แชร์

บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา

ผู้เขียน: sanvittayam
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-01 21:21:03

บทที่ 4

งานเลี้ยงน้ำชา

“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม”

จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา

“ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่­ม้ายังดีเสียกว่า”

จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราว­กับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง

“ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า”

“หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้า­กันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน

จ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง

“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่”

“ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน

“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ท่านพี่ทั้งสอง”

                                                                          

เมื่อร่ำลาพี่ชายทั้งสองคนแล้ว จ้าวเยว่ก็ลุกจะออกจากห้องโถงไป แต่นางกลับถูกพี่ชายอย่างจ้าวหลู่เจินรั้งตัวไว้

“ไม่ไปคุกเข่าที่หอบรรพชนแล้วหรือ ท่านแม่เพิ่งสั่งเจ้าเอง­นะ เจ้านี่ใช้สมองร่วมกับปลาทองหรืออย่างไร”

“ลืมไปสนิทเลย ข้ามัวแต่หงุดหงิดเรื่องที่ตัวเองจะต้องเรียน­โน่นเรียนนี่นะสิเจ้าคะ”

จ้าวเยว่ยังไม่ทันเอ่ยขาดคำ สาวใช้ประจำเรือนของมารดาก็­เดินเข้ามา พร้อมกับทำความเคารพคนทั้งสาม

“เอ่อ...คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินให้ข้ามาดูแลท่าน ในระหว่างที่คุกเข่าที่หอบรรพชนเจ้าค่ะ”

“เหอะ! ท่านแม่ให้เจ้ามาเฝ้าข้ามากกว่าล่ะสิ คงกลัวว่าข้าจะไม่ยอมทำตามคำสั่งอีก”

“จ้าวเยว่...อย่าหาเรื่องน่า ขืนท่านแม่มาได้ยิน เดี๋ยวก็ถูกเพิ่มโทษอีกหรอก” จ้าวอวี้เฉินสะกิดน้องสาว พลางส่ายหน้าไม่ให้นางบ่นถึงเรื่องนี้อีก

“เอาเถอะ ข้าไปแน่ พวกท่านกลับมาเหนื่อย ๆ ก็รีบพักผ่อนเถอะ ราตรีสวัสดิ์”

เมื่อจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเองไปแล้ว จ้าวเยว่กับสาวใช้ก็ตรงไปยังหอบรรพชน

ทันทีที่เดินมาถึง หญิงสาวก็ทำการคุกเข่าอยู่ด้านหน้าป้ายวิญญาณของบรรพชนสกุลจ้าวหลายต่อหลายรุ่น โดยมีสาวใช้ของ­มารดายืนคุมอยู่ด้านหลัง ทว่ายังไม่ทันจะคุกเข่าได้นานเท่าไรนัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของสาวใช้ดังแว่วมา

“เจ้าได้ยินเสียงร้องนั่นหรือไม่ ไปดูข้างนอกให้ข้าหน่อย ว่ามีใครเป็นอะไรหรือไม่” จ้าวเยว่ที่กำลังคุกเข่าหันมาบอกสาวใช้

ซึ่งสาวใช้ก็รีบทำตามทันที และทันทีที่สาวใช้ของมารดาก้าว­ออกไป สาวใช้อีกคนที่นางจำได้ว่าเป็นคนของจ้าวอวี้เฉิน ซึ่งมีนามว่าซีซี ก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับส่งของบางอย่างมาให้

“เบาะรองเข่าเจ้าค่ะคุณหนู คุณชายให้นำมาให้ท่าน”

“พี่รองมีของเช่นนี้ด้วยหรือเนี่ย ประเสริฐที่สุด”

จ้าวเยว่รีบนำที่รองเข่าเล็ก ๆ มาผูกตรงข้อพับของตน โดยมี­สาวใช้ของพี่ชายช่วยเหลือ ส่วนตัวนางก็ถลกกระโปรงขึ้น เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยใส่ได้สะดวก

“ขอบใจเจ้ามากนะ เดี๋ยวไว้ข้าจะให้ผิงผิงเอารางวัลไปให้”

หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบคุกเข่าลงตามเดิม คราวนี้ต่อให้มารดาสั่งให้นางคุกเข่าทั้งคืน ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนสาวใช้ของพี่ชายก็ก้มศีรษะให้ แล้วรีบวิ่งออกไปจากหอบรรพชนทันที

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม จ้าวฮูหยินที่ถึงแม้จะโกรธเคืองบุตรสาวเพียงใด ก็ยังมีความรักมอบให้แก่นางอย่างมากเช่นกัน ก็สั่งให้จ้าวเยว่เลิกคุกเข่า และกลับไปพักผ่อนที่เรือนได้

เมื่อหญิงสาวกลับมาถึงห้องนอน ก็เห็นผิงผิงยืนรออยู่ที่หน้า­ประตูแล้ว สีหน้าของผิงผิงดูร้อนใจและเป็นกังวลอยู่หลายส่วน เพราะกลัวว่าคุณหนูของตนจะถูกว่ากล่าวอย่างรุนแรง หรือไม่ก็­ลงโทษให้กักบริเวณอีก จึงอดเป็นห่วงไม่ได้  

“คุณหนู นายท่านกับฮูหยินว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ พวก­ท่านสั่งลงโทษอะไรคุณหนูหรือไม่”

ทันทีที่เห็นคุณหนูของตนเองเดินเข้ามา สาวใช้คนสนิทอย่างผิงผิง ก็รีบวิ่งมาหาจ้าวเยว่ทันที ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง เนื่องจากนางรู้จากสาวใช้อีกคนหนึ่งแล้ว ว่าจ้าวเยว่ถูกลงโทษให้­คุกเข่า แต่ตัวนางไม่อาจไปช่วยเหลือคุณหนูได้ จึงได้แต่รออยู่ที่นี่

จ้าวเยว่ที่หน้าตาดูไม่สะทกสะท้านกับความผิดของตนเลย­นั้น ก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “ไม่ได้ลงโทษ แต่ก็ไม่ต่างจากลงโทษ”

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ผิงผิงได้ยินว่าคุณหนูถูกสั่งให้ไปคุกเข่าที่หอบรรพชนไม่ใช่หรือ” สีหน้าของผิงผิงเปลี่ยนจากกังวลมาเป็นสงสัยขึ้นมา

“นั่นมันเรื่องเล็กน่า” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะก้มลงปลดที่รองเข่าออกจากข้อพับ แล้วส่งไปให้ผิงผิง

“พรุ่งนี้เจ้าเอาไปคืนพี่อวี้เฉินให้ข้าด้วย อ้อ...พรุ่งนี้เจ้าอย่า­ลืมมาเอาเงินจากข้าหนึ่งตำลึง ไปให้สาวใช้ที่ชื่อซีซีด้วยนะ”

“จะ...เจ้าค่ะ” แม้จะยังงงงันอยู่บ้างแต่ผิงผิงก็รับคำ รวมถึงรับผ้ารองเข่ามาใส่ไว้ในสาบเสื้อของตนอย่างดี

“คุณหนู แล้วเรื่องที่ท่านเอ่ยค้างไว้เมื่อครู่เล่าเจ้าคะ”

“อ้อ...ก็ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะสิ อยากจะให้ข้าออกเรือนจึง­ตั้งใจจะจะขัดเกลาข้าเสียใหม่ กล่าวว่าจะให้ข้าเรียนเย็บผ้า ปักผ้า อ่านตำรา ทำอาหาร และอีกมากมายสารพัดอย่าง เพื่อที่ข้าจะได้เป็นฮูหยินที่ดีในภายภาคหน้า” จ้าวเยว่อธิบายพร้อมกับเดินตรงเข้า­ไปที่เตียง

“แล้วคุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปเล่าเจ้าคะ” ผิงผิงถามอีก

จ้าวเยว่นอนหงายหลังลงบนเตียง นางกางแขนกางขาเข้า ๆ ออก ๆ พลางเอ่ยไปด้วยว่า “ข้าว่านะ ตอนแรกก็จะลองทำตามที่พวกท่านบอกดู แต่ถ้าทำไม่ไหวข้าก็จะเล่นงานครูที่มาสอนข้า ให้เขาเบื่อข้า แล้วก็ไม่­อยากกลับมาที่จวนนี้อีกเลย เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้”

ผิงผิงฟังแล้วต้องถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก แล้วส่ายศีรษะด้วยความเหนื่อยใจ

จ้าวเยว่กำลังยืนให้อาหารปลาอยู่ที่สระเล็กในสวนหลังจวนเหมือนทุกครั้ง ปกติแล้วนางจะให้อาหารปลาในยามเฉินของทุก­วัน นี่ถือเป็นงานเดียวที่นางทำ หลังจากให้อาหารปลาแล้วก็จะยืนดูพวกมันสักพัก จากนั้นจึงกลับห้องไปนอนต่อ ตื่นมาอีกครั้งก็­ยามอู่เพื่อกินข้าว แต่ว่าวันนี้หญิงสาวไม่ได้กลับไปนอนเหมือนทุก­วัน เนื่องจากถูกเรียกให้ไปที่ห้องโถงอีกแล้ว

“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้ไปพบเจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งวิ่งนำความมารายงาน

จ้าวเยว่กลอกตาขึ้นบนอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะตอบว่า

“เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ ว่าสักครู่ข้าจะตามไป”

สาวใช้นางนั้นจึงได้เดินจากไป พร้อมกับคำตอบของจ้าวเยว่

“อีกแล้ว ๆ เดือนนี้ถูกเรียกไปห้องโถงกี่ครั้งแล้วเนี่ย”

จ้าวเยว่บ่นอย่างรำคาญใจ นางนึกอยากเป็นตุ๋นสักตัว จะได้มุดดินหนีไปเสียเลย

ผิงผิงรู้ว่านายของตนนั้นไม่ชอบถูกเรียกให้ไปพบที่ห้องโถงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกเรียกเมื่อใด ก็เป็นอันว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นเมื่อนั้น แต่นางเป็นแค่สาวใช้จะทำอะไรได้ ทำได้เพียงแต่เอ่ยปลอบคุณหนูเท่านั้น

“ครั้งนี้อาจจะไม่มีอะไรก็ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินอาจจะเรียกไปเพราะอยากสนทนากับคุณหนูเท่านั้น”

“เคยสักครั้งหรือไม่ ที่มันจะไม่มีอะไร”

“โธ่คุณหนู บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนะเจ้าคะ สู้ยิ้มรับแล้วไปกันดีกว่าเจ้าค่ะ”

จ้าวเยว่เดินคอตกตามผิงผิงไปถึงหน้าห้องโถง ตอนแรกนาง­เดินเข้าไปคนเดียว แต่ว่าจ้าวฮูหยินบอกว่าให้ผิงผิงตามเข้ามาได้ ผิงผิงจึงเดินเข้ามาในห้องโถงด้วย

ภายในห้องโถงนั้น นอกจากจะมีจ้าวฮูหยิน จ้าวเยว่และผิง­ผิงแล้ว ยังมีมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ด้วย ที่โต๊ะข้าง ๆ นางมีอุปกรณ์สำหรับวัดขนาดอยู่หลายชิ้น และในมือก็ถือเชือกสำหรับวัดขนาดอยู่

“ท่านแม่ให้ช่างตัดเสื้อมาทำไมหรือเจ้าคะ” จ้าวเยว่ถาม พลางทำหน้างุนงงเล็กน้อย

“มาตัดชุดให้เจ้า” จ้าวฮูหยินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

จ้าวเยว่ได้ยินก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อช่วงต้นปีนาง­เพิ่งตัดชุดใหม่ไป เนื่องจากส่วนสูงของนางเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่นี่ก็เพิ่งจะเดือนสอง นางคงไม่ได้โตเร็วถึงขนาดนั้นกระมัง ถึงได้ต้องเรียกคนมาตัดชุดใหม่

“ข้าเพิ่งตัดชุดใหม่ไปเมื่อต้นปีเองนี่เจ้าคะ เหตุใดจึงต้องตัดอีก” จ้าวเยว่ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ชุดนี้ตัดเพื่อให้เจ้าใส่ไปงานเลี้ยง วันพระราชสมภพของไท­เฮา” จ้าวฮูหยินตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่มุมปาก

“งานเลี้ยงอีก...” จ้าวเยว่กำลังจะเอ่ยปากบ่น แต่ก็ถูกมารดาตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

“งานนี้เจ้าขัดขืนไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไป หากเจ้าไม่ไป จะมีโทษฐานขัดพระราชเสาวนีย์ เจ้าจะรับโทษนั้นไหวหรือไม่”

จ้าวฮูหยินเอ่ยอย่างเนิบช้า ทว่าแววตาช่างดูดุดันและจริงจัง

จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้น จึงทำได้เพียงแค่ตอบว่า “เจ้าค่ะ”

ช่างตัดเสื้อทำการวัดขนาดและความยาวบนตัวจ้าวเยว่ วัด­ไปก็จดไปว่าส่วนต่าง ๆ ว่ามีขนาดเท่าไร

ส่วนผิงผิงก็ช่วยคุณหนูของตนจัดท่าทาง เพื่อให้ช่างตัดเสื้อทำงานง่ายขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ช่าง­ตัด­เสื้อจึงได้ขอตัวกลับร้านไป

“ผิงผิง เจ้ามานี่” จ้าวฮูหยินเรียกผิงผิงให้เข้าไปหา

“เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ

จ้าวฮูหยินส่งถุงเงินให้ผิงผิงถุงหนึ่ง ในนั้นน่าจะมีเงินอยู่หลายตำลึง พอส่งถุงเงินให้แล้ว ก็สั่งผิงผิงให้ออกไปซื้อของข้างนอก

“เจ้านำเงินนี้ไป แล้วไปซื้อแป้งผัดหน้า ชาด แล้วก็น้ำมันประทินผิวมา นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าต้องดูแลความงามของนางทุกวันอย่าได้ขาด อย่าให้ข้าต้องขายหน้า ว่ามีบุตรสาวที่ไม่งาม”

“เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบ นางรับเงินแล้วก็เดินออกจากประตูไป

“เจ้าเองก็ไปได้” เสร็จธุระแล้ว จ้าวฮูหยินก็บอกให้จ้าวเยว่กลับห้อง

“เจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่ตอบรับแล้วรีบเดินออกมาจากห้อง­โถงที่นางรู้สึกอึดอัดทันทีเช่นกัน

เมื่อถึงวันงาน

จ้าวฮูหยินสั่งคนให้มาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องจ้าวเยว่ โดยชุด­ที่สั่งตัดใหม่ของหญิงสาวเพิ่งมาถึงเมื่อยามเว่ย เป็นชุดเกาะอกยาวสีชมพูอ่อน ผ้าพลิ้วไหวบางเบา สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสี­เดียวกัน ผ้าคาดเอวเป็นสีขาวไม่ขัดกับสีชมพูของชุด เครื่องประดับที่ใส่คู่กับชุด เป็นปิ่นปักผมที่ประดับด้วยหยกสีชมพู และกำไลที่ทำจากหยกสีชมพูเช่นกัน

จ้าวฮูหยินสั่งให้คนมาช่วยกันแต่งหน้าทำผมให้จ้าวเยว่ ช่าง­แต่งหน้าพวกนี้มาจากหอโอบจันทร์ สำนักนางโลมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแคว้นฉางอัน พวกเขาเหล่านี้แต่งหน้าผู้คนมามากมายขึ้น­ชื่อว่าสามารถเปลี่ยนหญิงธรรมดาให้เป็นนางโลมที่งาม จนต้องตะลึงได้ และเมื่อพวกเขามาแต่งหน้าให้จ้าวเยว่ที่งามอยู่แล้ว บัดนี้ก็­ถึงกับงดงามดุจดั่งเทพเซียน

ทุกคนต่างก็แต่งตัวกันเสร็จแล้วและมารอที่รถม้าหน้าจวนพอจ้าวฮูหยินเห็นจ้าวเยว่ นางก็ต้องพยักหน้าและอมยิ้ม

ส่วนพี่ชายทั้งสองนั้น ถึงกับตะลึงจนแทบจะหงายหลัง

“น้องสาม นี่เจ้าไปกินลูกท้อสวรรค์มาหรืออย่างไร”

จ้าวอวี้เฉินเอ่ยเป็นเชิงหยอกล้อ จ้าวหลู่เจินเองก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเอ็นดู

“เจ้านี่ถ้าจะทำให้ดี ก็ออกมาดีไม่น้อย”

“ท่านพี่ทั้งสองเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ปกติแล้วข้าไม่­งามอย่างนั้นหรือ” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมถลึงตาใส่พี่ชายทั้งสองคน

“ไม่ใช่เจ้าไม่งาม แต่ว่าพวกข้าเพิ่งจะเคยเห็นเจ้างามเช่นนี้”

จ้าวอวี้เฉินรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่น้องสาวคนเล็กจะไม่พอใจ

“ท่านคิดว่าข้าชอบนักหรืออย่างไร ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว รีบ­ไปกันเถอะ” เอ่ยจบจ้าวเยว่ก็ทำหน้าตาบูดบึ้ง เดินนำหน้าขึ้นรถ­ม้าไป พี่ชายทั้งสองจึงตามขึ้นไปเช่นกัน

เมื่อไปถึงงานเลี้ยง สามพี่น้องก็เดินตามท่านเจ้ากรมการคลังและจ้าวฮูหยินเข้าไปในงาน บรรดาบุรุษที่มองมา ต่างก็มองตามจ้าว­เยว่กันเป็นแถว เพราะตั้งแต่เข้างานมาก็ไม่พบผู้ใดงามถึงเพียงนี้มาก่อน

ก่อนหน้านี้บุตรีของท่านเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ซูหลิงเจียวที่­มาถึงสักพักว่างามแล้ว แต่เมื่อจ้าวเยว่เดินเข้ามา ซูหลิงเจียวก็­หมองลงและหมดความโดดเด่นไปทันที

เจ้ากรมการคลังและฮูหยินพร้อมกับบุตรทั้งสามเดินไปที่หน้าพระที่นั่งของฮ่องเต้และไทเฮา

“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮา” ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปนั่งที่ของตน

ตามธรรมเนียมของงานเลี้ยงแล้ว ขุนนางจะนั่งที่บริเวณเดียวกันกับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ เพื่อที่จะสนทนากันเรื่องจวนเมืองได้สะดวก ด้านฮูหยินของบรรดาขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งอีกที่หนึ่ง ส่วนบุตรของขุนนาง ก็จะถูกจัดให้นั่งแยกกันระหว่างชาย­หญิง เพื่อให้พวกเขาได้สมาคมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

จ้าวเยว่เองก็เดินไปนั่งที่ของตน โดยที่มีสาวใช้นำทางไป ระหว่างทางก็ผ่านที่นั่งของเหล่าบุรุษ ซึ่งบุรุษเหล่านั้นก็ต่างซุบซิบถามกัน

“แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน พวกเจ้ารู้จักหรือไม่”

บุตรของเจ้ากรมผู้หนึ่งถามขึ้นมา

บุรุษสี่ห้าคนต่างตอบมาว่า

 “ไม่รู้จัก / ข้าก็ไม่รู้จัก / นางเป็นใครงั้นหรือ”

“นางคนนั้นน่ะหรือ” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง ซึ่งเขาผู้นั้นก็กำลังเดินมานั่งที่ของตนเช่นกัน

“นางมีนามว่าจ้าวเยว่ เป็นบุตรีของเจ้ากรมการคลังจ้าวฝู่”

เซียวเฟิงตอบออกไปอย่างภาคภูมิใจ ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นนางเดินผ่านไป แต่ทว่านางไม่ทันได้เห็นเขา

“อ๋อ แม่นางที่ได้ฉายาว่าหญิงเกียจคร้านแห่งแคว้นฉางอัน น่ะ­หรือ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“ช่างน่าเสียดายความงามของนางยิ่งนัก งามขนาดนี้ ไม่น่ามีชื่อเสียงไม่ไม่ดีเลย” บุรุษคนเดิมเอ่ยเสริมอีกครั้ง

เมื่อทุกคนรู้ว่านางคือจ้าวเยว่ จากที่ตกตะลึงในความงามกลับกลายเป็นเสียดายความงามของนางแทน

มีเพียงแต่เซียวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงมองนางอย่างชื่นชม ต่อให้ผู้อื่นจะว่านางเป็นหญิงเกียจคร้านอย่างไร เขาก็ได้หาสนใจ ยิ่งบุรุษอื่นไม่อยากได้นางเป็นภรรยาสิยิ่งดี เขาจะได้มีโอกาสแต่เพียงผู้เดียว

บทที่เกี่ยวข้อง

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

    บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไรในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้นนางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิด­เตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมาก­เกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้วจ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชายจ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-01
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 1 จ้าวเยว่

    บทที่ 1 จ้าวเยว่หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่ง­อำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียวฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมืองส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุดอีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุน­นางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสามจ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าว­หลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโด

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-30
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดี

    บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดีแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่­กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุก­ขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้“ผิงผิง ๆ”“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านใน­ห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็น­งานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่าผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบน­โต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้าง­หน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวใ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-30
  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้าน

    บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้านตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกัน­หมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำ­ตัว­ราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่าง­สนุกสนานเริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าว­เยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่­น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมังพี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรง­ว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเองพอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าว­ไพร่มา­รวมตัวกันที่สวนหลังจวนพอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็­กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคน­เดียว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-30

บทล่าสุด

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

    บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไรในงานเลี้ยงครั้งนี้ สตรีวัยเยาว์ทั้งหลายถูกจัดให้ไปนั่งรวมกันตรงลานที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าบัดนี้พวกนางส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว เพราะต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ศาลาชมดาวกันหมด ทว่าจ้าวเยว่ก็หาได้สนใจ เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจในตอนนี้ ก็มีแต่เรื่องอาหารการกินเท่านั้นนางถูกจับแต่งตัวตั้งแต่ยามอู่ โดยอยู่ในห้องตลอดและไม่ได้กินอะไรเลย พอจะหยิบอะไรเข้าปากสักหน่อย ก็ถูกช่างแต่งหน้าสะกิด­เตือนว่าจะทำให้ชาดที่ทาปากเลอะได้ จะดื่มน้ำก็ยังห้ามดื่มมาก­เกินไป เพราะอาจทำให้ปวดเบาจนวุ่นวายต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งแน่นอนชุดที่นางสวมใส่วันนี้ ก็ไม่สะดวกในเรื่องนั้นนัก ทำให้ตอนนี้หญิงสาวหิวจนแทบจะเป็นลมแล้วจ้าวเยว่ก้าวฉับ ๆ ไปยังจุดที่พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ บรรดาบุรุษเห็นสตรีที่งดงามมานั่งด้วย ก็พากันตะลึง ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดหาญกล้าถึงเพียงนี้ ซึ่งตอนนี้จ้าวเยว่มานั่งลงตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว“บนโต๊ะของพวกท่านมีอะไรให้กินบ้างเจ้าคะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นแล้วก็มองไปที่อาหารบนโต๊ะของพี่ชายจ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาว ก่อนเอ่

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา

    บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา“เห็นทีท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเอาจริงแล้วล่ะน้องสาม”จ้าวอวี้เฉินกล่าวขึ้น เมื่อคล้อยหลังบิดามารดา“ท่านพี่ พวกท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเรียนปักผ้า ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำรองเท้า อะไรพวกนั้น ให้ข้าไปฝึกยิงธนู ขี่­ม้ายังดีเสียกว่า”จ้าวเยว่ขอร้องพี่ชายทั้งสอง และทำสายตาราว­กับว่าพวกเขาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ จ้าวหลู่เจินมองหน้าน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหมดหวัง“ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็ลองทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอกก่อนจะเป็นไร ข้าว่าไม่ยากเกินไปหรอกน่า”“หรือว่าเจ้าจะแต่งให้กับเซียวเฟิงดี ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะเข้า­กันได้ดีก็เป็นได้” จ้าวอวี้เฉินแนะนำ เพราะหากมองกันตามฐานะ ก็ถือว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจ้าวเยว่เอามือเท้าคางนั่งมองพื้นอย่างหมดความหวัง“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ากับเซียวเฟิงเป็นสหายกัน จะออกเรือนไปกับเขาได้อย่างไร อีกอย่าง คนที่ทั้งเก่งทั้งฉลาดอย่างเขา คงไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยาเป็นแน่ พวกท่านว่าจริงหรือไม่”“ก็จริงของเจ้า” พี่ชายทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็ดึกแล้วข้าขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสด

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้าน

    บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้านตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกัน­หมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำ­ตัว­ราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่าง­สนุกสนานเริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าว­เยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่­น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมังพี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรง­ว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเองพอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าว­ไพร่มา­รวมตัวกันที่สวนหลังจวนพอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็­กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคน­เดียว

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดี

    บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดีแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาจนแยงตา จ้าวเยว่ที่­กำลังนอนอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะลุก­ขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยหน่าย ปากก็ร้องตะโกนเรียกสาวใช้“ผิงผิง ๆ”“ผิงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องนอนของจ้าวเยว่ ในมือของนางมีอ่างใส่น้ำใบหนึ่งกับผ้าสีขาวสำหรับเช็ดหน้า“ข้าขอท่านแม่ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยากเปลี่ยนผ้าม่านใน­ห้องของข้าให้เป็นสีดำ ยามเช้าแดดจะได้ไม่ส่องเข้ามากระทบตาข้า” จ้าวเยว่บ่นพึมพำ“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ จวนเรือนจะใช้ผ้าสีดำก็ต่อเมื่อเป็น­งานศพเท่านั้น ถ้าเอามาใช้ในห้องนอน มันจะไม่เป็นมงคล”ผิงผิงแย้ง เรื่องนี้นางเห็นด้วยกับมารดาของอีกฝ่าย“ช่างเรื่องมงคลไม่มงคลนั่นปะไร ข้าอยากได้แบบที่สะดวกต่อข้า” จ้าวเยว่ยังยืนยันความคิดของตนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องมงคลหรือไม่มงคล เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่าผิงผิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะนำอ่างล้างหน้ามาวางบน­โต๊ะเครื่องแป้ง จ้าวเยว่ก้มหน้าลงไปใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาล้าง­หน้าเล็กน้อย และรับผ้าสีขาวมาเช็ดหน้าอย่างเบามือ“งานเลี้ยงที่จวนของท่านโหวใ

  • จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ   บทที่ 1 จ้าวเยว่

    บทที่ 1 จ้าวเยว่หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่ง­อำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียวฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมืองส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุดอีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุน­นางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสามจ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าว­หลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโด

DMCA.com Protection Status