เมื่อถังฉ่วงเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงรีบพูดเสียงดังว่า "ข้าไม่ควรใส่ร้ายคุณหนู ขอคุณหนูโปรดยกโทษให้ข้าด้วย"ลู่เหิงจือหันกลับมาอย่างรวดเร็ว มองถังฉ่วงด้วยสายตาดุดัน "ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรที่ไม่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรมอง ก็จงดึงลิ้นและควักลูกตาของเขาออกมาซะ"ซูชิงลั่วอดตกใจไม่ได้ ตอนนี้นางเพิ่งได้เห็นด้วยตาตนเองว่าลู่เหิงจือนั้นโหดเหี้ยมตามคำเล่าลือเพียงใดลู่เหิงจือเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านาง ปิดตาของนางไว้ไม่ให้มองไปที่ถังฉ่วง พูดเสียงเรียบว่า "เข้าไปข้างในก่อน"น้ำเสียงเชิงบังคับซูชิงลั่วรีบพาจื๋อหยวนเข้าไปข้างใน หัวใจเต้นระรัวเพิ่งกลับหลังหัน ก็ได้ยินว่ามีทหารจากจวนเจ้าเมืองมาถึงได้ยินเสียงของลู่เหิงจือที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง "บอกใต้เท้าของพวกเจ้า หากภายในวันนี้ไม่สามารถสอบสวนคนผู้นี้ได้เสร็จสิ้น เข้าก็ไม่ต้องเป็นเจ้าเมืองหลวงแล้ว"ซูชิงลั่วกลับไปที่เรือนของหญิงชรา ซึ่งมีคนไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอยู่ก่อนแล้วนางเฉียนกล่าวชมเสียงดัง นางเหอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเพียงนางหลิ่วที่ยิ้มออกมาได้อย่างแข็งฝืนเหลือเกินเมื่อซูชิงลั่วมองดูท่าทางของนางหลิ่วก
เหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มแผ่นหลังของนางหลิ่วหลังจากที่ลู่จือ ลู่โย่วและลู่เหริน สามพี่น้องมาถึงโดยพร้อมกันแล้ว ลู่เหิงจือก็สั่งให้บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป จากนั้นเขาก็หยิบคำสารภาพจากที่ว่าการเจ้าเมืองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ เล่าถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซูชิงลั่วที่วัดเซิ่งอันด้วย นางถูกบีบให้ต้องกระโดดหน้าต่างเพื่อเอาตัวรอด แล้วบังเอิญได้พบกับลู่เหิงจือที่ไปถวายน้ำมันตะเกียงให้กับบิดาพอดี จึงได้รับการช่วยเหลือขณะนี้ได้สอบสวนจนทราบแล้วว่าถังฉ่วงรู้จักกับน้องชายของอิงเยว่ และถูกอิงเยว่สั่งให้ติดสินบนแม่ชีในวัด พยายามทำลายความบริสุทธิ์ของซูชิงลั่วเพื่อจะแต่งงานกับนางและฮุบสินเดิม กระโปรงตัวนั้นก็เป็นอิงเยว่ที่สั่งคนเอาไปส่งให้เรื่องราวทั้งหมด ชัดเจนแจ่มแจ้งหญิงชราฟังแล้วก็ตกใจ พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ชิงลั่ว เจ้าเจอเรื่องแบบนี้ในวัดเซิ่งอัน เหตุใดจึงไม่บอกยาย? แล้วก็นางเฉียนเจ้าด้วย!"ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ "กราบเรียนท่านยาย หลานกลัวว่าจะทำให้พวกเขาไหวตัวทัน จึงสั่งไม่ให้พวกนางพูดออกไป เรื่องนี้หลานได้ให้ท่านเจ้าเมืองตรวจสอบมาเป็นเวลาเกือบครึ่
หญิงชราพยักหน้าและพูดด้วยความเหนื่อยล้า "วันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว"นางตบไปที่มือของชิงลั่วเบาๆ "พรุ่งนี้ข้าค่อยคุยกับเจ้าอีกครั้ง"ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว หญิงชราไม่ได้ดื่มกินอะไรเลยตลอดทั้งบ่าย แถมยังเสียแรงใจไปมาก ร่างกายจึงเริ่มรับไม่ไหวทุกคนเอ่ยลาหญิงชราไปตามลำดับซูชิงลั่วเดินออกมาจากในห้อง แสงจันทร์นวลเย็นสาดส่องลงในลานบ้าน จนพื้นดินราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำค้างแม้จะลงโทษนางหลิ่วซื่อไปแล้ว แต่นางก็ไม่อาจอธิบายความรู้สึกในใจของตนเองได้ ตอนที่ลู่โย่วจากไป เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยลานางเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกราวกับว่านางกำลังค่อยๆ ห่างเหินจากน้าชายคนนี้ไปเรื่อยๆ แล้วนางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถือโคมไฟแล้วเดินต่อไปเมื่อเดินพ้นเรือนของหญิงชรา นางก็เห็นลู่เหิงจือยืนอยู่ตรงทางเดินยาว เงาของเขายืดยาวออกไปภายใต้แสงจันทร์ข้างๆ เขามีซ่งเหวินคอยติดตามอยู่ ซ่งเหวินถือกล่องอาหารไว้ในมือซูชิงลั่วชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปทำความเคารพ "ใต้เท้า"ลู่เหิงจือก้มลงมองนาง ถามว่า "วันนี้ตกใจหรือไม่?"วันนี้หลังจากที่เขาบอกว่าจะตัดลิ้นและควักลูกตาของคนผู้นั้นต่อหน้านาง
"เจ้าวางใจได้ ในตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถเล่นงานข้าได้หรอก"กระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา คำพูดของลู่เหิงจือก็ยังคงดังก้องวนอยู่ในหัวของซูชิงลั่วน้ำเสียงของเขาขณะพูดนั้นแผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ จนทำให้ซูชิงลั่วลืมถามคำถามที่นางอยากรู้ไปเลย นั่นคือทำไมเขาถึงยอมช่วยนางครั้งแล้วครั้งเล่า?แล้วนางจะช่วยอะไรเขาได้?ตอนที่ไปคารวะหญิงชรา นางจึงจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดเซิ่งอันอย่างละเอียดแต่เรื่องที่ถูกวางยาปลุกกำหนัดยังคงบอกไม่ได้ นางจึงอ้างว่า โชคดีที่มีหน้าต่างบานหนึ่งยังไม่ถูกปิดสนิท นางจึงรอดมาได้หญิงชราฟังแล้วใจหายใจคว่ำ รู้สึกสงสารจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ "ไม่คิดเลยว่านางหลิ่วจะใจคอโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้"ครู่หนึ่งอารมณ์ของนางจึงได้สงบลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ และเริ่มกังวลเรื่องการแต่งงานของซูชิงลั่วอีกครั้งหลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อวาน ต่อให้ซูชิงลั่วจะบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากนางเป็นคนเกิดเรื่อง ในเวลาอันสั้นคงไม่มีใครมาสอบถามเรื่องการแต่งงานของซูชิงลั่วอีกแน่แต่ซูชิงลั่วกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่รีบร้อนที่จะแต
ในร้านยังมีนายหญิงและคุณหนูอีกหลายคนที่กำลังซื้อของอยู่ ก่อนหน้านี้พวกนางต่างได้ยินคำพูดของเฉิงซิ่ว ตอนนี้เลยรู้สึกสะใจไม่น้อยนายหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "พูดได้ดี หญิงสาวเช่นนี้ควรถูกสั่งสอนบ้าง พูดมาแต่ละคำนังจิ้งจอกๆ น่ารังเกียจจริงๆ"เฉิงซิ่วโกรธจนหน้าขาวซีด "เจ้า...ข้าเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลังเชียวนะ!"ซูชิงลั่วตอบกลับไปทีละคำอย่างหนักแน่น "ข้าเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของท่านอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ"เฉิงซิ่วโกรธจนพูดไม่ออก...ใครในแผ่นดินนี้ไม่รู้จักลู่เหิงจือบ้าง แล้วมีใครกล้าไปหาเรื่องเขาบ้าง?ลู่หมิงซือที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามปลอบโดยการจับมือเฉิงซิ่วไว้ "พอเถอะเฉิงซิ่ว เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน"ซูชิงลั่วกล่าวเสียงเย็น "ผู้จัดการร้าน เชิญคนพวกนี้ออกไป แล้วต่อไปนี้ร้านค้าของเราทำการค้ากับตระกูลเฉิงอีก"เส้นด้ายจากร้านนี้ทนทาน มีสีสันหลากหลายและไม่ซีดง่าย นางจึงมักชอบมาซื้อด้ายที่นี่ร้านนี้เป็นของซูชิงลั่วหรือ?เฉิงซิ่วโกรธจนตัวสั่น "ต่อไปถึงเจ้าจะเชิญข้ามา ข้าก็ไม่มาหรอก"ลู่หมิงซือพาเฉิงซิ่วเดินออกจากร้าน แต่ยังไม่ทันออกพ้นจากประตู ก็ได้ยินซูชิงลั่วสั่งผู้จัดการร้านว่า "
ลู่เหิงจือสวมชุดยาวสีขาวนวล พลิกตัวลงจากม้าอย่างคล่องแคล่วราวกับน้ำไหล ดั่งกับเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ผู้คนรอบข้างต่างถูกท่วงท่าของเขาดึงดูดจนเผลออุทานออกมาอย่างตกใจ แต่หลังจากนั้นก็เงียบกริบอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยถูกบรรยากาศอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวท่านอัครมหาเสนาบดีคนนี้กดดันบุรุษผู้ที่หล่อเหลาประดุจเทพเซียน ในเวลานี้ใบหน้ากลับดุดันราวกับพญามัจจุราชเขาเดินตรงไปหาหนิงไห่ลู่ที่นอนตัวงออยู่บนพื้น ส่งเสียง "โอ๊ย" อยู่ทีละกาว เขายื่นเท้าออกมาขยี้มือของหนิงไห่ลู่ที่วางอยู่บนพื้นอย่างแรงเสียงของเขาเย็นชาแต่กลับแฝงด้วยความน่าขนลุก"ดูเหมือนว่าครั้งก่อนจะยังสั่งสอนไม่หลาบจำสินะ""อ๊าก..."หนิงไห่ลู่ส่งเสียงร้องโหยหวนครั้งก่อน? ครั้งก่อนอะไร?"เจ้าคงจำคนผิดไปแน่ๆ? ข้าเพิ่งเคยพบกับนางเป็นครั้งแรก ครั้งแรกจริงๆ!"ครั้งก่อนหนิงไห่ลู่ถูกลู่เหิงจือสั่งสอนในขณะที่เมามาย หลังจากสร่างเมาเขาก็จำเรื่องนี้ไม่ได้เลย และคนที่อยู่รอบข้างก็ไม่กล้าเอ่ยถึงลู่เหิงจือสีหน้าขรึมลง "ไม่เป็นไร ครั้งนี้จำให้แม่นล่ะ"เขาเงยหน้า มองไปที่ซูชิงลั่ว พร้อมชี้ปลายคางไปที่รถม้า พลางกล่าวเสียงเรียบ "ขึ้
เมื่อเฉิงซิ่วได้ยินเช่นนั้น นางก็เผยรอยยิ้มที่เข้าใจในทันที "จริงด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ชายข้าไปเยี่ยมคุณชายหนิงสักหน่อย"*เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนลู่ ลู่เหิงจือก็พลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วส่งแส้ม้าให้ซ่งเหวิน ก่อนจะหันไปมองที่รถม้าจื๋อหยวนค่อยๆ ประคองซูชิงลั่วลงจากรถม้าอย่างช้าๆ เดินเข้ามาโดยไม่กล้าสบตากับเขาลู่เหิงจือรอจนนางเข้าประตูไป แล้วจึงเหลือบไปมองเหล่าคนรับใช้ที่ตามออกไปวันนี้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เจ้านายคนเดียวยังดูแลไม่ได้ เลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร? โบยคนละยี่สิบไม้ แล้วไล่ออกไปให้หมด"ซ่งเหวินรีบรับคำทันทีพวกคนรับใช้รีบคุกเข่าขอความเมตตาลงกับพื้น แต่ก็ถูกซ่งเหวินสั่งให้คนมาลากตัวออกไปทันทีซูชิงลั่วเดินตามลู่เหิงจือไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนถึงมาถึงทางเดินยาว เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาขอเขา จึงอดพูดอธิบายไม่ได้"วันนี้ข้าออกไปตรวจร้านค้าในการดูแล แล้วด้ายปักก็บังเอิญหมดพอดี จึงตั้งใจไปเอาที่ร้าน แต่ไม่คิดว่าจะเจอ...""ไม่ใช่ความผิดของเจ้า" ลู่เหิงจือหยุดเดิน"แต่ว่า..." ซูชิงลั่วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง "ท่านกำลังโกรธอยู่นี่นา"เขามองนางแวบหนึ่ง สีหน้าที่เย็นช
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส่แต่เช้า คิดไม่ถึงว่าตกบ่ายจะมีลมกระโชกแรงอย่างกะทันหัน ก่อนจะตามมาด้วยฝนกระหน่ำนอกหน้าต่างมีสายฟ้าแลบ จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องลั่นตามมาซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ หลังจากตั้งสติได้ก็พบว่าเข็มเย็บผ้าทิ่มเข้าไปในนิ้วแล้วจื๋อหยวนรีบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดหยดเลือดที่ปลายนิ้งของนาง : "คุณหนู ระวังด้วย"ซูชิงลั่วกลับเหม่อลอย ภายในหัวกลับมีคำพูดประโยคนั้นของลู่เหิงจือดังวนอยู่ซ้ำๆ "ตระกูลฉีปกป้องเจ้าไม่ได้" นางถอนหายใจเบาๆลู่เหิงจือพูดถูก ฐานะตระกูลฉีธรรมดา สินเดิมของนางมีมากเกินไป หากแต่งเข้าไปจริงๆ แล้วมีผู้ใดคิดก่อกวน ไม่แน่อาจจะทำให้ตระกูลฉีพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงกับจวนหย่งซุ่นป๋อถึงจะได้ที่ลู่เหิงจือพูดประโยคนี้กับนางมีนัยยะอย่างอื่นหรือเพียงแค่เพื่อเตือนสตินางเท่านั้น..."คุณหนู" จื๋อหยวนขานเรียก ทำให้ซูชิงลั่วได้สติกลับมา"ฟ้ามืดแล้ว วันนี้เลิกปักก่อนเถอะ""ไม่ได้ จุดเทียนเถอะ"ซูชิงลั่วถือถุงหอมนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ติดค้างลู่เหิงจืออยู่มากมาย แล้วก็ไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อเขาเลย เขาต้องการเพียงแค่ถุงหอมเล็กๆ ถุงเดียว นางต้องรี