เมื่อเฉิงซิ่วได้ยินเช่นนั้น นางก็เผยรอยยิ้มที่เข้าใจในทันที "จริงด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ชายข้าไปเยี่ยมคุณชายหนิงสักหน่อย"*เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนลู่ ลู่เหิงจือก็พลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วส่งแส้ม้าให้ซ่งเหวิน ก่อนจะหันไปมองที่รถม้าจื๋อหยวนค่อยๆ ประคองซูชิงลั่วลงจากรถม้าอย่างช้าๆ เดินเข้ามาโดยไม่กล้าสบตากับเขาลู่เหิงจือรอจนนางเข้าประตูไป แล้วจึงเหลือบไปมองเหล่าคนรับใช้ที่ตามออกไปวันนี้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เจ้านายคนเดียวยังดูแลไม่ได้ เลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร? โบยคนละยี่สิบไม้ แล้วไล่ออกไปให้หมด"ซ่งเหวินรีบรับคำทันทีพวกคนรับใช้รีบคุกเข่าขอความเมตตาลงกับพื้น แต่ก็ถูกซ่งเหวินสั่งให้คนมาลากตัวออกไปทันทีซูชิงลั่วเดินตามลู่เหิงจือไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนถึงมาถึงทางเดินยาว เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาขอเขา จึงอดพูดอธิบายไม่ได้"วันนี้ข้าออกไปตรวจร้านค้าในการดูแล แล้วด้ายปักก็บังเอิญหมดพอดี จึงตั้งใจไปเอาที่ร้าน แต่ไม่คิดว่าจะเจอ...""ไม่ใช่ความผิดของเจ้า" ลู่เหิงจือหยุดเดิน"แต่ว่า..." ซูชิงลั่วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง "ท่านกำลังโกรธอยู่นี่นา"เขามองนางแวบหนึ่ง สีหน้าที่เย็นช
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส่แต่เช้า คิดไม่ถึงว่าตกบ่ายจะมีลมกระโชกแรงอย่างกะทันหัน ก่อนจะตามมาด้วยฝนกระหน่ำนอกหน้าต่างมีสายฟ้าแลบ จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องลั่นตามมาซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ หลังจากตั้งสติได้ก็พบว่าเข็มเย็บผ้าทิ่มเข้าไปในนิ้วแล้วจื๋อหยวนรีบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดหยดเลือดที่ปลายนิ้งของนาง : "คุณหนู ระวังด้วย"ซูชิงลั่วกลับเหม่อลอย ภายในหัวกลับมีคำพูดประโยคนั้นของลู่เหิงจือดังวนอยู่ซ้ำๆ "ตระกูลฉีปกป้องเจ้าไม่ได้" นางถอนหายใจเบาๆลู่เหิงจือพูดถูก ฐานะตระกูลฉีธรรมดา สินเดิมของนางมีมากเกินไป หากแต่งเข้าไปจริงๆ แล้วมีผู้ใดคิดก่อกวน ไม่แน่อาจจะทำให้ตระกูลฉีพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงกับจวนหย่งซุ่นป๋อถึงจะได้ที่ลู่เหิงจือพูดประโยคนี้กับนางมีนัยยะอย่างอื่นหรือเพียงแค่เพื่อเตือนสตินางเท่านั้น..."คุณหนู" จื๋อหยวนขานเรียก ทำให้ซูชิงลั่วได้สติกลับมา"ฟ้ามืดแล้ว วันนี้เลิกปักก่อนเถอะ""ไม่ได้ จุดเทียนเถอะ"ซูชิงลั่วถือถุงหอมนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ติดค้างลู่เหิงจืออยู่มากมาย แล้วก็ไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อเขาเลย เขาต้องการเพียงแค่ถุงหอมเล็กๆ ถุงเดียว นางต้องรี
เมิ่งชิงไต้กล่าว : "ที่บ้านยังไม่รู้ว่าข้ามาที่จวนลู่ ข้าอยู่นานไม่ได้"ซูชิงลั่วพลันพูดโพล่งออกไป : "แต่ท่านพี่ยังไม่ได้ดื่มกระทั่งชาร้อนสักแก้ว..."เมิ่งชิงไต้จับมือของนางไว้ : "คราวหน้าเถอะ ทักทายท่านยายแท่ข้าด้วย"ซูชิงลั่วจึงทำได้เพียงแค่ส่งนางกลับไปลมแรงพัดพาฝนเม็ดใหญ่ซัดกระเซ็น หลังจากลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่หนาวสั่นไปทั้งตัว ความหนาวแทรกซึมเข้าสู่ภายในใจราวกับมีแท่งน้ำแข็งทิ่มแทงหัวใจจื๋อหยวนเห็นนางใบหน้าซีดเซียว : "คุณหนู เกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่"ซูชิงลั่วเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงเปลวเทียนริบหรี่สั่นไหว ส่องให้เห็นถุงหอมอย่างสลัวๆสายตาของซูชิงลั่วหยุดอยู่บนถุงหอมระหว่างพูด : "เอากระดาษกับพู่กันมา"นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยความรวดเร็ว แล้วใส่เข้าไปในซอง ก่อนจะหันไปหยิบกล่องเครื่องประดับที่ทำจากไม้ดำดงออกมาจากหีบ นางเปิดกล่องออก ด้านในมีจี้หยกสีอ่อนชิ้นหนึ่งนางวางจี้หยกลงในมือของจื๋อหยวนด้วยท่าทางจริงจัง พลางพูดเสียงขรึม : "เจ้านำจี้หยกนี่ไปให้ผู้ใดก็ได้ในเรือนของใต้เท้าลู่ แล้วบอกให้เขาส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงใต้เท้าลู่โดยเร็วที่สุด"จื๋อหยวนไม่เข้าใจ :
ซูชิงลั่วชะงักงัน ภายในท่วมท้นไปด้วยความไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวหญิงชราดูออก จึงพูดปลอบโยน : "ข้าส่งคนไปถามมาแล้ว ฉีเช่อท่าทางสุขุมรูปงาม มีความรู้ ตระกูลฉีก็มีศีลธรรมอันดีงาม ข้ากับนายหญิงฉีก็พอจะสนิทสนมกันอยู่บ้าง คิดว่านางคงยอมช่วยข้า อีกทั้งหากเจ้าแต่งเข้าไปก็ไม่มีทางหมางเมินเจ้า"ซูชิงลั่วหลุบตาลง ไม่ได้ตอบอะไร"ไม่มีเวลาแล้ว" หญิงชราพูดด้วยความร้อนรน "หากลู่เหิงจืออยู่ จะได้ปรึกษากับเขาว่ายังพอมีหนทางใดอีกหรือไม่ เวลานี้ แม้จะให้คนส่งจดหมายไปทงโจวพรุ่งนี้เช้า ไปกลับก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ไม่ทันกาลแล้ว"หญิงชรากุมมือชิงลั่วไว้แน่น "ชิงลั่ว เกรงว่านี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้แล้ว"ความหวังอันริบหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของซูชิงลั่วพังลงในทันตานั่นสิ ฝนตกหนักเช่นนี้ เกรงว่าคนของลู่เหิงจือก็ไม่มีทางข้ามเขาไปส่งจดหมายถึงทงโจวในเวลาแบบนี้ได้ ครั้งนี้ เกรงว่าเขาคงอยู่ไกลเกินกว่าจะช่วยอะไรได้ฉุกลหุกเกินไป ฉุกลหุกจนนางไม่มีแม้แต่เวลาได้ไตร่ตรองอีกทั้ง นางพบว่าความไม่พอใจของนางไม่ได้มาจากการที่ต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้าอย่างฉีเช่อ แต่เป็นเพราะนางไม่ได้อยากแต่งงานตั้งแต่แรก...
ขอบฟ้าส่องแสงสว่างจ้าในที่สุดถุงหอมก็ถูกปักจนเสร็จ ต้นไผ่เขียวชอุ่มดูมีชีวิตชีวาดุจของจริงซูชิงลั่วค่อยๆ พลิกด้านในของถุงหอมออกมาอย่างช้าๆ โครงร่างเดียวกัน แต่กลับเป็นดอกท้อสีชมพูบานสะพรั่งกิ่งหนึ่งที่นางใช้เวลาในการปักหลายวันขนาดนี้ ก็เพราะนางแอบซ่อนความคิดนี้ไว้ภายในดอกท้อบานสะพรั่ง แลเปล่งปลั่งสดใสสาวเจ้าเข้าวิวาห์ สามีภรรยารักใคร่ในใจรู้สึกถึงความขมขื่น นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะจัดถุงหอมให้เข้าที่เข้าทางใหม่อีกครั้ง แล้วใส่ลงในกล่องไม้จื๋อหยวนหาวหวอดก่อนจะตื่นขึ้นมา"คุณหนูไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ"ซูชิงลั่วอมยิ้ม ตอบอย่างอ่อนโยน : "ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ ไม่สู้หาอะไรทำดีกว่า"แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จื๋อหยวนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของซูชิงลั่วทำให้รู้สึกปวดใจไม่น้อยนางลุกขึ้นไปตักน้ำในห้องครัว ทว่าทันทีที่ก้าวออกไป เสียงประตูเรือนก็ดังขึ้นป้าที่เข้างานกะดึกยังไม่ตื่น อีกทั้งฝนก็ตกหนักเช่นนี้ ใครกันที่มาเคาะประตูแต่เช้าตรู่จื๋อหยวนวางอ่างทองแดงในมือลง แล้วกางร่มเดินไปเปิดประตู : "ใครกัน"แต่กลับต้องชะงักงันซ่งเหวินยืนกางร่มอยู่หน้าประตู แต่กลับเปียกโชกไปทั้งตัว
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างกะทันหันซูชิงลั่วตกใจจนเผลอทำร่มในมือเอียง สายฝนพลันรดลงมาบนศีรษะ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านลู่เหิงจือเอื้อมมือออกไปจับร่มของนางไว้ ร่มกลับมาอยู่เหนือหัวกันลมและฝนที่สาดมาได้อีกครั้งซูชิงลั่วพยายามประครองสติ มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา : "ใต้ ใต้เท้าบอกว่าแต่งกับท่าน ?"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ประโยคนี้ยังมีความหมายอื่นอีกหรือ"ซูชิงลั่วพูดเสียงอ่อย : "เปล่า ข้า ข้าเพียงแค่ถามยืนยันอีกครั้ง"ในใจของนางตื่นเต้นเหนือสิ่งอื่นใด ความคิดมากมายผุดเข้ามาในหัว แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้สติหลุดหลังจากได้ยินจากนั้นก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อ : "ไปคุยในห้องเจ้า"อยู่ในเรือน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้อื่นได้ยินแต่เพราะสถานการณ์คับขัน จึงไม่มีเวลามาพะวงเรื่องชายหญิงอยู่ตามลำพังซูชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลู่เหิงจือ โดยมีซ่งเหวินและจื๋อหยวนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเพราะลู่เหิงจือเข้าห้องนอนของนาง ทำให้ซูชิงลั่วทำตัวไม่ถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ที่ใดทว่าลู่เหิงจือกลับนิ่งสงบ เขาไม่ได้นั่งลง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดอย่างใจเ
"เช่นนั้นข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้"เขากลับหลังหันเตรียมจะเดินออกไป"ช้าก่อน"ซูชิงลั่วพูดด้วยความร้อนรน "แต่เมื่อวานท่านยายส่งจดหมายที่เขียนถึงตระกูลฉีไปที่ศาลาพักม้าแล้ว..."ลู่เหิงจือหันกลับมา สายตาหยุดอยู่บนตัวนาง : "ยกให้เป็นหน้าที่ข้า""อีกอย่าง" ภายในหัวของซูชิงลั่วสับสนวุ่นวาย ทำได้เพียงแค่คิดเช่นใดก็พูดเช่นนั้น "ก่อนหน้านี้ข้าเคยหมั้นกับลู่เหยียน พวกท่านเป็นพี่น้องกัน หากมีผู้ใดประณาม..."ลู่เหิงจือ : "พวกเจ้าเคยหมั้นกันหรือ ไม่ใช่เรื่องที่พูดเล่นกันตอนเด็กหรอกหรือ""อ่อ" ซูชิงลั่วค่อยๆ เบาใจลงมา "เช่นนั้นฝั่งท่านยาย อย่าบอกความจริงกับท่านได้หรือไม่ ท่านจะเป็นกังวลได้"ลู่เหิงจือ : "เรื่องนี้มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้"ซูชิงลั่วพยักหน้า เช่นนั้นก็ดีลู่เหิงจือไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนจะไปแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่กับที่แล้วพูดอย่างใจเย็น : "เจ้ายังมีสิ่งใดเป็นกังวล พูดออกมาไม่ได้เลย""เวลานี้คิดไม่ออกแล้ว" ซูชิงลั่วตอบเสียงอ่อน "ไม่เช่นนั้นรอท่านกลับมาจากในวังก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยกันโดยละเอียด"ลู่เหิงจือพยักหน้า "ได้ ข้าไม่มีเวลาไปพบท่านย่าแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปบอกท่านเอง จะได้ให้ท่
เสียงฝนตกพรำๆ นอกหน้าต่างหญิงชราเอ่ยด้วยความจริงจัง : "อันที่จริง ในความสัมพันธ์เครือญาติของเรา ลู่เหิงจือค่อนข้างห่างเหินกับเราอยู่บ้าง แม้จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่กลับไปมาหาสู่กันไม่นับว่าบ่อยนัก ตอนลู่เหิงจืออายุได้สิบสอง พ่อของเขาลู่เหรินจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคประจำตัว ทำให้บ้านขาดเสาหลัก เขาเองก็เข้าเรียนที่เดิมไม่ได้อีก"แม่ของเขามาขอร้องข้า หวังว่าลู่เหิงจือจะได้เรียนหนังสือกับตระกูลลู่ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าย่อมตอบตกลงเป็นธรรมดา"ยามนั้นทำไปก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก แต่ใครจะคิดถึงว่าเขากลับได้เป็นจอหงวน ด้วยความขยันหมั่นเพียรทำให้เขาได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี"สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงไปกว่านั้นคือ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากได้เป็นอัครมหาเสนาบดี คือสั่งประหารลู่จ้งอาแท้ๆ ของเขา โทษฐานปลอมเงิน"หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกราวกับถูกบีบคั้น เอ่ยถาม : "เช่นนั้นอาของเขาปลอมเงินจริงหรือไม่เจ้าคะ"หญิงชราตอบ : "อาของเขาเป็นช่างทำเครื่องเงิน แต่เขาเพียงแค่ผลิตเงินขึ้นมาเล่นๆ สองสามก้อนเท่านั้น โทษไม่ถึงตาย อาสะใภ้ของเขาบอกว่าลู่เหิงจือใช้อำนาจหลวงชำระแค้นส่วนตัว แต่เป็นเพราะเหต