ลู่เหิงจือเงยหน้ามองซูชิงลั่วแว๊บหนึ่ง ก่อนก้มลงหยิบฟืนแห้งชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา ใช้ไม้จุดไฟจุดอย่างช้าๆ แล้วโยนลงไปในเตา มองไฟค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นบนมือ ถามนางว่า "มีอะไรหรือ?"การจุดไฟดูเหมือนเป็นงานหยาบ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ และดูสง่างามซูชิงลั่วตอบออกไปอย่างเผลอไผลว่า "ข้าต้องการมาต้มน้ำ"ลู่เหิงจือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "เจ้าต้มน้ำเป็นหรือ?"แม้ซูชิงลั่วจะมีตำแหน่งคุณหนู แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้านายในจวนลู่โดยตรงจื๋อหยวนเป็นสาวใช้ที่นางพามาด้วยจากจินหลิงและติดตามนางมาตั้งแต่เด็กแม้ท่านยายจะจัดหาสาวใช้มีอายุให้หนึ่งคนและสาวรับใช้อีกสองคนให้นาง แต่เพราะกลัวคำพูดของผู้คน ปกตินางจึงไม่กล้าใช้งานพวกนางหนักเกินไป เวลาจื๋อหยวนยุ่ง นางจึงต้มน้ำชงชาเองได้ซูชิงลั่วก้มศีรษะ "เป็น" นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า "ถ้าหากก่อไฟไว้แล้วนะเจ้าคะ"เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แต่กลับต้มน้ำเป็นด้วยลู่เหิงจือขมวดคิ้ว "ทำไมเจ้ามาเอง? สาวใช้ของเจ้าไปไหน?"ซูชิงลั่วรีบตอบ "นางมีไข้ รบกวนใต้เท้าช่วยหาหมอให้นางด้วยเถิด"ลู่เหิงจือพยักหน้าและลุกขึ้นเดินออกไปข
ซูชิงลั่วทนไม่ไหวกับความยั่วยวนนี้ นางจึงประนมมือขอโทษต่อพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ในวัด จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินต้องยอมรับว่าฝีมือทำอาหารของซ่งเหวินดีมาก ลู่เหิงจือช่างเป็นคนที่มีลาภปากเหลือเกินหลังจากกินเสร็จ จื๋อหยวนก็ตื่นขึ้นมาพอดีไข้ของนางเพิ่งจะลด เหงื่อออกทั่วตัวซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นช่วยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและลำคอของนาง ถามว่านางหิวไหมจื๋อหยวนรู้สึกหิวเล็กน้อย ร่างกายก็ฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หมอบอกว่าระหว่างกินยาต้องงดอาหารมันๆ นางจึงได้แค่ดมกลิ่นเนื้อเพื่อให้คลายความอยาก จากนั้นก็กินข้าวต้มเปล่าไปเกือบครึ่งถ้วยกับกินหัวไชเท้าดองไปเล็กน้อยหลังอาหาร ซูชิงลั่วเก็บกล่องอาหารออกไป เมื่อเปิดประตูออกก็เกือบจะชนกับอ้อมแขนของลู่เหิงจือเข้าพอดีกล่องอาหารในมือนางไหวเล็กน้อย แต่ก็ถูกมือที่มีกระดูกชัดเจนของเขาจับไว้อย่างมั่นคงลู่เหิงจือถามว่า "กินเสร็จแล้วหรือ?"บาดแผลที่แขนของซูชิงลั่วถูกกระเทือนทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย นางพยายามอดทนและพูดว่า "เจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้ากับซ่งเหวินมาก"ลู่เหิงจือไม่ตอบอะไร รับกล่องอาหารมาจากมือนางและส่งให้ซ่งเหวินที่อยู่ด้านหลัง กล่าว
จื๋อหยวนรู้สึกประหม่าอย่างฉับพลัน ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงภาพลู่เหิงจือกำลังผูกสายรัดเอวตอนที่เข้ามาในกระท่อมไม้ไผ่ครั้งแรกนางรู้สึกอย่างไรไม่รู้ คล้ายกับว่าคุณหนูของนางกำลังจะถูกเขากลืนกินอย่างนั้นจื๋อหยวนมองซูชิงลั่วด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่อยากออกไปซูชิงลั่วส่งสัญญาณปลอบโยนนางด้วยสายตาและพยักหน้าให้จื๋อหยวนจึงออกไปโดยหันกลับมามองหลายครั้ง"แอ๊ด" เสียงประตูถูกปิดลงเงาของป่าไผ่พาดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูเหมือนจะทาบบนตัวลู่เหิงจือ ทำให้เขาดูเย็นชาและลึกลับซูชิงลั่วใจเต้นเร็วขึ้นหลายจังหวะและพูดว่า "ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องจะรับสั่งหรือ?"ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบ "ฝนที่ตกหนักเมื่อคืนทำให้ทางภูเขาพัง ในสองสามวันนี้เจ้าก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน ทางฝั่งท่านแม่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้จัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว"ทางภูเขาพังหรือ?ซูชิงลั่วถามด้วยความประหลาดใจว่า "แล้วซ่งเหวินขึ้นมาได้อย่างไร?"ลู่เหิงจือตอบสั้นๆ ว่า "ใช้ทางเล็ก"ซูชิงลั่วเข้าใจในทันที พวกนางต้องนั่งรถม้า หากต้องเดินทางเล็กก็คงลำบากจริงๆพอดีเลย นางจะได้พักรักษาตัวอย่างสบายใจ ที่บ้านตระกูลลู่มากคนก็มากความ
ซูชิงลั่วรีบเดินไปข้างหน้าในที่สุดเฉียนเหวินหลิงก็ได้เห็นซูชิงลั่วอีกครั้ง รีบมองตรวจสอบนางทั้งตัวและจับมือนางถามด้วยความกังวลว่า "ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"แล้วมองไปที่ด้านหลังของนางอย่างไม่สบายใจอีกครั้งซูชิงลั่วยิ้มและพูดว่า "ท่านน้าใหญ่สบายใจได้ ข้าสบายดีเจ้าค่ะ"เฉียนเหวินหลิงยังคงกังวลในใจ แต่ก็ไม่กล้าถามมากจนกระทั่งขึ้นรถม้า ซูชิงลั่วรู้สึกว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงเล่าเรื่องอย่างคร่าวๆ ออกไปให้ฟังเพียงแค่บอกว่าพบโจรและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และบังเอิญได้ลู่เหิงจือช่วยเอาไว้เฉียนเหวินหลิงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง "ได้รับบาดเจ็บด้วยหรือ?"ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "ท่านน้าใหญ่สบายใจได้ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ท่านน้าอย่าบอกท่านยายทำให้ท่านยายต้องกังวลใจเลยนะเจ้าคะ"เฉียนเหวินหลิงกำลังกลัวอยู่ว่าหากซูชิงลั่วเป็นอะไรไป หญิงชราคงจะตำหนินาง จึงยินดีและเต็มใจมาก จากนั้นก็ตบมือซูชิงลั่วเบาๆ แล้วพูดว่า "ลูกของข้า เจ้าช่างรู้ความมากจริงๆ"นางถอนหายใจและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า "เจ้าและเหิงจือในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเข้ากันได้ดีหรือไม่?"ซูชิงลั่วรู้สึกเครียดในใจ แต่แสร้งทำเป็นยิ้มสบายๆ แ
คืนนั้นซูชิงลั่วนอนพลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับคำพูดของท่านยายทำให้นางนึกถึงชายที่นางเจอในกระท่อมไม้ไผ่คนนั้นที่มีความสง่างามและเสียงเบาน่าฟัง อีกทั้งปลายดาบเย็นเฉียบที่วางบนคอของนางที่จริงนางมีการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของชายคนนั้นบ้างมีความสง่างามไม่ธรรมดา สามารถใช้ทหารลับทำงานได้ และสามารถทำให้ลู่เหิงจือคบค้าสมาคมด้วยได้ คงเป็นคนในราชวงศ์น่าเสียดายนางไม่รู้จักราชวงศ์เลย คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นใครการที่ลู่เหิงจือพบกับชายคนนั้นเป็นเรื่องที่ลับสุดยอดมาก เรื่องอะไรถึงต้องลับขนาดนี้?เป็นเรื่องอันตรายอะไรหรือ?นางรู้สึกแอบเป็นห่วงเขาในใจเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญา ไม่ทันไรนางก็หลับไปและฝันถึงป่าไผ่นั้นลู่เหิงจือสวมชุดขาวยืนอยู่หน้าป่าไผ่ ดวงตาดำสนิทอันเงียบสงบคู่นั้นจ้องมองนางแล้วถามว่า "จะขอบคุณข้าอย่างไร?"เสียงนี้นางจำได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งตอนที่ตื่นแล้วซูชิงลั่วอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ สิ่งของที่ส่งไปครั้งก่อนก็ถูกส่งกลับมาหมด ครั้งนี้จะใช้อะไรขอบคุณเขาดีนะ?รู้แน่นอนแล้วว่า สิ่งของนอกกายเขาไม่สนใจแต่นอกจากเงินแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่มีอะไรให้อีกซูชิงลั่วคิดอยู่นาน แล้วความคิดหนึ่
ท่านยายถามอีกครั้ง "เรื่องนี้จริงหรือ?"ซูชิงลั่วสงบสติและตอบ "จริงแท้แน่เจ้าค่ะ คุณชายเหิงที่สามเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี งานราชการก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ข้าไปขอความช่วยเหลือ เขาจะใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ"ท่านยายถึงได้พยักหน้า แต่สีหน้ายังคงเคร่งเครียดอยู่"ในเมื่อถอนหมั้นกับเหยียนเออร์แล้ว งานชมดอกไม้เดือนหน้าก็ให้ท่านน้าใหญ่พาเจ้าไปกับหมิงซือด้วยแล้วกัน"งานชมดอกไม้จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยพระสนมรุ่ยจะเชิญชนชั้นสูงในเมืองเข้าร่วม โดยใช้ชื่อว่าเป็นการชมดอกไม้และแต่งบทกวี แต่แท้จริงแล้วเป็นการให้ครอบครัวต่างๆ ได้มาดูตัวลูกสะใภ้เนื่องจากเป็นกิจกรรมเดียวในเมืองหลวงที่ทั้งชายและหญิงสามารถเข้าร่วมได้ จึงเป็นงานเลี้ยงที่หนุ่มสาวในเมืองรอคอยมากที่สุดในทุกปีเนื่องจากก่อนหน้านี้ซูชิงลั่วได้หมั้นหมายไปก่อนแล้ว จึงไม่เคยเข้าร่วมงานนี้ตอนนี้ท่านยายต้องการให้นางไป ความหมายก็ชัดเจนมาก คือต้องการหาคู่ครองที่ดีให้นางท่านยายให้เฉียนเหวินหลิงพานางไป เพราะกลัวว่านางหลิ่วจะไม่พอใจและทำให้เรื่องเสียซูชิงลั่วลังเลและพูดว่า "แต่ท่านยาย ข้าเพิ่งจะหมั้น..."ท่านยา
ลู่หมิงซือเดินเข้าไปดูแล้วพูดว่า "งั้นเอาผ้าสีหยกพับนี้เถอะ"ผ้าสีหยกเลือกคนใส่ เมื่อใส่แล้วอาจจะดูไม่สวยเท่าผ้าสีแดงเข้มที่จะช่วบขับให้ผิวดูขาวผ่องและคนใส่ดูสดใส ซึ่งดูจะเหมาะกับลู่หมิงซือมากกว่านางหลิ่วพูดขึ้นว่า "ทำไมข้าคิดว่าสีแดงเข้มนั้นดีกว่าล่ะ"ลู่หมิงซือหันไปสบตากับนางหลิ่วแล้วพูดว่า "ข้าไม่ค่อยชอบสีนั้นเจ้าค่ะ"นางหลิ่วจึงเงียบไปไม่พูดอะไรอีกหลังจากที่สาวใช้เดินออกไปจากลานบ้านแล้ว นางหลิ่วที่รออยู่พักหนึ่งจึงทนไม่ไหว หัวเราะเย็นชาออกมาแล้วหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงบนพื้น"ยายแก่นั่นลำเอียงเกินไปแล้ว เห็นชัดๆ ว่าเป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ถูกถอนหมั้น แต่ยังยกระดับสถานะให้นาง ซูชิงลั่วมีสิทธิ์อะไรมาเข้าร่วมงานชมดอกไม้กับเจ้า? นางก็แค่ลูกสาวพ่อค้า ส่วนเจ้าคือลูกสาวของขุนนางแห่งจวนหย่งซุ่นป๋อที่แท้จริง! หรือจะให้เจ้าต้องเลือกผู้ชายทีหลังนางอีก?"ครอบครัวที่เหมาะสมสำหรับการแต่งงานก็มีอยู่ไม่กี่ครอบครัว ทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อจะได้แต่งงาน"ยังมีนางเฉียนที่ปกติแกล้งทำตัวซื่อๆ คนนั้นอีก กล้าดียังไงไปงานชมดอกไม้แทนข้า?""แล้วก็..." นางหลิ่วพูดด้วยความโกรธ "ทำไมเจ้าถึงเลือกสีหยกล่ะ?
สายตานั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะจริงๆ แต่หลังจากนั้นอีกหลายปีลู่เหิงจือก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก นางจึงลืมเรื่องนั้นไปหลังจากลู่เหิงจือสอบได้เป็นจอหงวนและเข้าทำงานในสำนักฮั่นหลิน ลู่จือ ลูกชายคนโตของตระกูลก็ต้องการให้จดชื่อลู่เหิงจือลงไปในฐานะบุตรบุญธรรมอย่างดื้อรั้น ลู่โย่วก็สนับสนุนอย่างเต็มที่จวนหย่งซุ่นป๋อในช่วงหลายปีนี้ได้ตกต่ำลงทุกวันๆ บุตรหลานที่มีความสามารถก็มีไม่มาก ก็แค่นั่งกินสมบัติเก่าเท่านั้นทั้งหมดล้วนอาศัยร้านค้าภายใต้ชื่อของนางที่ยังทำให้คนพวกนี้ไม่ถึงกับต้องลำบากนางไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ จึงต้องปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ต้องการแต่ตอนนั้นชิงลั่วได้หมั้นหมายกับลู่เหยียนแล้ว นางจึงแทบจะลืมสายตาของลู่เหิงจือในวัยเยาว์ไปแต่...หลังจากนางป่วยหนัก จู่ๆ คนทั้งสองนี้ก็มีความเกี่ยวข้องที่สำคัญกัน จนนางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้งครู่ต่อมา นางสั่งเยว่เออร์ว่า "เอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนจดหมายไปยังจินหลิง"บ้านตระกูลลู่แห่งหย่งซุ่นป๋อมีพื้นเพอยู่ที่จินหลิงมาหลายร้อยปี บรรพบุรุษเริ่มต้นที่นั่น และยังมีบ้านเก่าและคนรับใช้ที่ดูแลบ้านอยู่ที่จินหลิงด้วย แ