฮูห
บทที่ 15 มาลานฝึกยุทธ์ลานฝึกแห่งนี้เป็นลานฝึกเฉพาะสำหรับแม่ทัพนายกองระดับกลางขึ้นไป ซึ่งจ้าวหลู่เจินพี่ชายคนโตของจ้าวเยว่ก็ฝึกที่นี่ด้วย เนื่องจากเขาเป็นถึงรองแม่ทัพ จึงมีสิทธิ์ที่จะพาคนของตนเองเข้ามาฝึกในลานฝึกแห่งนี้ได้ ดังนั้นจ้าวเยว่จึงได้แอบมาฝึกยุทธ์ที่นี่อยู่บ่อยครั้งนอกจากจะมีพี่ชายของตนอยู่ที่นี่แล้ว ลานฝึกแห่งนี้ ก็ยังไม่ไกลจากจวน หากว่าจ้าวฮูหยินเรียกหาเมื่อไร ก็สามารถวิ่งหรือไม่ก็ขี่ม้ากลับไปได้ทันทีจ้าวเยว่คุ้นเคยกับเหล่าแม่ทัพนายกองเป็นอย่างดี ถึงขั้นเคยประลองกันมาแล้วก็ตั้งหลายหน จึงไม่ได้มีการเคอะเขินแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษเหล่านี้ มีก็แต่ผิงผิงที่รู้สึกจะไม่ค่อยสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คุ้นชินกับการที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมาย“พี่ใหญ่!!” จ้าวเยว่ตะโกนเสียงดัง จนเหล่าแม่ทัพนายกองหันมากันหมด ที่ฝึกกันอยู่ก็ถึงกับหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาทักทายเป็นเสียงเดียวกัน“คุณหนูจ้าว ยินดีที่ได้พบ”“คารวะทุกท่าน ยินดีเช่นกัน” จ้าวเยว่ตอบกลับ พร้อมกับโบกมือให้พี่ชายของนางด้วยรอยยิ้มจ้าวหลู่เจินเก็บดาบใส่เข้าฝัก ก่อนจะเดินมาหาน้องสาว โดยมีทหารอีกสองสามนายเดินตาม
บทที่ 16 พบหน้าแม่สามีการที่เสวี่ยฮูหยินมาในครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องการแต่งงานของจ้าวเยว่กับบุตรชายของนางเป็นแน่ แต่ว่านางจะมาคุยเรื่องอะไรบ้างนั้น จ้าวเยว่ไม่สามารถคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็คงต้องรอให้ถึงจวนก่อนถึงจะรู้ผิงผิงรีบเร่งคนขับรถม้าให้บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เนื่องจากคุณหนูของนางต้องรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด คนขับรถม้าก็ทำตามจนตอนนี้สภาพนายบ่าวทั้งสองที่อยู่ภายในรถม้า ที่กระเทือนจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนกลับถึงจวนบ่าวที่เฝ้าประตูหลังก็รีบเปิดประตูให้พวกนางเข้าไปอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังดูต้นทางให้นางอีกด้วยเมื่อถึงห้อง ผิงผิงก็รีบจัดเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหนูของนางเปลี่ยน เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป[1] จ้าวเยว่ก็จัดการตัวเองเสร็จสรรพแล้วเดินออกไปพบเสวี่ยฮูหยินที่ห้องโถงเวลานี้จ้าวฮูหยินนั่งทำตาเขียวอย่างมีโทสะอยู่ที่ประจำของตนเอง คำแรกที่นางถามขึ้นมาก็คือ “เจ้าไปไหนมา”จ้าวเยว่ย่อกายคารวะเสวี่ยฮูหยินเสร็จแล้ว จึงคารวะมารดาตนเอง พร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม“จ้าวเยว่ คารวะเสวี่ยฮูหยิน คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”เสวี่ยฮูหยินเมื่อได้เห็นว่าลูกสะใภ้มีกิริ
บทที่ 17 เตรียมตัวแต่งงานวันต่อมา...เช้านี้จ้าวเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยความร่าเริงผิดปกติ ผิงผิงเองก็ถึงกับประหลาดใจ ว่าเมื่อคืนคุณหนูของตนยังคงเศร้าสร้อย ยามที่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน ไฉนวันนี้ถึงได้กลายเป็นคนละคนไปได้อากาศวันนี้ไม่ได้หนาวมากนัก ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูเหมันต์ แต่ทว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามานั้น ก็ทำให้ภายในห้องอบอุ่นอยู่ไม่น้อย จ้าวเยว่กำลังนั่งอ่านตำราม้วนหนึ่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องผิงผิงถือชุดสำหรับใส่ในวันนี้เข้ามาให้ นางแขวนชุดไว้แล้วจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ทำไมวันนี้ผิงผิงรู้สึกว่าคุณหนูดูร่าเริงผิดปกติ”“ผิงผิง ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าข้าจะไม่อยู่อย่างหดหู่อีกต่อไป”จ้าวเยว่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส“อยู่อย่างหดหู่อย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าเห็นว่าพวกเราก็อยู่กันอย่างสุขสบายดีมิใช่หรือ” ผิงผิงงงงันกับสิ่งที่ผู้เป็นเจ้านายของนางเอ่ยออกมาจ้าวเยว่วางม้วนตำราในมือลง แล้วกันมากล่าวกับสาวใช้คนสนิท“ผิงผิงนะผิงผิง ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่ข้าเอ่ยก็คือก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกหดหู่ที่จะต้องแต่งงาน แต่ว่าตอนนี้ข้าได้พบกับแม่สามีแล้ว ก็รู้สึกว่าท่านน่าจะดีต่อข้า ดังนั
บทที่ 18 อย่าให้ใครดูหมิ่นเจ้าได้เช้าวันต่อมา...หยางหมัวหมัวมาถึงจวนตั้งแต่เช้าเหมือนทุกวัน แต่คราวนี้จ้าวเยว่รออยู่ก่อนแล้ว นางตั้งใจว่าวันนี้จะผ่านการทดสอบ โดยจะทำให้ทั้งหยางหมัวมัวและจ้าวฮูหยินต้องตกตะลึงจนหงายหลังไปตาม ๆ กัน และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆเมื่อจ้าวเยว่ผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย หยางหมัวมัวภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้มาก จ้าวฮูหยินก็อึ้งจนเอ่ยอะไรไม่ออก ก่อนจากไปหยางหมัวหมัวยังกำชับเรื่องจรรยามารยาทอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจ้าวเยว่ไม่ลืม“เจ้าทำได้ดีมาก”หลังจากหยางหมัวมัวกลับไปแล้ว จ้าวฮูหยินจึงเอ่ยชมบุตรสาวด้วยความภูมิใจนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มารดาเอ่ยชื่นชมนาง จ้าวเยว่ถึงกับงงงัน เนื่องจากที่ผ่านมานั้นนางก็ไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่ชื่นชมเลย ส่วนใหญ่เป็นการหาเรื่องให้ถูกลงโทษทั้งนั้น เมื่อได้ยินคำชมขึ้นมา ก็รู้สึกแปลกหูอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบกลับไปว่าอย่างไรดี“ขะ...ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่เอ่ยออกมาเสียงเบาและดูตะกุกตะกักจนน่าขัน แม้แต่จ้าวฮูหยินยังอดที่จะแอบยิ้มไม่ได้จ้าวฮูหยินมองบุตรสาวตนเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ต่อไปก็
บทที่ 19 สมศักดิ์ศรีฮูหยินท่านแม่ทัพสองวันต่อมา...ขบวนรับเจ้าสาวกับสินสอดของตระกูลเสวี่ยก็มาถึง หีบใบหนึ่งบรรจุทองคำกว่าหมื่นตำลึง กับยอดอาชาอีกสิบสองตัว อีกทั้งแพรพรรณและเครื่องประดับ เครื่องเรือน เครื่องใช้ อีกนับไม่ถ้วน ตระกูลเสวี่ยเป็นตระกูลใหญ่ อีกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นยังมีศักดิ์เป็นถึงน้องชายของฮองเฮา ฉะนั้นงานแต่งงานของตระกูลเสวี่ย จึงต้องยิ่งใหญ่เป็นพิเศษประตูใหญ่จวนตระกูลจ้าวเปิดกว้างต้อนรับขบวนรับเจ้าสาว เดิมทีตามธรรมเนียมแต่งงานนี้ การรับเจ้าสาวนั้นต้องให้เจ้าบ่าวมารับด้วยตนเอง ถึงแสดงให้เห็นว่าฝ่ายชายยกย่องให้เกียรติเมื่อมองไม่เห็นเจ้าบ่าวอยู่ที่หน้าขบวนขันหมาก ก็พลันทำให้คนตระกูลจ้าวรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ทว่าแม่ทัพเสวี่ยก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาขี่ม้าออกมาจากด้านหลังขบวน ก่อนจะลงจากม้าเดินเข้าไปในจวนตระกูลจ้าวพร้อมกับแม่สื่อด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยสาวใช้นางหนึ่งวิ่งจากทางห้องโถงมายังเรือนนอนของจ้าวเยว่ นางเพียงแต่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้เข้ามา แต่เสียงดังลอดประตูมา เพื่อแจ้งข่าวเรื่องขบวนเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว“คุณหนู ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ไปบอกท่านแม่เถอะ ว่าข้าพร
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน