เพื่อที่จะรักษาชื่อเสียงของนาง ท่านย่าจึงบอกคนภายนอกว่าเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกในวัยเด็ก การหมั้นเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นเฉิงซิ่วทนไม่ไหวแล้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า "ไม่น่าแปลกใจที่ตั้งชื่อภาพว่าดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่งอะไรนั่น กลิ่นอายเงินทองชัดขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นแค่ลูกสาวพ่อค้า"ลู่หมิงซือกระแอมเบาๆ สองที "นางเป็นถึงพ่อค้าของหลวงเชียวนะ""พ่อค้าของหลวงก็แค่พ่อค้านั่นแหละ" เฉิงซิ่วกล่าวด้วยความโกรธ "ได้หมั้นหมายกับบัณฑิตอย่างพี่ชายเจ้าแล้วยังไม่พอใจอีก ช่างเป็นคนที่ใฝ่สูงเหลือเกิน ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าในเมืองหลวงนี้จะมีครอบครัวไหนกล้ารับนางเป็นสะใภ้?"หญิงสาวคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มซุบซิบกัน"ใช่ ข้าได้ยินว่าแม่นางซูถูกเลี้ยงมาภายใต้การดูแลของแม่เจ้าใช่หรือไม่? แล้วทำไมถึงเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนเนรคุณได้?""เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้สำหรับพี่ชายเจ้าแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี รอดูเถอะ ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนที่อยากจะส่งไม่สื่อไปคุยกับพี่ชายเจ้า""แม่ของเจ้าก็ช่างใจดีเหลือเกิน ถ้าเป็นแม่ข้าล่ะก็ ไม่มีทางยอมแน่นอน"ลู่หมิงซือถอนหายใจ "ทำอย่างไรได้ ในเมื่อท่านย่าเป็นคนตัดสินใจ ปกติอย่าว่า
องค์หญิงอวี้หยางจะกล้าหาญเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ถามต่อหน้าว่าเมิ่งชิงไต้ไม่ให้ความสำคัญกับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทหรือไม่ แถมยังถามว่าเมิ่งชิงไต้กับลู่เหิงจือมีความสัมพันธ์ลับกันหรือไม่อีก แสดงออกถึงความหึงหวงชัดเจนไปแล้วพระสนมรุ่ยได้แต่ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมิ่งชิงไต้กล่าวอย่างสงบ "ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทสูงส่งมาก ชิงไต้ไม่กล้าคิดไปเองหรอกเพคะ ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปกันใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงพูดเช่นนี้เพราะเหตุใดเพคะ?"องค์หญิงอวี้หยางเอนตัวพิงเก้าอี้ยาว ใช้มือประคองศีรษะ จ้องมองนาง "ข้าเห็นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ประมูลภาพของคุณหนูเมิ่งไป จึงคิดว่าคุณหนูเมิ่งมีความสัมพันธ์อะไรกับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ กล่าวเช่นนี้ เป็นข้าเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ?"นางจงใจพูดลากเสียงยาว เหมือนกำลังลองเชิงเมิ่งชิงไต้แน่นอนว่าภาพนั้นเซี่ยถิงอวี่เป็นคนที่สั่งให้ลู่เหิงจือประมูลไป แต่ถ้าให้พูดถึง เมิ่งชิงไต้ก็รู้สึกประหม่า ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ใสกระจ่างของซูชิงลั่ว ราวกับเสียงนกขมิ้นที่ไพเราะ"องค์หญิงคงเ
หนิงไห่ลู่อาศัยที่ตัวเองเป็นหลานชายของกุ้ยเฟย ทำเรื่องเลวร้ายในเมืองหลวงมาตลอดหลายปี ไม่เพียงแต่ทะเลาะวิวาท ยังเคยฉุดคร่าผู้หญิงชาวบ้านจนเกิดเรื่องถึงชีวิตอีกด้วยแต่เพราะกุ้ยเฟยกำลังเป็นที่โปรดปรานมาก จนแทบจะเทียบเท่ากับฮองเฮา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดก็ถูกปกปิดไว้ได้นอกประตูจวนรุ่ยอ๋อง เฉียนเหวินหลิงไม่ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ บ้านตระกูลลู่ก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ จึงได้แต่ระงับความโกรธสั่งให้คนรับใช้เปิดทางคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกรีบหลีกทางให้ทันทีหนิงไห่ลู่ทุบรถม้าอย่างแรงอีกครั้ง "นี่เป็นรถม้าของตระกูลไหน รู้จักหลีกทางก็ถือว่าฉลาดแล้ว..."สายลมพัดผ่านทำให้ผ้าม่านรถม้าเปิดขึ้นเล็กน้อยหนิงไห่ลู่ใช้ดวงตาที่เมามายเหลือบมองขึ้นไปเห็นดวงตาคู่งามดั่งน้ำใส ทำให้ทั้งร่างรู้สึกอ่อนระทวยความรู้สึกหื่นกระหายที่รุนแรงเกิดขึ้นในดวงตาของเขาฉับพลัน ซูชิงลั่วตกใจจนรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ซูชิงลั่วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหนิงไห่ลู่ถูกใครบางคนจับขึ้นมาเหมือนแมวเหมือนหมา แล้วโยนทิ้งไปที่ข้างถนนเขาตะโกนขึ้นเสียงดัง "ใครกล้ามาทำร้า
ซูชิงลั่วเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ซ่งเหวินก็เอายามาส่งให้ด้วยตัวเอง"นี่เป็นยาที่หมอหลวงปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ใต้เท้าของข้ากำชับว่า ผิวของคุณหนูบอบบาง ไม่ควรให้บาดแผลก่อนหน้านี้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้"น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าแค่โดนน้ำชาลวกมือนิดหน่อยก็แดงแล้ว คาดว่าบาดแผลก่อนหน้านี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้เขาช่างเป็นคนละเอียดจริงๆซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนรับยาทาแผลมาพร้อมกล่าวเบาๆ ว่า "ฝากกลับไปบอกขอบคุณใต้เท้าของเจ้าด้วย อีกอย่าง...ของที่เขาต้องการ ข้าจะรีบทำให้เร็วที่สุด"ซ่งเหวินรับคำแล้วจากไป ราวกับไม่สนใจเลยว่าใต้เท้าของเขาต้องการอะไรกลับเป็นอวี้จู๋ที่อดถามขึ้นด้วยดวงตาที่ใคร่รู้ไม่ได้ "ของอะไรหรือเจ้าคะ?"จื๋อหยวนพูดเสียงเบา "อย่าพูดมาก"อวี้จู๋แลบลิ้นออกมาอย่างขบขัน ไม่พูดอะไรอีกซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำกระดาษและพู่กันมา นางรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ ภาพลักษณ์ที่ดูภูมิฐานของลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ที่วัดในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของนาง จึงเริ่มใช้พู่กันวาดภาพต้นไผ่ขึ้นมาเมื่อวาดลายดอกไม้เสร็จแล้ว นางก็เลือกเส้นด้ายสีเขียวเข้ม สีขาว และสีทองดำ ตั้งใจว่าจะใช้ด้ายสีทองดำในการเย็บโครงก
ลู่หมิงซือเคยถูกตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มาก่อนที่ไหน น้ำตานองหน้า ทนความอับอายไม่ไหว รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันทีนางหลิ่วเป็นห่วงนาง จึงรีบตามออกไปด้วยซูชิงลั่วมองท่านยายด้วยความซาบซึ้งใจ คาดไม่ถึงว่าท่านยายจะทำเพื่อนางขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นหลานหญิงชราหันไปบอกกับนางเฉียนว่า "เจ้าลำบากมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิด"นางเฉียนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว จึงเดินจากไปด้วยความพึงพอใจหญิงชราจับมือซูชิงลั่วไว้แล้วพูดด้วยท่าทีจริงจัง "ชิงลั่ว เจ้าต้องทนทุกข์มามากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ามาเรียนรู้วิธีจัดการร้านกับข้าที่นี่ ต้องยืนหยัดให้ได้โดยเร็ว จะได้ไม่มีใครมารังแกเจ้าได้อีก"ซูชิงลั่วเอนตัวไปซบอก "เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ"จากนั้น ซูชิงลั่วก็ไปตรวจสอบบัญชีที่เรือนของหญิงชราในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนก็รีบกลับมาสาละวนกับการเย็บโครง เมื่อเย็บโครงเสร็จ นางก็เริ่มลงมือปักลวดลายบนถุงหอม หวังว่าจะทำเสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้มอบให้กับลู่เหิงจือในเร็ววัน...ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มีถุงหอมเลยสักใบวันนี้ซูชิงลั่วก็ไปคารวะหญิงชราแต่เช้าตามปกติแต่
พอได้ยินเรื่องกระโปรงที่ทำตกไว้ ซูชิงลั่วก็ตกใจขึ้นมาทันที...กระโปรงตัวนั้นที่นางโยนทิ้งไป นางลืมเอากลับมาจริงๆหากมีคนเก็บไปได้จริง ไม่รู้เลยว่าจะถูกนำไปขยายความอย่างไรบ้างอวี้จู๋พูดอย่างโกรธเคือง "พวกคนข้างนอกพวกนั้นมันเป็นใครกันแน่ กล้าปั้นเรื่องใส่ร้ายคุณหนูของพวกเราแบบนี้"แต่จื๋อหยวนกลับมองซูชิงลั่วอย่างเป็นกังวล ภาพในหัวของนางย้อนกลับไปในวันที่ลู่เหิงจือค่อยๆ ผูกสายคาดเอวอย่างใจเย็น นางอดคิดไม่ได้ว่าคนในข่าวลือจะเป็น...ลู่เหิงจือหรือไม่ซูชิงลั่ววางบัญชีในมือลง กำมือแน่น...คนที่ทำร้ายนางที่วัดเซิ่งอันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้วนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วสั่งจื๋อหยวนเสียงเบา "เจ้าไปหาซ่งเหวินที่เรือนหน้า บอกว่าข้าอยากพบกับใต้เท้าลู่"จื๋อหยวนอึ้งไปชั่วครู่ "ตะ...ตอนนี้หรือเจ้าคะ?"ในช่วงเวลานี้ ยังจะนัดพบกับคุณชายเหิงที่สามอีกหรือ คุณหนูของนางชักจะกล้ามากขึ้นทุกทีแล้ว?ซูชิงลั่วผลักนางเบาๆ "รีบไปเร็ว"ตอนนี้นอกจากลู่เหิงจือแล้ว นางไม่มีใครให้พึ่งพาได้อีกเรื่องกระโปรง นางต้องรีบไปขอให้ลู่เหิงจือช่วยจื๋อหยวนพยักหน้า แล้วรีบออกไปทันทีข่าวลือนี้ย่อมทำให้หญิงชราตกใจ หญิง
นางยังพูดไม่จบ แต่เชื่อว่าลู่เหิงจือน่าจะเข้าใจความหมายของนางแน่นอนนางมองลู่เหิงจือด้วยความไม่สบายใจ รู้สึกใจหวิวๆลู่เหิงจือหรี่ตามองนาง น้ำเสียงของเขาดูมั่นใจเต็มเปี่ยม "เขาไม่ทำเช่นนั้นหรอก""ทำไมล่ะ?""เพราะกระโปรงตัวนั้นอยู่กับข้าอย่างไร"น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับเหมือนสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมากลางหัวของซูชิงลั่ว"อยู่...กับท่าน?"ลู่เหิงจือพยักหน้าตอบเบาๆ "หลังจากที่เจ้าพูดจบวันนั้น ข้าก็สั่งให้ทหารลับไปเอามันกลับมาแล้ว"หัวใจของซูชิงลั่วแทบจะหลุดออกมาทีเดียว นางบิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ ใบหน้าแดงร้อน "แล้ว...แล้วทำไมท่านไม่คืนมันให้ข้า?"นั่นมันกระโปรงของนาง เขาจะเก็บสิ่งที่เป็นของส่วนตัวของนางเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร?หรือว่าเขาคิดอะไรเกินเลยกับนางจริงๆ?ภายในห้องเงียบสงัดจนเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นลู่เหิงจือก้าวขาไปหานางก้าวหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?"เสียงของเขาดังอยู่เหนือศีรษะของนาง ราวกับสายน้ำใสไหลเอื่อย แต่ก็เหมือนแฝงไปด้วยความยั่วยวนบางอย่างซูชิงลั่วถึงกับหายใจช้าลง นางกำผ้าเช็ดมือแน่นไม่ขยับคำพูดนี้แสดงความนัยอย่างชัดเจน แต่เขา
ที่หน้าประตูจวนลู่ ชาวบ้านที่มามุงดูความวุ่นวายมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆชายคนหนึ่งที่ชื่อถังฉวง มีปานดำอยู่ที่คอ เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงในแถบชานเมือง เขาพาลูกน้องสี่ห้าคนมายืนที่หน้าประตูจวนลู่ ในมือถือกระโปรงสีเหลืองอ่อนแกว่งไปมา เอาแต่พูดว่าจะแต่งงานกับซูชิงลั่วคนพวกนี้กล้าหาญมาก แม้แต่คนรับใช้ก็ไล่ไม่ไปหญิงชราเรียกสะใภ้ทั้งหลายมาหารือว่าควรทำอย่างไรนางหลิ่วพูดขึ้นก่อนว่า "ข้าขอถามหน่อย กระโปรงตัวนั้นไม่ใช่ของชิงลั่วจริงๆ หรือเจ้าคะ? แล้วช่วงที่อยู่ที่วัดเซิ่งอันนั้น มันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ใช่ไหม?"สีหน้าของนางเฉียนมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยนางหลิ่วเหลือบมองไปที่นางเฉียนแล้วหัวเราะ "พี่สะใภ้ ชิงลั่ว หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ควรพูดมันออกมาซะ พวกเราจะได้ช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข ไม่เช่นนั้นอาจจะสายเกินไปนะ"ซูชิงลั่วมองที่นางหลิ่วด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง "กระโปรงตัวนั้นไม่มีทางเป็นของข้า ท่านน้ารอง ดูเหมือนว่าท่านจะหวังให้ข้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันมากเลยนะเจ้าคะ"นางหลิ่วหัวเราะ "จะเป็นไปได้อย่างไร น้าก็แค่ห่วงเจ้าหรอก"แต่สีห
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป