บทที่ 26 ตอบแทนด้วยการพาไปเที่ยวอาหารมื้อเย็นถูกจัดเตรียมเข้ามาไว้ที่โต๊ะในห้อง ผิงผิงเมื่อตรวจดูอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ยืนคอยรอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก จ้าวเยว่ปรนนิบัติสามีรับประทานจนเสร็จ ยังไม่ได้เก็บสำรับอาหารออกจากโต๊ะ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งถือกล่องใส่อาหารเดินเข้ามาในห้อง สาวใช้นางนี้เป็นสาวใช้ประจำกายของฮูหยินผู้เฒ่า นางวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะแล้วกล่าว“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าให้นำยาบำรุงมาให้ เจ้าค่ะ”“ยาบำรุงอันใด” ทั้งคู่ถามขึ้นพร้อมกันยังไม่ทันได้คำตอบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงหน้าเรือนบูรพาแล้ว ระยะทางจากเรือนประจิมมายังเรือนบูรพามิใช่ใกล้ ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้มาช้ากว่าสาวใช้ประจำกายของตน“ท่านย่า” ทั้งสองเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน จ้าวเยว่รีบมาประคองนางทันที“พวกเจ้าออกไปก่อน”ฮูหยินผู้เฒ่าโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้ทุกคนออกไป ภายในห้องบัดนี้จึงมีเพียงคนสามคน ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ไม้เท้าพยุงตนเองไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่เหลือตรงโต๊ะกินข้าว“เหตุใดท่านย่าถึงมาด้วยตนเองเล่า มีเรื่องอันใดให้หลานไปหาที่เรือนก็ได้ขอรับ ไม่เห็นต้องลำบากถึงเพียงนี้” เสวี่ยช่างเจิ้นกล่าวขึ้นมา สีหน้าของเ
บทที่ 27จ้าวเยว่ตกน้ำเช้าวันต่อมา...แสงแดดยังไม่ทันได้สาดส่องทะลุม่านหน้าต่างเข้ามา มีเพียงแต่แสงสีส้มอ่อนรำไร ที่เผยให้เห็นตามซอกหน้าต่างเท่านั้น แต่จ้าวเยว่รู้สึกว่านี่สายมากแล้ว การจะไปเที่ยวนอกเมืองนั้น จะต้องตื่นเตรียมตัวตั้งแต่เช้า เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางเป็นชั่วยามนางดีดผึงขึ้นจากเตียง ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ผิงผิงจะต้องมาจึงได้ลุกขึ้นไปตักน้ำใส่อ่างล้างหน้าเอง แล้วทำการล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นจึงเลือกเสื้อผ้าชุดที่เหมาะสม จัดการตัวเองเสร็จสรรพแล้วจึงปลุกสามี“ท่านพี่ ตื่นเร็วเข้า นี่ยามเหม่า[1]แล้ว พวกเราจะต้องไปเที่ยวนอกเมืองกัน” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นพร้อมเขย่าตัวเสวี่ยช่างเจิ้นเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นให้เขาตื่นเสวี่ยช่างเจิ้นที่บัดนี้ได้รับการพักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ลุกขึ้นมาแต่โดยดี แต่ก็ไม่เข้าใจว่าจ้าวเยว่จะตื่นแต่เช้าขนาดนี้ไปทำไมกัน ถึงแม้การไปเที่ยวนอกเมืองจะต้องเดินทางกันไกลก็จริงแต่ก็ไม่ถึงกับต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางขนาดนี้“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ก็ได้ วัดต้าหลงกับน้ำตกผิงอันไม่ได้หนีไปไหนหรอก” เสวี่ยช่างเจิ้นบอกอย่างหยอกเย้า“ก็ข้าอยากไปเร็ว ๆ นี่นา ข้าไ
บทที่ 28 ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น“จะไม่ช่วยได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็น...”เขาหยุดเอ่ยเพียงเท่านี้ เพราะเกรงว่าประโยคที่เขาจะเอ่ยต่อไปนั้น อาจจะกระทบกับข้อตกลงที่เขาและนางได้คุยกันไว้“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่เอียงคอถามอย่างสงสัย“ก็เป็นภรรยาของข้า จะให้ข้าทำใจเห็นเจ้าได้รับอันตรายได้อย่างไร” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาจ้าวเยว่ได้แต่ก้มหน้าไม่ต่อปากต่อคำ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา จะว่าเป็นอาการเขินอายก็ใช่ หรือว่าเป็นอาการที่กำลังปลาบปลื้มใจอยู่ก็ใช่เช่นกันเมื่อถึงจวนเสวี่ยช่างเจิ้นก็ยืนยันที่จะอุ้มนางกลับไปที่เรือน ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะบอกไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ว่านางสามารถเดินเองได้ แต่ทว่าเสวี่ยช่างเจิ้นก็ไม่ฟังท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ในจวนจำนวนมากต่างก็เห็นว่า เสวี่ยช่างเจิ้นอุ้มภรรยาของตนเข้าเรือนไปตั้งแต่เหตุการณ์ที่น้ำตกผิงอันวันนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของจ้าวเยว่และเสวี่ยช่างเจิ้นก็ดีขึ้น พวกเขาเอ่ยคุยกันมากกว่าเดิม ถามไถ่กันมากขึ้น บางครั้งถึงกับทำกิจกรรมร่วมกันจ้าวเยว่กำลังนั่งมองปลาที่นางเพิ่งซื้อมาลงในบ่อเมื่อเช้านี้อย่างอารมณ์ดี ก
บทที่ 29 ราชโองการปราบโจรภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าแม่ทัพและบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด แม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายขวายืนอยู่แถวหน้าสุด พวกเขากำลังปรึกษากันอย่างจริงจังฮ่องเต้เสด็จมายังท้องพระโรง พระองค์ทรงประทับลงบนพระที่นั่งช้า ๆ ปีนี้ทรงมีพระชนมายุห้าสิบห้าพรรษาแล้ว ไม่แข็งแรงปราดเปรียวเหมือนแต่ก่อน ยามนี้เมื่อได้ยินว่าจวนเมืองมีศึก ยิ่งทรงเป็นกังวล พระพักตร์แลดูซีดขาวและชรากว่าวัยลงไปอีกสิบปี“ท่านแม่ทัพใหญ่ รายงานเรื่องทั้งหมดมาเถอะ” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นเมื่อเห็นทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้วแม่ทัพใหญ่ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือทั้งสองขึ้นมาทำท่าคารวะแล้วกล่าวกราบทูล“กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้สืบทราบแล้วว่าโจรภูเขาที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายนั้น เป็นขุมกำลังที่ชาวซงหนูเพาะเลี้ยงเอาไว้ ทำหน้าที่ในการเปิดทางให้กับกองทัพของซงหนูโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ หากกองโจรกลุ่มนี้บุกทะลวงเข้ามาในเขตของเราได้ กองทัพซงหนูก็จะตามมาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”“มีจำนวนเท่าใด” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยสุระเสียงมีอำนาจ“ขุมกำลังกองโจรมีทั้งหมดราวแปดหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินคำว่าแป
บทที่ 30 โดนดูหมิ่น“ปกติแล้วเวลาท่านแม่ทัพเดินทาง จะติดต่อกับหัวหน้าองครักษ์หยางมู่มู่เป็นการส่วนตัว เนื่องจากเขาเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินใหญ่มาก จึงให้หัวหน้าองครักษ์หยางรายงานสถานการณ์ที่จวนไปทางจดหมายทุก ๆ สิบวันเจ้าค่ะ แล้วท่านแม่ทัพเองก็ตอบจดหมายกลับมาเช่นกัน”“ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้ากับหัวหน้าองครักษ์หยางต้องมีอะไรกันเป็นแน่ เห็นจากสายตาที่พวกเจ้าทั้งสองมองกันตั้งแต่วันที่ไปน้ำตกผิงอันแล้ว แสดงว่าที่ข้าคาดเดาไว้ไม่ผิด ใช่หรือไม่” จ้าวเยว่ถาม สายตาก็มองสาวใช้ของตนอย่างหยอกเย้าเมื่อได้ฟังคำของคุณหนูแล้ว ผิงผิงก็ได้แต่เขินอายก้มหน้างุด แล้วอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นเป็นเอ่ยถึงเรื่องของเสวี่ยช่างเจิ้นต่อ“ตอนที่ท่านแม่ทัพส่งจดหมายมาถึงนั้น เป็นเมื่อสองวันก่อน เขาบอกว่าอยู่ที่เขาเทียนชี่ แสดงว่าต้องเขียนจดหมายนี้ ตั้งแต่สี่หรือห้าวันที่แล้ว พอคำนวณดูสี่วันบวกกับสองวันเป็นหกวัน จากเขาเทียนชี่ไปเมืองเซี่ยงตง ใช้เวลาราวแปดถึงเก้าวัน เพราะฉะนั้นอีกไม่เกินสามสี่วันก็คงถึงเจ้าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะเขียนจดหมายหาเขาสักหน่อย หากว่าใช้ม้าเร็วส่งข่าวจากเมืองหลวงไปยังเมืองเซี่ยงตงต้องใช้
บทที่ 31 ไม่ไว้หน้าแม้จะกังวลใจแค่ไหน แต่นางจะไม่ยอมแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาให้พวกที่คอยเหยียบย่ำได้ใจเป็นอันขาดซูหนิงขยับเข้ามาใกล้จ้าวเยว่อีกแล้วเอ่ยเสียงกระซิบว่า“คุณหนูพวกนี้ก็กำลังนินทาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ท่านคิดที่จะเอาคืนหรือไม่”“ยังก่อน ให้พวกนางได้ใจกันสักพัก ข้าว่าอีกไม่นานก็คงมีคนสอดปากขึ้นมาอยากเอ่ยกับข้า แล้วข้าตอกกลับพวกนางให้หน้าหงายพร้อมกันทีเดียวเลย” จ้าวเยว่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม นางแค่รอเวลาเท่านั้น“สมกับที่เป็นท่านพี่เยว่” ซูหนิงปรบมือแล้วเอ่ยอย่างชื่นชมด้วยความจริงใจสองพ่อลูกจากจวนจิ้นอ๋องก็อยู่ในงานด้วย จิ้นอ๋องนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ร่วมกับเซียวโหวเจ้าภาพของงาน ส่วนซื่อจื่อหลี่ซิ่วนั้นนั่งจิบน้ำชาอยู่ในที่ของตนอย่างหยิ่งยโสภายในห้องโถงใหญ่ได้จัดเป็นที่สำหรับขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเหล่าฮูหยินเท่านั้น ดังนั้นจ้าวเยว่จึงมิได้เข้าไปยุ่มย่ามบริเวณนั้นด้วย เพียงแต่อยู่ในที่ของตน แต่ทว่าที่ที่จ้าวเยว่นั่งอยู่นั้น ก็ไม่ได้ห่างจากประตูทางเข้าห้องโถงมากนัก นางจึงได้ยินสิ่งที่พวกผู้ใหญ่คุยกับได้อย่างถนัดชัดเจน“เสวี่ยฮูหยิน ไม่พบเจอกันนาน” พระชายาจิ้น
บทที่ 32 อย่ามายุ่งกับข้าอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าหญิงสาวดังมาแต่ไกล โชคดีที่เสียงนี้ขัดจังหวะการสนทนาของหลี่ซิ่วกับจ้าวเยว่เอาไว้ จึงทำให้จ้าวเยว่สงบลงและยั้งมือไม่ลงมือกับหลี่ซิ่ว“ซื่อจื่อ ไฉนจึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า” ซูหลิงเจียวเดินมาแล้วเอ่ยปากถามสามีของตนพร้อมกับมองไปยังจ้าวเยว่อย่างไม่พอใจ“ข้าเพียงแต่มาทักทายสหายเก่านิดหน่อย น้องสาวของเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย” หลี่ซิ่วเอ่ยตอบและยกเอาซูหนิง ที่ก่อนหน้านั้นเขาทำเหมือนนางไม่มีตัวตนขึ้นมาเป็นข้ออ้างกับภรรยาบรรดาหญิงสาวที่มาด้วยกันกับซูหลิงเจียวพากันแสยะปากเมื่อเห็นจ้าวเยว่กับหลี่ซิ่วยืนตัวแทบจะติดกัน พวกนางไม่รู้ว่าทั้งสองคนปะทะคารมกันอยู่ และไม่มองว่ายังมีซูหนิงยืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวเยว่ แต่เลือกที่จะคิดไปเป็นอย่างอื่น“จ้าวเยว่ พอสามีของตัวเองไม่อยู่ ก็มาเกาะแกะชายอื่นแล้วหรือ” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยามจ้าวเยว่“นั่นน่ะสิ หรือว่าคงหมดหวังแล้วว่าสามีจะได้กลับมา ก็เลยหาที่พึ่งสำรองเอาไว้ ซื่อจื่ออย่าได้หลงกลนางเชียวนะเจ้าคะ”หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างอ่อนหวานกับหลี่ซิ่ว โดยไม่สนใจเลยว่าภรรยาขอ
บทที่ 33ได้รับความไว้วางใจของขวัญที่จ้าวเยว่จะมอบให้กับเซียวเฟิงเป็นพู่กันด้ามหนึ่ง ด้ามพู่กันทำจากไม้ไผ่เผาให้เกิดลวดลายที่สวยงาม ส่วนขนพู่กัน ทำจากหางของสุนัขจิ้งจอก สามารถอมน้ำหมึกได้ดี อีกทั้งยังอ่อนนุ่มพลิ้วไหวไปตามทิศทางที่เขียน ถือว่าเป็นพู่กันที่ดีมากด้ามหนึ่ง จ้าวเยว่ซื้อมันมาในราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว“พู่กันที่ดีย่อมคู่ควรกับราชบัณฑิตที่ดี” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมยื่นพู่กันให้กับเซียวเฟิงเขารับมันมาและเพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่ง “นี่มันขนสุนัขจิ้งจอกนี่ เจ้าไปหามาได้อย่างไร”“ไม่มีอะไรเกินกำลังของข้าหรอก ต่อให้เป็นจะขนกิเลนขนมังกร ข้าก็หามาได้” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้น นางตบอกอย่างภาคภูมิใจ“เจ้านี่ชอบเอ่ยเล่นเสียจริง มังกรมีขนเสียที่ไหนเล่า”เซียงเฟิงมองหน้าภาคภูมิใจของนางแล้วกล่าวออกมา แล้วหันหน้าไปทางซูหนิงบ้าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีของขวัญให้ข้าหรือ”ซูหนิงยิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตนเองบ้าง ก่อนจะดึงสิ่งหนึ่งออกมาเป็นสมุดเล่มหนึ่ง“ข้ามีเงินซื้อได้เพียงเท่านี้ ท่านคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่”ซูหนิงเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาและยื่นสมุดให
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน