บทที่ 18 อย่าให้ใครดูหมิ่นเจ้าได้เช้าวันต่อมา...หยางหมัวหมัวมาถึงจวนตั้งแต่เช้าเหมือนทุกวัน แต่คราวนี้จ้าวเยว่รออยู่ก่อนแล้ว นางตั้งใจว่าวันนี้จะผ่านการทดสอบ โดยจะทำให้ทั้งหยางหมัวมัวและจ้าวฮูหยินต้องตกตะลึงจนหงายหลังไปตาม ๆ กัน และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆเมื่อจ้าวเยว่ผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย หยางหมัวมัวภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้มาก จ้าวฮูหยินก็อึ้งจนเอ่ยอะไรไม่ออก ก่อนจากไปหยางหมัวหมัวยังกำชับเรื่องจรรยามารยาทอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจ้าวเยว่ไม่ลืม“เจ้าทำได้ดีมาก”หลังจากหยางหมัวมัวกลับไปแล้ว จ้าวฮูหยินจึงเอ่ยชมบุตรสาวด้วยความภูมิใจนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มารดาเอ่ยชื่นชมนาง จ้าวเยว่ถึงกับงงงัน เนื่องจากที่ผ่านมานั้นนางก็ไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่ชื่นชมเลย ส่วนใหญ่เป็นการหาเรื่องให้ถูกลงโทษทั้งนั้น เมื่อได้ยินคำชมขึ้นมา ก็รู้สึกแปลกหูอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบกลับไปว่าอย่างไรดี“ขะ...ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่เอ่ยออกมาเสียงเบาและดูตะกุกตะกักจนน่าขัน แม้แต่จ้าวฮูหยินยังอดที่จะแอบยิ้มไม่ได้จ้าวฮูหยินมองบุตรสาวตนเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ต่อไปก็
บทที่ 19 สมศักดิ์ศรีฮูหยินท่านแม่ทัพสองวันต่อมา...ขบวนรับเจ้าสาวกับสินสอดของตระกูลเสวี่ยก็มาถึง หีบใบหนึ่งบรรจุทองคำกว่าหมื่นตำลึง กับยอดอาชาอีกสิบสองตัว อีกทั้งแพรพรรณและเครื่องประดับ เครื่องเรือน เครื่องใช้ อีกนับไม่ถ้วน ตระกูลเสวี่ยเป็นตระกูลใหญ่ อีกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นยังมีศักดิ์เป็นถึงน้องชายของฮองเฮา ฉะนั้นงานแต่งงานของตระกูลเสวี่ย จึงต้องยิ่งใหญ่เป็นพิเศษประตูใหญ่จวนตระกูลจ้าวเปิดกว้างต้อนรับขบวนรับเจ้าสาว เดิมทีตามธรรมเนียมแต่งงานนี้ การรับเจ้าสาวนั้นต้องให้เจ้าบ่าวมารับด้วยตนเอง ถึงแสดงให้เห็นว่าฝ่ายชายยกย่องให้เกียรติเมื่อมองไม่เห็นเจ้าบ่าวอยู่ที่หน้าขบวนขันหมาก ก็พลันทำให้คนตระกูลจ้าวรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ทว่าแม่ทัพเสวี่ยก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาขี่ม้าออกมาจากด้านหลังขบวน ก่อนจะลงจากม้าเดินเข้าไปในจวนตระกูลจ้าวพร้อมกับแม่สื่อด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยสาวใช้นางหนึ่งวิ่งจากทางห้องโถงมายังเรือนนอนของจ้าวเยว่ นางเพียงแต่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้เข้ามา แต่เสียงดังลอดประตูมา เพื่อแจ้งข่าวเรื่องขบวนเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว“คุณหนู ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ไปบอกท่านแม่เถอะ ว่าข้าพร
บทที่ 20งานเลี้ยงมงคลกลับมาทางจวนเสวี่ย เวลานี้เมื่อขบวนเจ้าสาวเดินทางมาถึงจวน แม่สื่อรีบไปประคองจ้าวเยว่ลงจากเกี้ยว จากนั้นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เดินเข้าไปข้างในจวนตระกูลเสวี่ยถูกตกแต่งอย่างสวยงามเพื่องานแต่งของท่านแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นกับคุณหนูจ้าวเยว่ในครั้งนี้ ภายในจวนประดับประดาไว้ด้วยผ้ามงคลสีแดง อีกทั้งยังมีดอกไม้สีแดงตกแต่งอยู่เต็มไปหมด บนระเบียงทางเดินก็จุดโคมแดงขึ้นทีละดวงเพื่อความเป็นสิริมงคลแขกเหรื่อผู้มาเข้าร่วมพิธี ต่างก็แต่งกายด้วยชุดสุภาพเรียบร้อย นั่งคุกเข่าตามลำดับบนตั่งเตี้ยซึ่งจัดวางไว้เบื้องหลังโต๊ะ พวกเขาสนทนาด้วยเสียงอันเบากับผู้ที่นั่งอยู่ข้างกาย ขณะที่กำลังรอคอยให้ถึงฤกษ์มงคลในจำนวนคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ส่วนมากจะมีความเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็สนิทสนมกับทั้งตระกูลเสวี่ยและตระกูลจ้าวทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาล้วนยินดีกับการที่ได้มาในพิธีมงคลสมรสครั้งนี้ เว้นก็เสียแต่ซูม่อเยี่ย ที่มาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ทว่าจะไม่มาก็ไม่ได้ เนื่องจากผู้เชิญนั้นเป็นตระกูลเสวี่ยที่คุ้นเคยกันรอจนถึงฤกษ์มงคลแล้ว จ้าวเยว่ก็เดินเข้าสู่โถงพิธ
บทที่ 21ข้าเคยเห็นนางแล้วแต่ทว่าหากตามมารยาทที่ควรมี เขาจำเป็นที่จะต้องฝืนยิ้มทำทีว่ายินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง“ท่านอาซู” เสวี่ยช่างเจิ้นถือจอกสุรามาหยุดอยู่ตรงหน้าซูม่อเยี่ยแล้วกล่าวทักทาย“มา ๆ นั่งเถอะ” ซูม่อเยี่ยกวักมือให้เสวี่ยช่างเจิ้นมานั่งฝั่งตรงข้าม“คารวะท่านอาซูหนึ่งจอกขอรับ” เสวี่ยช่างเจิ้นยังคงทำเหมือนกับที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ คือยื่นจอกสุราออกไปคารวะแล้วยกดื่มโดยที่ซูม่อเยี่ยก็ทำเช่นกัน “ดื่มให้เจ้า”เขายกสุราขึ้นดื่มแล้ววางลง จากนั้นก็ตัดสินใจเอ่ยบางอย่างขึ้นมา“ความจริงแล้วข้าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีข้าหมายปองเจ้าไว้ให้หลิงเจียวบุตรสาวข้า แต่ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินพระทัยไปแล้วคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก ช่างน่าเสียดายจริง ๆ” ซูม่อเยี่ยเอ่ยขึ้น เนื่องจากเสียดายแม่ทัพหนุ่มที่หมายมั่นไว้ว่าจะเอามาเป็นบุตรเขยของตน“หลานว่าน้องหลิงเจียวต้องได้คู่ครองที่ดีในภายภาคหน้าเป็นแน่” เสวี่ยช่างเจิ้นตอบกลับเพียงเล็กน้อย คล้ายกับรักษาน้ำใจอีกฝ่าย แม้จะอึดอัดกับคำเอ่ยของซูม่อเยี่ยก็ตาม“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่เล่า ถ้าหากว่าเจ้าพร้อมที่จะรับอนุเมื่อใดข้าจะส่งนางแต่งเข้าจวนของเจ้า” ซูม่อเ
บทที่ 22 ข้อตกลงการอยู่ร่วมกันจ้าวเยว่มองหน้าเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างจริงจัง ก่อนจะยกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ประการแรก ข้าจะเป็นภรรยาของท่านแต่เพียงในนามเท่านั้น เนื่องจากการแต่งงานครั้งนี้เป็นพระราชโองการของฮ่องเต้ ข้ามิได้เลือกที่จะแต่งเอง อีกทั้งท่านกับข้าก็ไม่ได้รักกัน เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่ลึกซึ้งต่อกัน เพราะข้าเองก็ไม่อยากจะฝืนใจตนเอง และข้าก็คิดว่าท่านเองก็คงจะไม่อยากฝืนใจตนเองเช่นกัน”“....”เสวี่ยช่างเจิ้นฟังแล้วก็ถึงกับงงงันวูบ แต่เขายังไม่ได้ตอบรับอันใดกับสิ่งที่นางเอ่ยจ้าวเยว่ชูนิ้วกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกับคราแรกนัก“ประการที่สอง ข้าจะไม่หลับนอนกับท่าน เพราะว่าข้าเป็นเพียงภรรยาแต่ในนามของท่านเท่านั้น หากเป็นไปได้ เราสองคนสามารถแยกเรือนนอนได้ ข้าจะยินดีมาก”พอฟังประโยคนี้ เสวี่ยช่างเจิ้นก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ในใจพลันคิดว่าต้องห้ามถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่เขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาจ้าวเยว่จึงเพิ่มนิ้วนางขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว ตอนนี้นางชูสามนิ้วแล้ว “ประการที่สาม หากว่าท่านทนไม่ไหว ท่านก็สามารถแต่งอนุได้ ข้าเข้าใจว่าชาย
บทที่ 23คารวะแม่สามีเมื่อคืนนี้ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ได้ผ่านการเคี่ยวกรำอันใดจากเสวี่ยช่างเจิ้น แต่ทว่าการที่ต้องนอนข้างกายบุรุษทั้งคืนนั้น ก็ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง นางจึงแทบนอนไม่หลับเลยทั้งคืน กว่าจะหลับก็เป็นเวลาที่ใกล้เช้าแล้ว การกินอาหารเช้าหลังจากที่เสวี่ยช่างเจิ้นเดินออกจากห้องไป ก็เลยเป็นไปด้วยความเหนื่อยหน่ายจ้าวเยว่ได้แต่คีบอาหารมากินทีละคำอย่างเชื่องช้า รสชาติของอาหารของที่นี่ออกจะไม่ค่อยถูกปากนางสักเท่าไร เนื่องจากปกติแล้วนางกินอาหารรสชาติไม่เหมือนผู้อื่นที่จวนตระกูลจ้าวจะทำอาหารรสจัดไว้ให้นางโดยเฉพาะ แต่เมื่อแต่งเข้าตระกูลเสวี่ยมาแล้ว ก็ย่อมต้องทำตัวเป็นสะใภ้ที่ดี ดังนั้นจะเรื่องมากก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเป็นสะใภ้ที่ดี ตามธรรมเนียมแล้วผู้ที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ จะต้องไปคารวะต่อผู้ใหญ่ของจวนในทุกเช้า ที่จวนนี้ก็จะมีฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นย่าของเสวี่ยช่างเจิ้นกับเสวี่ยฮูหยินผู้เป็นมารดาสามี ส่วนพ่อสามีนั้น นางได้ข่าวว่าสิ้นไปในสนามรบนานมากแล้ว“คุณหนูรีบกินเถอะเจ้าค่ะ กินเสร็จแล้วยังต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินใหญ่อีก” ผิงผิงรีบเตือนจ้าวเยว่หันหน้าไปหาผิงผิ
บทที่ 24เป็นที่รักใคร่“เจ้าเพิ่งจะแต่งเข้าจวนมา อาจจะยังมีอะไรที่ไม่พร้อมหรือว่าไม่สะดวกอยู่บ้าง เจ้าเอาเงินนี้ไปซื้อ หากอยากได้อะไรก็สามารถหาซื้อมาได้เลย”จ้าวเยว่รับถุงเงินนั่นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าคนในตระกูลเสวี่ยจะดีกับนางถึงเพียงนี้ ทั้งท่านย่าและท่านแม่ต่างก็ใจดี คอยหยิบยื่นสิ่งของต่าง ๆ ให้นางอยู่ตลอด“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”จ้าวเยว่ตอบอย่างนอบน้อม ก่อนที่นางทำตาโต เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อ “ถ้าหากว่าลูกจะขออนุญาตออกไปซื้อของบ่ายนี้ จะได้หรือไม่เจ้าคะ”“ย่อมได้ ก่อนจะไปก็มาบอกแม่ แม่จะได้ให้บ่าวตามไปช่วยถือของให้สักคนสองคน” เสวี่ยฮูหยินตอบอย่างใจดี“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่กล่าวขอบคุณอีกครั้งแม่สามีกับลูกสะใภ้สนทนากันต่อสักพัก ก่อนที่จ้าวเยว่จะขอตัวกลับไปที่เรือนของตนแต่ก่อนจะเดินออกจากห้องมาเสวี่ยฮูหยินก็เอ่ยขึ้นมาว่า“แม่ลืมบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”จ้าวเยว่ที่กำลังจะหมุนตัวจากไปแล้ว ก็หยุดชะงักแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”เสวี่ยฮูหยินส่งยิ้มให้นาง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“แม่สั่งให้คนมาขุดบ่อปลาให้เจ้าแล้วที่ข้างเ
บทที่ 25 ปรนนิบัติสามีพอกลับมาถึงเรือนบูรพา จ้าวเยว่ก็แบ่งขนมโก๋สองถุงให้กับสาวใช้ทั้งห้าและอีกหนึ่งถุงให้กับบ่าวที่มาขุดบ่อปลาทั้งสามคน พวกเขาต่างกล่าวขอบคุณจ้าวเยว่เสียยกใหญ่ จ้าวเยว่กำชับเรื่องนี้ว่าอย่าให้ใครรู้ เพราะนางไม่อยากให้เป็นเรื่องและไม่อยากให้บ่าวพวกนี้ถูกลงโทษเหลือขนมโก๋ถุงสุดท้ายเป็นของนางกับผิงผิง สองนายบ่าวจึงนั่งกินขนมโก๋จิบน้ำชากันอย่างรื่นรมย์เสวี่ยช่างเจิ้นที่กลับมาจากการฝึกทหารที่ค่ายนอกเมืองเดินเข้าจวนมาก็ถึงกับประหลาดใจ เมื่อได้ยินบ่าวไพร่คุยกันถึงเรื่องฮูหยินของตน“ฮูหยินน้อยนั้นเป็นคนมีน้ำใจยิ่งนัก ขนาดเรียกให้พวกเราไปทำความสะอาดห้อง ยังกล่าวขอบคุณพวกเรา อีกทั้งยังปฏิบัติต่อพวกเราเป็นอย่างดี ข้าละชื่นชมนางจริง ๆ”สาวใช้ทั้งห้าคนเล่าเรื่องที่พวกตนได้ไปทำความสะอาดที่เรือนบูรพาให้สาวใช้คนอื่นฟัง“ใช่ ๆ ฮูหยินน้อยเป็นคนดีมาก นางทั้งใจดี อัธยาศัยก็ดีอีกด้วย ข้าว่าที่เขาร่ำลือกันข้างนอกนั้นไม่เป็นความจริงสักอย่าง” บ่าวที่เป็นคนขุดบ่อปลาเอ่ยจู่ ๆ สาวใช้ที่ชื่อว่าหวงจินเยว่ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างแข็งขันว่า“คอยดูเถอะ ถ้าหากว่าข้าออกไปข้างนอก แล้วพบว่าผู้ใดกล่าวว
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน