ข่าวการสมรสพระราชทาน ระหว่างคุณหนูสกุลจ้าวและแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วฉางอัน ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเจ้าสาวจะเป็นจ้าวเยว่ เนื่องจากนางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก อันมาจากความเกียจคร้านของนาง จนบางคนถึงกลับเอาไปนินทากันต่าง ๆ นานา
ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซูหลิงเจียว หวังเว่ยเถียน และสตรีอีกสองสามนาง กำลังนั่งจิบน้ำชากันอยู่ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้กำลังเล่าลือกันปากต่อปากถึงเรื่องสมรสพระราชทานครั้งนี้เช่นกัน
“เจ้าคิดว่าเมื่อจ้าวเยว่แต่งเข้าจวนของแม่ทัพเสวี่ยแล้ว นางจะอยู่ได้หรือไม่” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าจ้าวเยว่นั้นไม่มีอะไรที่เทียบเคียงกับท่านแม่ทัพได้เลย
ซูหลิงเจียวจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน “ข้าว่านางอยู่ได้ไม่นานหรอก คนเกียจคร้านอย่างนาง ไหนเลยจะทำหน้าที่ฮูหยินที่ดีได้”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย ไหนจะเรื่องการดูแลเรือน ไหนจะเรื่องปรนนิบัติสามี ข้าว่านางทำไม่ได้หรอก ดีไม่ดีนางได้วิ่งออกมาจากจวนตระกูลเสวี่ย ตั้งแต่สามวันแรกที่แต่งเข้าจวนด้วยซ้ำ” สตรีนางหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างสนุกปาก เนื่องจากมั่นใจในความคิดของตนและสหาย
“ฮ่องเต้ก็จริง ๆ เลย พระราชทานสมรสให้ใครไม่ว่า กลับพระราชทานสมรสให้จ้าวเยว่เสียได้”
หวังเว่ยเถียนกล่าวต่ออย่างไม่พอใจ นางรู้สึกขัดเคืองใจในเรื่องนี้ยิ่งนัก สตรีในฉางอันมีนับร้อยนับพัน เหตุใดจึงต้องเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนั้นด้วย
“เว่ยเถียน เจ้าเอ่ยอะไรให้ระวังปากบ้างเถิด อยากตายหรืออย่างไร” ซูหลิงเจียวหันไปถลึงตาใส่สหาย ก่อนจะตำหนินางออกมาตรง ๆ แม้จะสนทนากันเรื่องของจ้าวเยว่ แต่ไม่ควรกล่าววาจาจาบจ้วงถึงฮ่องเต้
“ข้าขอโทษ ข้าลืมตัวไปหน่อย เจ้าอย่าตำหนิข้าเลย” หวังเว่ยเถียนตบปากตัวเองเบา ๆ สองสามครั้ง เพื่อยืนยันว่านางนั้นไม่ได้ตั้งใจกล่าววาจาเล่นนั้นต่อฮ่องเต้
ซูหลิงเจียวเมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็ทั้งโกรธทั้งคับแค้นใจ เนื่องจากบิดามักจะเอ่ยกับนางอยู่เสมอ ว่าท่านหมายปองแม่ทัพเสวี่ยไว้เป็นบุตรเขย บิดาของนางจึงพยายามทำทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งคอยสนับสนุนแม่ทัพเสวี่ยอย่างออกหน้าออกตา รวมถึงไปมาหาสู่กับตระกูลเสวี่ยไม่ขาด
และเมื่อได้ข่าวมาว่าฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพเสวี่ยนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ที่จะได้รับพระกรุณาจะเป็นบุตรีของตนเอง แต่สุดท้ายกลับเป็นบุตรสาวของตระกูลจ้าวอย่างจ้าวเยว่ไปเสียได้ สตรีเกียจคร้านอย่างจ้าวเยว่เหมาะสมกับท่านแม่ทัพเสวี่ยจริงหรือ
“ว่ากันตามตรงแล้ว แม่ทัพเสวี่ยจะต้องแต่งกับข้าต่างหาก ไม่ใช่คนเกียจคร้านอย่างจ้าวเยว่” ซูหลิงเจียวเอ่ยด้วยท่าทีคับแค้นใจ ความหวังที่จะแต่งเข้าตระกูลเสวี่ยพังทลายลงในพริบตา
หวังเว่ยเถียนขยับใบหน้าเล็กน้อยหันไปทางซูหลิงเจียว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเป็นเจ้า อีกอย่าง ตัวเจ้าเองช่างเหมาะสมยิ่งกว่าจ้าวเยว่เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ตำแหน่งของบิดาเจ้าก็มิได้น้อยหน้าผู้ใด ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมสมรสพระราชทานในครั้งนี้ถึงได้เป็นของตระกูลจ้าว”
“ข้าก็อยากรู้ยิ่งนักว่านางมีดีอะไร!!” ซูหลิงเจียวใช้กำปั้นทุบโต๊ะคราหนึ่งด้วยความเคียดแค้น
“เจ้าเชื่อข้าเถอะว่านางอยู่ในจวนตระกูลเสวี่ยได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนกลับมาจวนตนเอง จนกลายเป็นหญิงม่าย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะแต่งเข้าตระกูลเสวี่ยเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพก็ยังไม่สาย พวกเจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
หวังเว่ยเถียนกล่าววาจาเชิงดูหมิ่นจ้าวเยว่ไม่น้อย หนำซ้ำยังยุยงสหายของตนเองอีก
หลังจากนั้นพวกนางก็ยังคงสนทนาเรื่องอื่นกันต่อ และเรื่องที่สนทนากันก็ไม่พ้นเรื่องของจ้าวเยว่ รวมถึงเรื่องของบุรุษทั่วไป แม้ว่าตอนนี้นอกจากข่าวการสมรสพระราชทานแล้ว จะยังมีข่าวเรื่องของสงครามที่กำลังเกิดอยู่รอบ ๆ แคว้นฉางอัน ทว่าพวกนางก็มิได้สนใจข่าวสารจวนเมืองกันสักเท่าไร
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูได้ยินข่าวแล้วหรือไม่เจ้าคะ” ผิงผิงรีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อทราบข่าวบางอย่างมาจากนอกจวน
“ข่าวอะไรหรือ ถึงทำให้เจ้าดูมีท่าทีร้อนรนเช่นนี้” จ้าวเยว่ถามออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน ไม่แม้กระทั่งจะชายตามมองมาทางสาวใช้ของตนเอง
เนื่องจากเวลานี้หญิงสาวกำลังนอนคว่ำหน้า พลางตีขาไปมาอยู่บนเตียง ในมือก็ถือพู่ห้อยเอวหยกชิ้นหนึ่งเอาไว้ แล้วมองมันอย่างสงสัย
“เจ้าว่าหยกชิ้นนี้ หากตีราคาแล้วจะได้สักกี่ตำลึง”
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเลิกสนใจหยกนั่นก่อนเถอะเจ้าค่ะ มีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่คุณหนูควรได้ทราบ”
ผิงผิงรีบสวนกลับ ก่อนจะเดินไปพลิกตัวคุณหนูของตนให้นอนหงายกลับมาเผชิญหน้าเพื่อจะบอกข่าวที่นางได้รับรู้มา
ทำให้จ้าวเยว่พ่นถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายและมองสาวใช้ตนเองอย่างไม่พอใจ
“จะมีเรื่องอันใดสำคัญไปกว่าความสำราญของข้าอีกล่ะ”
“คุณหนูจะไม่สนใจเรื่องนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของคุณหนูเลย” ผิงผิงตอบกลับ เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมคุณหนูของตนถึงยังทำตัวเกียจคร้านเช่นนี้กันนะ
“เรื่องอะไรของเจ้ากันล่ะ หรือว่าข้าต้องแต่งงานอย่างนั้นรึ” จ้าวเยว่ถามด้วยเสียงกึ่งประชดอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก
คราวนี้ผิงผิงเปลี่ยนมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเตียง พร้อมกับทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “คุณหนูอย่ามัวแต่ล้อเล่นสิเจ้าคะ เป็นเรื่องการแต่งงานของคุณหนูจริง ๆ หนำซ้ำยังเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้อีกด้วย ท่านคิดว่าเรื่องนี้สำคัญหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใดรึ” จ้าวเยว่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย สีหน้าของนางไม่ได้มีอาการตกใจเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตนเอง
“ชาวเมืองต่างก็ลือกันให้ทั่วเจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบกลับคุณหนูของตนอย่างตื่นเต้น ดูท่าทางของนางแล้วจะตื่นตระหนกยิ่งกว่าผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวเสียอีก
“ชาวเมืองลือกัน ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้เสมอไปนะผิงผิง ถ้าหากเป็นสมรสพระราชทานจริง รอให้ท่านพ่อกลับมาจากในวังก็คงจะทราบเรื่องเอง เวลานี้พวกเราอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย เจ้ามาช่วยข้าดูพู่หยกอันนี้ดีกว่า ข้าเพิ่งได้มาจากตลาดที่ชานเมืองเมื่อวาน ตั้งใจว่าจะเอาไปขายเก็งกำไรเสียหน่อย”
จ้าวเยว่เบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น คล้ายไม่สนใจข่าวลือที่ผิงผิงนำมาบอก
ผิงผิงเห็นท่าทางคุณหนูของตนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
จ้าวฝู่กลับมาถึงจวนในยามซวี หลังจากประชุมที่ท้องพระโรงเสร็จแล้วเขาไม่ได้กลับจวนในทันที เนื่องจากต้องไปสะสางงานในกรมการคลังเสียก่อน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะเหตุใดข่าวการสมรสของบุตรี จึงได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองก่อนที่เขาจะกลับถึงจวน
และเมื่อกลับมาถึงแล้ว จ้าวฝู่ก็รีบเรียกบุตรีให้มาพบในทันที
จ้าวเยว่มาที่ห้องโถงอย่างมิค่อยยินดียินร้ายเท่าใดนัก เนื่องจากนางพอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าท่านพ่อเรียกนางไปพบด้วยจุดประสงค์อันใด
“เจ้ามาเแล้วรึ นั่งก่อนสิ”
จ้าวเยว่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตน สายตามองไปยังผู้คนที่รอนางอยู่ในห้องโถงก่อนแล้ว ซึ่งก็มีท่านพ่อ ท่านแม่ รวมถึงพี่ชายทั้งสองของนาง
“ท่านพ่อมีเรื่องอันใดจะเอ่ยกับลูกหรือเจ้าคะ”
จ้าวเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ภายในใจรู้อยู่แล้วว่าบิดาเรียกตนเองมาพบด้วยเรื่องอันใด แต่ได้แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร
จ้าวฮูหยินที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดี เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทนผู้เป็นสามี “เป็นเรื่องมงคลของเจ้านะสิ”
“เจ้าคงพอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้วใช่หรือไม่ เจ้าจึงได้ดูไม่แปลกใจเลย ถ้าเช่นนั้นพ่อจะไม่เอ่ยอ้อมค้อมและเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” จ้าวฝู่กล่าวขึ้นพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามบุตรสาวเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบรับอย่างว่าง่าย ทำเหมือนนางเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว
“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้แม่ทัพเสวี่ยกับเจ้า พ่อรู้ว่าเจ้าคงไม่เต็มใจนัก แต่ว่าพ่อเองก็ไม่สามารถขัดพระราชโองการได้ การสมรสจะมีขึ้นในเดือนหน้า อย่างไรเจ้าก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” จ้าวเยว่ตอบกลับบิดาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้าย คล้ายกับเรื่องนี้ยังคงไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“เหตุใดจึงทำหน้าตาเมินเฉยเช่นนั้นเล่า แม่ว่าการสมรสครั้งนี้ ออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ท่านแม่ทัพเสวี่ยก็เป็นคนหนุ่มอนาคตไกล เจ้าได้แต่งกับเขาถือว่าเป็นเรื่องดีกับเจ้าที่สุดแล้ว”
จ้าวฮูหยินกล่าวขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ ที่ในที่สุดบุตรีที่นางนึกห่วงว่าจะมิได้ออกเรือนก็กำลังจะมีสามี และสามีของนางก็ยังเป็นบุรุษที่ดีอีกด้วย
แต่คนที่หน้าตาดูไม่ค่อยจะพอใจ ก็คือพี่ชายทั้งสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของจ้าวเยว่ เนื่องจากพวกเขาไม่อยากให้น้องสาวแต่งงานเลย จะว่าเป็นห่วงก็เป็นห่วง จะว่าหวงน้องสาวก็มิผิด
ตั้งแต่เกิดมา สามคนแทบไม่เคยจากกันไปไหน ยกเว้นช่วงที่พี่ชายทั้งสองต้องไปราชการ แต่คราวนี้น้องสาวของพวกเขาต้องมาออกเรือนอย่างกะทันหัน เลยทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“การแต่งงานที่ไม่เต็มใจแบบนี้ ออกจะทรมานน้องสามมากเกินไปหน่อยนะขอรับท่านแม่” จ้าวอวี้เฉินกล่าวออกมาตามความรู้สึกของตนเอง
เมื่อจ้าวฮูหยินได้ยินบุตรชายแย้งขึ้นมาเช่นนั้น ก็ตำหนิกลับอย่างไม่พอใจ“แล้วพวกเจ้ากล้าขัดพระราชโองการหรืออย่างไร”
“ตั้งแต่ที่ข้าได้รู้จักกับเขามา แม่ทัพเสวี่ยผู้นี้เป็นคนดีก็จริง แต่ทว่าเย็นชามาก เขาไม่เคยแม้แต่จะชายตามองหญิงใดเลยเสียด้วยซ้ำ วัน ๆ มุ่งอยู่แต่กับงาน จนมันน่าจะเป็นชีวิตจิตใจของเขาไปแล้ว เกรงว่าหากน้องสามแต่งเข้าจวนสกุลเสวี่ยไป อาจจะต้องโดดเดี่ยวอยู่แต่ในจวนนะ ขอรับ” จ้าวหลู่เจินกล่าวเสริมขึ้นมา เขาพอจะรู้จักแม่ทัพเสวี่ยผู้นี้อยู่บ้าง ชายที่เย็นชาและไม่สนหญิงใดจะเป็นสามีที่ดีของน้องสาวเขาได้จริงหรือ
“ถ้าเรื่องแค่นี้น้องสาวเจ้าทนไม่ได้ ก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะ” จ้าวฮูหยินตัดบทอย่างไม่พอใจบุตรชายทั้งสองที่ดูคล้ายจะไม่ต้องการให้จ้าวเยว่แต่งงาน
เมื่อพี่ชายทั้งสองฟังคำของผู้เป็นมารดาแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยน้องสาวอย่างไรดีกับเรื่องนี้
จ้าวฮูหยินรู้สึกยินดีมากที่บุตรีของตนเองจะออกเรือน มิหนำซ้ำยังได้แต่งกับแม่ทัพเสวี่ย ซึ่งเวลานี้ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายแล้ว ช่างเป็นวาสนาของตระกูลจ้าวโดยแท้ นางดีใจจนถึงกับเรียกบ่าวไพร่มาตกรางวัลกันถ้วนหน้า ผู้ที่ได้รางวัลมากที่สุดเห็นจะเป็นผิงผิงสาวใช้ข้างกายบุตรีของตน ที่ดูแลจ้าวเยว่เป็นอย่างดี
“ผิงผิง เมื่อคุณหนูของเจ้าแต่งเข้าสกุลเสวี่ยไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าตามนางไปด้วย ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนสนิทของนาง ดูแลนางให้ดีล่ะ เข้าใจหรือไม่”
จ้าวฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยื่นถุงเงินที่หนักอึ้งให้ผิงผิงถุงหนึ่ง
“เจ้าค่ะ บ่าวจะดูแลคุณหนูอย่างดีและจะไม่ให้ผู้ใดมารังแกคุณหนูได้เจ้าค่ะฮูหยิน”
ผิงผิงรับคำอย่างแข็งขัน ชีวิตนี้นางได้มอบให้กับคุณหนูและจวนสกุลจ้าวแล้ว ไม่ว่าคุณหนูไปที่ใด นางก็พร้อมที่จะตามไปรับใช้เช่นกัน
บทที่ 10 ไม่สามารถขัดขืนได้เมื่อได้รับคำสั่งแน่ชัดแล้ว จ้าวเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการแต่งงานในครั้งนี้ เพราะต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาง ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และแม้จะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้นางจะต้องออกเรือน แต่เรื่องการแต่งงานของนางคงต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เนื่องจากท่านแม่คงไม่ยินยอมจ้าวเยว่เดินมาที่บ่อปลาในสวนหลังจวนอีกเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจ หรือว่าโกรธ ก็จะมาสนทนากับเหล่าสหายปลาที่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงนี้เสมอถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ปลา ไม่สามารถกล่าววาจาโต้ตอบใด ๆ ได้ก็จริง แต่เมื่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกมันฟังแล้ว พวกมันก็จะรับฟังแต่โดยดี จนนางรู้สึกสบายใจขึ้นจ้าวเยว่นั่งลงที่ข้างบ่อปลา หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วตีน้ำเบา ๆ “เจ้าปลาทั้งหลาย พวกเจ้าคิดว่าเรื่องของข้านั้นน่าเป็นกังวลหรือไม่ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ เป็นอะไรที่ข้าไม่ยินดียินร้ายเอาเสียเลย ข้ารู้สึกลึก ๆ ว่าตนเองไม่ได้อยากจะแต่งงานเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปทำไม หรือว่าหัวใจของข้าจะด้านชาไปเสียแล้ว อีกอย่าง ถ้าข้าออกเรือนไป จะท
บทที่ 11 นางเป็นสตรีที่แปลกยิ่งนักในระหว่างที่พี่ชายทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ เสียงกุกกักก็ดังมาจากด้านหลังของหีบใบหนึ่งตรงมุมห้อง จ้าวเยว่ถึงกับตกใจเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกพี่ชายทั้งสองจึงจับความผิดปกติได้ในทันที จ้าวหลู่เจินลุกขึ้นและเดินตรงไปที่หีบใบนั้น พลางชักดาบคู่กายออกจากฝักคมดาบในมือต้องแสงเทียนจนเป็นประกาย ชายหนุ่มได้ใช้ปลายดาบจ่อไปตรงกลางหีบแล้วเอ่ยเสียงดัง “ออกมา!” เซียวเฟิงกับซูหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ต่างยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยิ้มเจื่อนออกมา“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าเอง” เซียวเฟิงยิ้มแหย ๆ ขณะเอ่ยด้วยเสียงอ่อย“ให้ตายเถอะคุณชายเซียว เหตุใดจึงได้มาอยู่ในห้องของน้องสามได้ล่ะ” จ้าวหลู่เจินถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นในห้องของน้องสาวเซียวเฟิงที่บัดนี้หายตกใจแล้ว จึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ก็เหมือนพวกท่านทั้งสองนั่นแหละ ข้าได้ข่าวเรื่องการแต่งงาน จึงมาปลอบนาง”ทั้งจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินมองไปทางซูหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิง แล้วจ้าวหลู่เจินก็เอ่ยถามเสียงเข้ม“แล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร”ซูหนิงกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้แม้แต่จะเปิดปา
บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้นเมื่อมาถึงห้องโถง จ้าวเยว่ก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับข้าวของที่วางเรียงรายอยู่ มีทั้งเครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ปิ่นปักผม กำไลหยก และผ้าไหมแพรพรรณราคาแพงอีกหลายพับตอนแรกนางนึกแปลกใจอยู่ว่าจ้าวฮูหยินลงทุนซื้อของมากมายขนาดนี้ทำไมกัน ทว่าก็ได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ มิได้ถามไถ่ออกมา“ท่านแม่ เรียกข้ามามีอะไรหรือเจ้าคะ แล้วนี่อะไรเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งนายหญิงของจวน หันหน้าไปทางสิ่งของเหล่านั้นทันทีเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยถาม“เจ้าคงเห็นสิ่งของพวกนี้แล้วสินะ”“เจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินเมื่อได้รับคำตอบของบุตรสาวจึงได้เอ่ยประโยคต่อมา “นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาพระราชทานให้แก่เจ้า เป็นสิ่งสำคัญที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้ยามออกเรือน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาวัดตัวเพื่อตัดชุดแต่งงานให้เจ้า”จ้าวเยว่มองไปที่ผ้าไหมสีแดงหลายพับที่อยู่ในหีบที่กำลังเปิดอ้า พร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ หากเป็นสตรีอื่น พวกนางคงดีใจกันจนแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว ที่ได้รับสิ่งของพระราชทานเหล่านี้ ซึ่งขัดแย้งกับกิริยาของนางในตอนนี้ยิ่งนักเนื่องจากหญิงสาวไม่รู้สึกอะไรกับข้าวของพวกนี้ที่ได
บทที่ 13 ข้าไม่อยากทำอันใดลมเหมันต์พัดมาต้องกายในยามเช้า ทำให้จ้าวเยว่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฤดูเหมันต์ในปีนี้เหมือนจะหนาวกว่าทุก ๆ ปี ตามถนน หลังคาจวน ต้นไม้ บันได และที่อื่น ๆ ต่างก็มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้นางถึงกับไม่อยากออกจากจวนไปไหนเลยเป็นเวลาสองสามวัน อากาศยิ่งหนาวมากเท่าไร นางก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นเท่านั้นเวลานี้จ้าวเยว่เอาผ้าห่มมาพันม้วนตัวเองไว้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ราวกับถังหูลู่ที่กลิ้งชุบน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น“ผิงผิงเจ้าเติมฟืนที่เตาให้หน่อยสิ ข้ารู้สึกว่ามันยังร้อนไม่พอ” จ้าวเยว่หันไปบอกกับผิงผิงสาวใช้คนสนิท ทั้งที่ตัวนางยังไม่ยอมออกจากผ้าห่มผิงผิงมองไปที่เตาเห็นไฟลุ่มท่วมจนล้นออกมาด้านนอกก็ตอบกลับคล้ายจะประชดเล็กน้อย “จะเติมอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเติมมากกว่านี้ ก็เท่ากับคุณหนูจะเผาเรือนแล้วนะเจ้าคะ”“ก็ข้าหนาวนิ” จ้าวเยว่บ่นอุบ พร้อมกับมีเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ“เดี๋ยวผิงผิงไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยิบผ้าห่มด้านหลังห้องส่วนจ้าวเยว่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาวิธีที่จะคลายหนาว ฉับพลันในหัวก็ค
บทที่ 14 ถูกกักบริเวณเมื่อเข้ามาในห้องโถง จ้าวเยว่ย่อกายทำความเคารพมารดา ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่มารดาเรียกตนเองมาพบ “ท่านแม่เรียกให้ข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”จ้าวฮูหยินโยนของบางอย่างลงพื้น ซึ่งนั่นก็คือผ้าปิดหน้าสีแดง พร้อมกับชี้ให้จ้าวเยว่ดู “เจ้าดูเอาเอง ว่านี่คืออะไร”ตอนนี้จ้าวเยว่รู้แล้วว่าหายนะมาเยือนตัวเองแล้ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน วิธีที่ที่ดีสุด ก็คือยอมรับไปเลยดีกว่า แล้วค่อยหาข้ออ้างว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น“ท่านแม่ คะ...คือข้าคิดว่าฝีเข็มและความสามารถด้านการตัดเย็บของข้านั้นแย่เอามาก ๆ หากข้าทำออกมาเองคงจะกลายเป็นผ้าปิดหน้าที่อัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิ ต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันเลยก็เป็นได้ ข้าเลยคิดว่า ให้ผิงผิงทำน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร จ้าวฮูหยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด“ถึงจะอัปลักษณ์อย่างไร เจ้าก็ต้องทำเอง นี่มันคือผ้าปิดหน้าของเจ้า ผิงผิง...เจ้าเองก็เช่นกัน ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่สมควรช่วย”“ผิงผิงขอโทษเจ้าค่ะ ผิงผิงจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน”ผิงผิงรีบคุกเข่ากล่าวขอโทษขอโพยฮูห
บทที่ 15 มาลานฝึกยุทธ์ลานฝึกแห่งนี้เป็นลานฝึกเฉพาะสำหรับแม่ทัพนายกองระดับกลางขึ้นไป ซึ่งจ้าวหลู่เจินพี่ชายคนโตของจ้าวเยว่ก็ฝึกที่นี่ด้วย เนื่องจากเขาเป็นถึงรองแม่ทัพ จึงมีสิทธิ์ที่จะพาคนของตนเองเข้ามาฝึกในลานฝึกแห่งนี้ได้ ดังนั้นจ้าวเยว่จึงได้แอบมาฝึกยุทธ์ที่นี่อยู่บ่อยครั้งนอกจากจะมีพี่ชายของตนอยู่ที่นี่แล้ว ลานฝึกแห่งนี้ ก็ยังไม่ไกลจากจวน หากว่าจ้าวฮูหยินเรียกหาเมื่อไร ก็สามารถวิ่งหรือไม่ก็ขี่ม้ากลับไปได้ทันทีจ้าวเยว่คุ้นเคยกับเหล่าแม่ทัพนายกองเป็นอย่างดี ถึงขั้นเคยประลองกันมาแล้วก็ตั้งหลายหน จึงไม่ได้มีการเคอะเขินแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษเหล่านี้ มีก็แต่ผิงผิงที่รู้สึกจะไม่ค่อยสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คุ้นชินกับการที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมาย“พี่ใหญ่!!” จ้าวเยว่ตะโกนเสียงดัง จนเหล่าแม่ทัพนายกองหันมากันหมด ที่ฝึกกันอยู่ก็ถึงกับหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาทักทายเป็นเสียงเดียวกัน“คุณหนูจ้าว ยินดีที่ได้พบ”“คารวะทุกท่าน ยินดีเช่นกัน” จ้าวเยว่ตอบกลับ พร้อมกับโบกมือให้พี่ชายของนางด้วยรอยยิ้มจ้าวหลู่เจินเก็บดาบใส่เข้าฝัก ก่อนจะเดินมาหาน้องสาว โดยมีทหารอีกสองสามนายเดินตาม
บทที่ 16 พบหน้าแม่สามีการที่เสวี่ยฮูหยินมาในครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องการแต่งงานของจ้าวเยว่กับบุตรชายของนางเป็นแน่ แต่ว่านางจะมาคุยเรื่องอะไรบ้างนั้น จ้าวเยว่ไม่สามารถคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็คงต้องรอให้ถึงจวนก่อนถึงจะรู้ผิงผิงรีบเร่งคนขับรถม้าให้บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เนื่องจากคุณหนูของนางต้องรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด คนขับรถม้าก็ทำตามจนตอนนี้สภาพนายบ่าวทั้งสองที่อยู่ภายในรถม้า ที่กระเทือนจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนกลับถึงจวนบ่าวที่เฝ้าประตูหลังก็รีบเปิดประตูให้พวกนางเข้าไปอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังดูต้นทางให้นางอีกด้วยเมื่อถึงห้อง ผิงผิงก็รีบจัดเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหนูของนางเปลี่ยน เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป[1] จ้าวเยว่ก็จัดการตัวเองเสร็จสรรพแล้วเดินออกไปพบเสวี่ยฮูหยินที่ห้องโถงเวลานี้จ้าวฮูหยินนั่งทำตาเขียวอย่างมีโทสะอยู่ที่ประจำของตนเอง คำแรกที่นางถามขึ้นมาก็คือ “เจ้าไปไหนมา”จ้าวเยว่ย่อกายคารวะเสวี่ยฮูหยินเสร็จแล้ว จึงคารวะมารดาตนเอง พร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม“จ้าวเยว่ คารวะเสวี่ยฮูหยิน คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”เสวี่ยฮูหยินเมื่อได้เห็นว่าลูกสะใภ้มีกิริ
บทที่ 17 เตรียมตัวแต่งงานวันต่อมา...เช้านี้จ้าวเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยความร่าเริงผิดปกติ ผิงผิงเองก็ถึงกับประหลาดใจ ว่าเมื่อคืนคุณหนูของตนยังคงเศร้าสร้อย ยามที่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน ไฉนวันนี้ถึงได้กลายเป็นคนละคนไปได้อากาศวันนี้ไม่ได้หนาวมากนัก ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูเหมันต์ แต่ทว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามานั้น ก็ทำให้ภายในห้องอบอุ่นอยู่ไม่น้อย จ้าวเยว่กำลังนั่งอ่านตำราม้วนหนึ่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องผิงผิงถือชุดสำหรับใส่ในวันนี้เข้ามาให้ นางแขวนชุดไว้แล้วจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ทำไมวันนี้ผิงผิงรู้สึกว่าคุณหนูดูร่าเริงผิดปกติ”“ผิงผิง ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าข้าจะไม่อยู่อย่างหดหู่อีกต่อไป”จ้าวเยว่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส“อยู่อย่างหดหู่อย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าเห็นว่าพวกเราก็อยู่กันอย่างสุขสบายดีมิใช่หรือ” ผิงผิงงงงันกับสิ่งที่ผู้เป็นเจ้านายของนางเอ่ยออกมาจ้าวเยว่วางม้วนตำราในมือลง แล้วกันมากล่าวกับสาวใช้คนสนิท“ผิงผิงนะผิงผิง ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่ข้าเอ่ยก็คือก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกหดหู่ที่จะต้องแต่งงาน แต่ว่าตอนนี้ข้าได้พบกับแม่สามีแล้ว ก็รู้สึกว่าท่านน่าจะดีต่อข้า ดังนั
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน