ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
บทที่ 1 จ้าวเยว่หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่งอำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียวฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมืองส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุดอีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุนนางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสามจ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าวหลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโด
บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดีแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้“ผิงผิง ๆ”“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านในห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็นงานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่าผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวใ
บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้านตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกันหมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำตัวราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าวเยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมังพี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรงว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเองพอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าวไพร่มารวมตัวกันที่สวนหลังจวนพอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคนเดียว
บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม”จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา“ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่ม้ายังดีเสียกว่า”จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราวกับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง“ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า”“หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้ากันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่”“ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสด
บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไรในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้นนางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิดเตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้วจ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชายจ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่
บทที่ 6 โต้กลับอย่างเจ็บแสบ“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีการลงโทษแบบนั้นแล้ว สมัยนี้คือราชวงศ์ถังไม่ใช่ราชวงศ์กวน” หวังเว่ยเถียนเถียงกลับมาอย่างถือดี ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อยจ้าวเยว่หันไปมองหน้าหวังเว่ยเถียนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ อย่าลืมสิ ว่าบิดาของข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง อีกทั้งยังสนิทกับท่านเซียวโหว แล้วท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และหากฝ่าบาทให้นำการลงโทษนี้มาใช้ใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”บรรดาสตรีทุกนางต่างพากันปิดปากเงียบ มิมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำกับจ้าวเยว่สักคน เพราะไม่มีบิดาของผู้ใดที่จะมียศตำแหน่งเทียบเท่ากับบิดาของนาง เว้นก็แต่บิดาของซูหลิงเจียว แต่ซูหลิงเจียวกลับวางท่าสุขุมไม่โต้ตอบอะไรหวังเว่ยเถียนเมื่อนึกคำเอ่ยออก ก็เอ่ยขึ้นมา“เจ้าคิดว่าวาจาที่มาจากสตรีที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะรับฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”คำเอ่ยของหวังเว่ยเถียนประโยคนี้ มิได้สร้างความสั่นสะเทือนใด ๆ ให้กับจ้าวเยว่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายนางยังหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ฟังจบ“หวังเว่ยเถียนนะ
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน