บทที่ 33ได้รับความไว้วางใจของขวัญที่จ้าวเยว่จะมอบให้กับเซียวเฟิงเป็นพู่กันด้ามหนึ่ง ด้ามพู่กันทำจากไม้ไผ่เผาให้เกิดลวดลายที่สวยงาม ส่วนขนพู่กัน ทำจากหางของสุนัขจิ้งจอก สามารถอมน้ำหมึกได้ดี อีกทั้งยังอ่อนนุ่มพลิ้วไหวไปตามทิศทางที่เขียน ถือว่าเป็นพู่กันที่ดีมากด้ามหนึ่ง จ้าวเยว่ซื้อมันมาในราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว“พู่กันที่ดีย่อมคู่ควรกับราชบัณฑิตที่ดี” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมยื่นพู่กันให้กับเซียวเฟิงเขารับมันมาและเพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่ง “นี่มันขนสุนัขจิ้งจอกนี่ เจ้าไปหามาได้อย่างไร”“ไม่มีอะไรเกินกำลังของข้าหรอก ต่อให้เป็นจะขนกิเลนขนมังกร ข้าก็หามาได้” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้น นางตบอกอย่างภาคภูมิใจ“เจ้านี่ชอบเอ่ยเล่นเสียจริง มังกรมีขนเสียที่ไหนเล่า”เซียงเฟิงมองหน้าภาคภูมิใจของนางแล้วกล่าวออกมา แล้วหันหน้าไปทางซูหนิงบ้าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีของขวัญให้ข้าหรือ”ซูหนิงยิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตนเองบ้าง ก่อนจะดึงสิ่งหนึ่งออกมาเป็นสมุดเล่มหนึ่ง“ข้ามีเงินซื้อได้เพียงเท่านี้ ท่านคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่”ซูหนิงเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบาและยื่นสมุดให
บทที่ 34 จับผิดพ่อบ้านเช้าวันนี้ จ้าวเยว่ไปไม่ต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและเสวี่ย ฮูหยิน เนื่องจากว่าเป็นคำสั่งของเสวี่ยฮูหยินให้พ่อบ้านยวนมาที่เรือนบูรพาเพื่อสอนงานให้กับจ้าวเยว่ จ้าวเยว่ยังกินอาหารเช้าไม่ทันเสร็จ พ่อบ้านยวนก็เดินยิ้มร่ามาจากด้านหน้าจวนเสียแล้ว“ฮูหยินน้อย” พ่อบ้านยวนกล่าวทักทาย“ท่านพ่อบ้านรอสักครู่ได้หรือไม่ ข้าเตรียมตัวใกล้จะเสร็จแล้ว” จ้าวเยว่เอ่ยบอก ในปากยังเคี้ยวอาหารอยู่“ฮูหยินเชิญตามสบาย ไม่ต้องรีบ” พ่อบ้านยวนตอบกลับมากิริยาท่าทางที่แช่มช้อยเกินงามของพ่อบ้านยวน ทำให้เขาดูท่าทางเป็นมิตรมากเป็นพิเศษ เขาดูราวกับว่ารู้ใจทุกคนในจวนนี้และเป็นบุคคลที่เสวี่ยฮูหยินไว้ใจมากที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไร คนแรกที่เสวี่ยฮูหยินเรียกใช้ ก็จะเป็นพ่อบ้านยวนเสมอ ไม่ว่างานใหญ่ งานเล็ก หรือแม้แต่งานที่ไม่มีใครอาสาทำ เขาก็จะเป็นคนรับไปทำอย่างไม่อิดออด“พ่อบ้านยวน ท่านเข้ามาเถอะ” ผิงผิงเรียกให้พ่อบ้านยวนเข้าไปนั่งที่ห้องโถงของเรือนบูรพาไม่พูดพร่ำทำเพลง พ่อบ้านยวนก็เริ่มสอนขั้นตอนของงานที่จ้าวเยว่ต้องทำทันที จ้าวเยว่นั่งฟังอย่างตั้งใจ เพียงแต่ว่าคนที่จดบันทึกทุกอย่างก็คือผิงผิง
บทที่ 35 ปราบโจร“เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่ รองแม่ทัพเว่ย” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยถามคนสนิทของตนเอง“ข้ากำลังคิดว่าพวกพ่อค้ากลุ่มนี้เป็นนกต่อของพวกโจรที่มาดักปล้นสินค้า รู้สึกว่าทั้งจังหวะเวลา มันประจวบเหมาะกันเกินไป เหมือนกับว่ามีการวางแผนมาแล้ว” รองแม่ทัพเว่ยเอ่ยตอบกลับมา“แล้วช่วงนี้พวกพ่อค้านั่น ยังเข้ามาซื้อของอยู่หรือไม่”เสวี่ยช่างเจิ้นพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปถามเจ้าเมืองอีกครั้งเจ้าเมืองเซียงตงแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน ใช้เวลาครุ่นคิด ไม่นานจึงตอบออกมาว่า“ไม่เห็นเข้าเมืองมาราวสิบกว่าวันแล้วขอรับ ตั้งแต่ที่ข้าส่งจดหมายไปขอกำลังจากเมืองหลวง”“เป็นไปได้ว่าพวกมันคงจะรู้ตัวแล้ว ต้องมีสายของมันอยู่ในเมืองนี้เป็นแน่ คาดว่าตอนนี้พวกมันคงตั้งทัพแล้วกระมัง”เสวี่ยช่างเจิ้นคาดการณ์ตามสิ่งที่ได้รับฟังมาทั้งหมดน้ำชาที่สาวใช้เอามาให้วางไว้นานจนเย็นชืด สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่น ไม่มีใครมีแก่จะจิบน้ำชากันเลยสักนิด ต่าง พากันหน้านิ่วคิ้วขมวด มองหน้ากันอย่างเคร่งเครียดและแล้วเสวี่ยช่างเจิ้นก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา“ข้าจะส่งกองกำลังสักกองออกไปสืบข่าวที่ชายแดนตรงหมู่บ้านเซี่ย รองแม่ทัพเ
บทที่ 36 พลาดท่าเสวี่ยช่างเจิ้นมองที่กระบะทรายสำหรับวางกลยุทธ์แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา“ข้ารู้ว่าถ้าหากพวกเราปล่อยให้พวกมันล้อมจนเสบียงหมดก็จะแย่เอาได้ แต่ตอนนี้เราแบ่งกำลังพลไม่ได้ พวกเราไม่รู้กำลังพลที่แท้จริงของพวกมัน”จากนั้นจึงหันไปหาหัวหน้าหน่วยสอดแนมที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วถาม “แล้วเจ้าล่ะ ใช้เวลาสอดแนมอยู่หลายวัน ได้ความมาว่าอย่างไรบ้าง”“กำลังพลของพวกมันจากที่ประมาณดูคร่าว ๆ ก็น่าจะหกหมื่นคนตามที่สายรายงานขอรับ ในระยะร้อยลี้ ไม่มีทัพเสริมหรือกองกำลังใด ๆ ซุ่มอยู่ ที่น่าจะช่วยพวกมันได้ แล้วก็หัวหน้ามันคือซื่อเก่อ เขาเคยเป็นหัวหน้าของกองโจรที่มาลักพาตัวจ่างกงจู่ (พระขนิษฐาของฮ่องเต้) เมื่อหลายปีก่อนขอรับ”หัวหน้าหน่วยสอดแนมตอบแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้น ตามสิ่งที่เขาได้ไปสืบข่าวมา“ซื่อเกอผู้นี้จิตใจหยาบช้านัก ข้าจะต้องจัดการมันให้ได้”เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“ซื่อเก่อผู้นี้เจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังไร้คุณธรรม ท่านแม่ทัพต้องระวังตัวให้มากนะขอรับ” รองแม่ทัพเว่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล เขาพอจะรู้เกี่ยวกับผู้นี้มาบ้างว่าเป็นคนเช่นไรเมื่อเหล่าแม่ทัพนายกองภายในกระโจม
บทที่ 37บาดเจ็บสาหัส“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ“ไม่มีอะไรหรอกผิงผิง ข้าเพียงทำถ้วยชาหลุดมือเท่านั้น”จ้าวเยว่เอ่ยตอบออกมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แต่ภายในใจกลับรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆเสวี่ยฮูหยินมิได้ว่ากระไร เพียงแต่โบกไม้โบกมือให้ทุกคนออกไปแล้วหันมาบอกกับผิงผิง “ผิงผิง ไปเรียกคนมาเก็บเถอะ”ทั้งเสวี่ฮูหยินและจ้าวเยว่มองหน้ากันไม่กล่าวว่ากระไร สีหน้าเป็นกังวลทั้งคู่ พวกเขารู้ดีว่าการที่มีของตกแตกในจวนระหว่างที่มีคนในครอบครัวไปทำสงคราม หรือไปเสี่ยงอันตรายนั้นเป็นลางไม่ดี และครั้งนี้ก็อดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้“ท่านแม่ ลูกเป็นห่วงท่านพี่” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจเสวี่ยฮูหยินว่างมือลงบนมือที่สั่นเทาของจ้าวเยว่ นางกล่าวปลอบอย่างใจเย็นว่า“เจ้าอย่าได้คิดมากไป เมื่อครู่นี้ มือเจ้าลื่นก็เท่านั้น”กลับมาทางด้านเสวี่ยช่างเจิ้นเสียงอาวุธดังกระทบกันที่ทุ่งกว้างเงียบสงบลง ผลการสู้รบจบลงที่ฝ่ายโจรภูเขาได้ยินสัญญาณจากด้านหลัง ว่าให้ถอย ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นฝ่ายถอยก่อน แต่ทว่าก็เสียหายไม่น้อย ซากศพของทหารกองโจรพวกนี้หากนับดูคร่าว ๆ ก็น่าจะราวสามถึงสี่หมื่นคนได้ ในขณะที่ฝ่
บทที่ 38 ข่าวการบาดเจ็บของสามีแม่ทัพใหญ่เหยียนโหวเดินออกจากท้องพระโรง แล้วเรียกหาทหารองครักษ์นายหนึ่ง เขากำชับกับทหารองครักษ์นั้นสองสามคำ ก่อนทั้งสองจะเดินแยกกันคนละทาง ทหารองครักษ์ผู้นั้นเร่งรีบวิ่งไปทางประตูวัง เดินทางมุ่งไปยังจวนของแม่ทัพเสวี่ย ส่วนแม่ทัพใหญ่ไปรวมตัวกับขบวนของหมอหลวง ที่เตรียมการใกล้จะเสร็จแล้ว“ท่านหมอหลวง นี่เป็นของสำคัญ ให้ท่านรีบนำไปใช้รักษาแม่ทัพเสวี่ย” แม่ทัพใหญ่เหยียนโหวเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นกล่องไม้สีแดงใบนั้นให้กับหมอหลวง“คาดว่าจะเป็นนอแรดที่ฝ่าบาทประทานมาสินะ”หมอหลวงรับกล่องไม้มาแล้วเอ่ยขึ้น ก่อนจะทอดถอนใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ“จะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแม่ทัพเสวี่ยแล้วตอนนี้ นอแรดนี้ ก็เป็นแต่เพียงบางตำราว่าไว้เท่านั้น ว่ารักษาพิษเจิ้นตู๋ได้”“ช่างเถอะท่านหมอหลวง มีมันไว้ อย่างน้อยก็มีความหวัง”แม่ทัพใหญ่เหยียนโหวกล่าวด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน“แล้วนี่ผ่านมากี่วันแล้วที่เขาได้รับพิษ” หมอหลวงเอ่ยถามอาการของแม่ทัพเสวี่ยหลิวเส้าหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยตอบ “จากวันที่ข้าออกมาจากเมืองเซี่ยงตง นี่ก็สิบวันแล้วขอรับ”การควบขี่ม้าเร็วมาจากเมืองเซี่ยงตง
บทที่ 39 คำยืนยันจากพี่ชายเมื่อกลับไปถึงจวน จ้าวเยว่ก็พบว่าเสวี่ยฮูหยินเป็นลมหมดสติอยู่ ไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบคำถามของนางได้ แต่จากอาการของเสวี่ยฮูหยิน จ้าวเยว่ก็คาดการณ์ได้ว่าแม่สามีคงจะเป็นลมเพราะเรื่องที่เสวี่ยช่างเจิ้นบาดเจ็บเป็นแน่ภายในใจของจ้าวเยว่ตอนนี้รู้สึกหวิวโหวง เหมือนกับว่ามีใครมากระชากหัวใจของนางให้หลุดออกจากร่างไปจ้าวเยว่เดินกระวนกระวายเดินไปมาอยู่หน้าเรือนบูรพา เรื่องที่สามีตนได้รับบาดเจ็บ นางเชื่อไปแล้วแปดส่วน อีกสองส่วนคือเผื่อใจเอาไว้ ว่าจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้เรื่องเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้” จ้าวเยว่เอ่ยพึมพำออกมากับตัวเอง“เอาอย่างไรดีเจ้าคะ คุณหนู” ผิงผิงเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็น จ้าวเยว่เดินไปเดินมาอยู่นานสองนานแล้วเอ่ยพึมพำออกมาจ้าวเยว่กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นางไม่ได้ยินคำถามของผิงผิงเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่จะแก้ปัญหา นางหยุดยืนนิ่ง ๆ แล้วก็ทำท่าทางราวกับว่าตัดสินใจอะไรได้แล้ว“ผิงผิง เจ้าไปรอข้าที่บนเรือนก่อน ข้าขอสืบข่าวสักครู่”จ้าวเยว่เอ่ยบอกกับสาวใช้คนสนิท“เจ้าค่ะ” ผิงผิงได้รับคำสั่งก็เด
บทที่ 40 ภายในใจนั้นเป็นกังวล“เรื่องที่แม่ทัพเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่ามีคนมาแจ้งข่าวแก่พวกเจ้าแล้วหรือยัง ข้าก็เลยจะมาบอกด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้ข่าวลือทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิด” จ้าวหลู่เจินกล่าวขึ้นเมื่อมานั่งพร้อมกันแล้ว“สรุปแล้วเรื่องนี้เป็นความจริงหรือ” จ้าวเยว่เอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ“น้องพี่ เจ้าทำใจให้ดี เรื่องนี้เป็นความจริง แม่ทัพเสวี่ยได้รับพิษเจิ้นตู๋ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นคืนสติ” จ้าวหลู่เจินบีบมือจ้าวเยว่เพื่อปลอบใจ และแจ้งข่าวที่เขาได้รับมาให้นางได้รับรู้“ก่อนหน้านี้ราวหนึ่งชั่วยาม ก็มีคนจากในวังหลวงมาแจ้ง เสวี่ยฮูหยินเมื่อได้ทราบข่าวก็ถึงกับเป็นลมหมดสติไปเลยขอรับ”หยางมู่มู่ก็เอ่ยบ้างจ้าวเยว่ได้ยินหยางมู่มู่บอกก็ถึงกับไม่พอใจขึ้นมาทันที “แล้วเหตุใดท่านจึงไม่บอกข้า ปล่อยให้ข้ายืนกังวลอยู่ตั้งนานสองนาน” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“ข้าก็นึกว่าฮูหยินน้อยรู้แล้ว” หยางมู่มู่ตอบกลับเสียงเบา“ท่านนี่! พี่ใหญ่แล้วอย่างไรต่อ เล่าให้ข้าฟังทั้งหมดเถอะ”จ้าวเยว่ได้ยินคำตอบก็ยิ่งโมโห แต่ไม่คิดจะเถียงกับหัวหน้าองครักษ์ประจำจวนคนนี้ให้เสียอารมณ์ เนื่องจากเรื่องที่จ้าวหลู่เจินนำมาบ
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน