Share

บทที่ 8

Author: หอมดังเดิม
last update Last Updated: 2024-07-30 13:49:24
ลู่โย่วรู้สึกตกใจ

ทุกคนเพิ่งสังเกตว่าตลอดทั้งคืนแทบไม่เห็นลู่เหยียนเลย

ชื่อเสียงของการอกตัญญูย่อมมีผลกระทบมากกว่าแน่นอน ลู่โย่วรีบสั่งให้คนไปตามหาทันที

ลู่เหิงจือมองไปที่ซ่งเหวินทีหนึ่ง ซ่งเหวินก็เข้าใจทันที

สักครู่ต่อมา กลับเป็นซ่งเหวินที่พาลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานมาที่นี่

ลู่เหยียนมีกลิ่นเหล้าคลุ้งตัว หน้าตาโกรธเคือง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แม้แต่ผมก็ยังไม่ได้หวี ดูแล้วเหมือนถูกพาตัวออกมาอย่างเร่งรีบ

หลิ่วเยียนหรานที่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ได้ล้างหน้าเพียงแค่ยกมือขึ้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเพื่อปิดหน้า ตัวสั่นไปทั้งตัว

จากสภาพแล้ว เห็นชัดเจนว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้

ลู่โย่วทนไม่ไหวตบหน้าเขาไปทีหนึ่ง "ไอ้ลูกชั่ว!"

ลู่เหยียนถูกตบจนหน้าซีกหนึ่งร้อนผ่าว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

ลู่เหิงจือถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เกิดอะไรขึ้น?"

ซ่งเหวินรายงานว่า "บ่าวบังเอิญพบคุณชายสี่ในห้องน้ำชาที่เรือนหน้า เขานอนอยู่กับคุณหนูหลิ่วบนเตียงเดียวกัน"

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติมแล้ว

มีคนในที่นั้นทนไม่ไหวทันที

"ลู่เหยียนผู้นี้อกตัญญูเกินไปแล้ว ท่านยายลู่ป่วยหนักอยู่แต่เขากลับไม่เป็นห่วงเลย ยังมีหน้าไปหาความสุขอีก!"

"ดูท่าคุณหนูหลิ่วผู้นี้ก็ช่ำชองแล้ว คงไม่ใช่ครั้งแรกสินะ คุณหนูซูไม่รู้ต้องทนทุกข์มากแค่ไหน"

"ไม่เข้าท่าเลย ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ"

ลู่โย่วโกรธจนเสียงสั่น "ไอ้ลูกทรพี เจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!"

ลู่เหยียนรีบคุกเข่าลงทันที หลิ่วเยียนหรานเองก็คุกเข่าตามลงไปด้วย

ลู่เหยียนพอรู้สึกตัวก็รีบพูดว่า "เรียนท่านพ่อ เมื่อคืนข้าดื่มมากไปจึงพักผ่อนในห้องน้ำชา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อครู่ได้ยินเสียงคนคุยกัน ท่านย่าป่วยอย่างนั้นหรือ?"

ในตอนท้าย น้ำเสียงของเขาดูร้อนรนกังวลมาก

เขาไม่สามารถยอมให้ตัวเองถูกเรียกว่าเป็นคนอกตัญญูได้

ลู่เหิงจือนั่งพิงพนักเก้าอี้หวายพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า "เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่รู้ว่าทำไมถึงอยู่กับคุณหนูหลิ่วได้อย่างนั้นหรือ?"

ลู่เหยียนตอบโดยไม่ลังเล "ข้าไม่รู้จริงๆ"

หลิ่วเยียนหรานตัวสั่นไปทั้งตัวทันที เกลียดลู่เหยียนที่ใจร้ายเหลือเกิน แต่เมื่อเรื่องเกี่ยวกับชีวิต นางก็ต้องเสี่ยงดูสักครั้ง

นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว โขกหัวกล่าวว่า "เป็นความผิดของเยียนหรานเอง เมื่อคืนเห็นพี่ชายเมามาก เดิมทีข้าแค่ต้องการไปส่งน้ำแกงแก้เมาให้เขา ใครจะรู้ว่า..."

นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง "สรุปคือ ทั้งหมดเป็นความผิดของเยียนหรานเอง เยียนหรานไม่กล้าคาดหวังอะไร ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างพี่ชาย ต่อให้จะต้องเป็นแค่สาวใช้ก็พอใจแล้ว"

จากคำพูดของนาง ทำให้ลู่เหยียนหลุดพ้นจากความผิดได้อย่างสะอาด

ใจที่เป็นกังวลของนางหลิ่วก็คลายลงนิดหน่อย อดพูดออกไปไม่ได้ว่า "เยียนหราน เจ้าช่างเลอะเลือน ทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้ ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชิงลั่วแล้วว่าจะยอมรับให้เจ้าอยู่หรือไม่!"

โดยนัยแล้ว หมายความว่าถ้าซูชิงลั่วไม่ให้นางอยู่ แสดงว่าซูชิงลั่วไม่ใจกว้างพอ

ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด "ในเมื่อข้าต้องการถอนหมั้นกับลู่เหยียน เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า"

มีคนพูดขึ้นทันทีว่า "ใช่แล้ว คุณหนูซูสะอาดบริสุทธิ์ จะเอาเรื่องสกปรกไปสาดใส่นางทำไม?"

สีหน้าของลู่เหยียนซีดลง ด่าคนผู้นั้นทันที "หุบปาก! เรื่องของข้ายังไม่ถึงตาเจ้ามาชี้นิ้ว"

เขาหันไปหาซูชิงลั่ว แล้วทำทีว่าพูดอย่างจริงใจ "ชิงลั่ว เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรดื่มจนเมา ข้าแม้จะผิดไปบ้าง แต่คงไม่ถึงกับต้องถอนหมั้นใช่ไหม? ในใจข้ามีเจ้าเพียงคนเดียว หลายปีมานี้ทุกคนในบ้านต่างรู้ว่าข้าดูแลเจ้าดีอย่างไร เพียงแค่เมื่อวานนี้..."

"ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแกงปู ข้าจึงสั่งให้คนเอาถ้วยแกงของข้าให้เจ้า เจ้าคิดว่าข้าดูแลเจ้าไม่ดีพออีกหรือ? อีกอย่างผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ"

คนส่วนใหญ่ในที่นั้นเป็นผู้ชาย จึงเห็นด้วยกับคำพูดของเขา อีกทั้งหลายคนยังเห็นลู่เหยียนส่งแกงปูไปให้เมื่อวานนี้ จึงเชื่อคำพูดของเขาบ้าง สถานการณ์จึงไม่เป็นผลดีกับซูชิงลั่วอีกครั้ง

ซูชิงลั่วลุกขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ถ้าเจ้ามีข้าอยู่ในใจ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้ากินปูแล้วเป็นผื่น?"

ลู่เหยียน "เป็นไปไม่ได้ เจ้าโกหก"

ใครบ้างจะไม่ชอบกินปู?

ซูชิงลั่วพูดเสียงแข็ง "ข้าไม่เคยกินปู เรื่องนี้ทั้งสาวใช้ของข้าและสาวใช้ข้างกายของท่านยายสามารถเป็นพยานได้ เมื่อวานเจ้าส่งแกงปูมาให้ข้า ตั้งใจจะแสดงให้ใครดูกัน?"

"หลายปีมานี้เจ้าส่งของให้ข้ามากมายเป็นความจริง แต่ว่าลู่เหยียน ของที่เจ้าให้ไม่มีชิ้นไหนที่ข้าชอบมันเลย ในเมื่อวันนี้เจ้าบอกว่ามีข้าในใจ ไม่สู้ลองบอกต่อหน้าทุกคนดูสิว่าข้าชอบอะไรบ้าง?"

ลู่เหยียนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดว่า "ถึงข้าจำเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ผิดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีใจให้เจ้า อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้ากับเยียนหรานก็ไม่มีอะไรกัน..."

ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจเล็กน้อย ทำไมเขาถึงหน้าด้านได้ขนาดนี้?

ในตอนนี้เองลู่เหิงจือก็พูดขึ้นมาว่า "เรื่องเล็กน้อย?"

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและเย็นชา "ข้าถามเจ้าแค่ว่า เจ้าบอกได้ไหมว่าคุณหนูซูชอบอะไรบ้าง แค่สักอย่างหนึ่งก็ได้?"

ในน้ำเสียงของลู่เหิงจือมีความกดดันอย่างบอกไม่ถูก

ในหัวของลู่เหยียนว่างเปล่า เขากลัวจนไม่กล้าโกหกแล้วในตอนนี้

ลู่เหิงจือเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แววตาเย็นชา "แม้แต่สิ่งที่คุณหนูซูชอบก็บอกไม่ได้ แล้วจะบอกว่ามีนางในใจได้อย่างไร?"

"คนที่ข้าลำบากส่งจากจินหลิงมาถึงเมืองหลวง คิดว่าพวกเจ้าจะรังแกได้ง่ายๆ หรือ?"

พูดจบ น้ำเสียงของเขาก็แข็งกร้าว ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกหวาดกลัวกันหมด

ยกเว้นซูชิงลั่ว

นานแล้วที่ไม่มีใครพูดแทนนางแบบนี้

คำพูดของเขามีความหมายชัดเจนว่าเขาจะคุ้มครองนางและไม่ยอมให้ใครรังแกนาง

แม้ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยอมปกป้องนางแบบนี้ แต่นางก็ซาบซึ้งใจจนควบคุมความรู้สึกไม่ได้ ดวงตาเริ่มพร่ามัว หยดน้ำตาเริ่มไหลรินลงมา

เสียงเย็นชาของลู่เหิงจือดังขึ้นอีกครั้ง "พาคนนั้นมาให้ข้า!"

คนที่มาคือบริกรจากร้านน้ำชาฝูจี้ เขาพูดอย่างซื่อตรงว่า "คุณชายสี่ตระกูลลู่กับคุณหนูหลิ่วคบหากันมาสองปีแล้ว พวกเขาจะแอบนัดพบกันที่ห้องพิเศษหมายเลขหนึ่ง ในร้านน้ำชาทุกครึ่งเดือน แขกประจำข้องร้านน้ำชาสามารถเป็นพยานได้ขอรับ..."

ทุกคนรู้สึกตาสว่างในทันที ที่แท้เป็นเพราะลู่เหิงจือได้ตรวจสอบเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว ถึงได้ไล่ต้อนขนาดนี้

ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้ลู่เหิงจือก็มีหลักฐานอยู่แล้ว

สายตานางอดมองไปที่อีกฝั่งของฉากกั้นลมไม่ได้...ที่แท้เขาก็พูดความจริง เขาอยากช่วยนางจริงๆ มาตั้งแต่แรก

เมื่อบริกรพูดจบ ลู่เหิงจือก็มองลู่เหยียนอย่างเหยียดๆ "ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?"

สีหน้าของลู่เหยียนซีดเผือด

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าจะขอประกาศยกเลิกการหมั้นหมายของเจ้ากับคุณหนูซูเอง บ้านสองของพวกเจ้ามีข้อโต้แย้งอีกหรือไม่?"

ลู่โย่วไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย แต่เมื่อหลักฐานชัดเจนขนาดนี้เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ ได้อค่พูดอย่างหม่นหมองว่า "เป็นข้าที่สอนลูกไม่ดี ทำผิดต่อชิงลั่ว การหมั้นครั้งนี้ก็ยกเลิกไปเถอะ"

ซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

แต่นางหลิ่วกลับไม่ยอม พูดกัดฟันว่า "เรื่องการหมั้นหมายจะยกเลิกก็ได้ แต่เรื่องใส่ร้ายผู้ใหญ่ว่าโลภสินเดิมจะว่าอย่างไร?"

นางมั่นใจว่าซูชิงลั่วไม่มีหลักฐาน

วันนี้ต่อให้การหมั้นหมายจะถูกยกเลิก แต่นางก็ยังต้องการให้ซูชิงลั่วถูกมองว่าใส่ร้ายผู้ใหญ่และเป็นคนเนรคุณ

หัวใจของซูชิงลั่วกระตุกขึ้นทันที รู้สึกเสียใจที่พูดเรื่องนี้ออกไป คนในบ้านนางหลิ่วย่อมไม่เป็นพยานให้นาง หากไม่มีหลักฐานจะเป็นผลเสียต่อนางแทน

แต่ลู่เหิงจือกลับหัวเราะเยาะออกมาอย่างดังราวกับขำขันสุดฤทธิ์

"พูดแบบนี้หมายความว่าท่านป้าสองไม่ได้สนใจในสินเดิมของคุณหนูซูสักนิดเลยอย่างนั้นสิ?"

นางหลิ่วทำหน้าตรงไปตรงมา พูดด้วยเสียงที่มั่นใจ "แน่นอนอยู่แล้ว"

ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คืนร้านค้ากว่าห้าสิบแห่งของคุณหนูซูที่ท่านป้าสองดูแลอยู่ให้กับคุณหนูซูไปเถอะ"

ทุกคนในที่นั้นซุบซิบกันเสียงดังทันที

"ร้านค้ากว่าห้าสิบแห่ง? นี่มันเงินเท่าไหร่กันนะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมานางหลิ่วดูแลอยู่เหรอ?"

"นี่เรียกว่าไม่โลภในสินเดิมของหลานสาวหรือ? นางก็กล้าพูดออกมาได้"

"มิน่าล่ะ ถึงต้องการแก้เคล็ดและไม่อยากยกเลิกการหมั้น ถุย!"

นางหลิ่วหน้าถอดสีในทันที...เรื่องนี้ลู่เหิงจือก็รู้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 8

    ซูชิงลั่วตกใจมากกว่าคนอื่นๆ อีก เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพิสูจน์ได้จากมุมนี้ว่านางหลิ่วโลภในสินเดิมของนางตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงก็เพิ่งจะอายุได้สิบขวบ ในทีแรกร้านค้าเหล่านี้เป็นท่านยายที่ช่วยนางดูแล และทุกเดือนท่านยายก็จะเรียกให้นางไปตรวจสอบบัญชีต่อมาเนื่องจากท่านยายไม่มีเรี่ยวแรง นางหลิ่วจึงอาสารับช่วงต่อในช่วงครึ่งปีแรกนางหลิ่วก็ยังคงให้นางตรวจสอบบัญชี แต่ต่อมาก็อ้างว่าไม่ว่าง สามเดือนจึงให้ตรวจสอบดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าน้าสาวไม่มีทางทำร้ายนาง จึงไม่ให้นางได้ตรวจสอบบัญชีอีกเลยนางเป็นคนหน้าบาง คิดว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย อีกทั้งนางหลิ่วก็เป็นญาติ และยังปฏิบัติกับนางไม่เลว ดังนั้นนางจึงไม่เคยพูดอะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมาสีหน้าของนางหลิ่วแดงและซีดสลับกัน ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดอ้ำอึ้งออกมา "อย่างไรชิงลั่วก็ยังเด็ก ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะถูกคนข้างล่างหลอกลวงจึงรับช่วงช่วยดูแลร้านค้าให้..."ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คำโกหกของนางดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นอีกลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "คุณหนูซูตอนนี้ก็อายุสิบหกแล้ว การหมั้นก็ยกเลิกไปแล้ว ร้านค้าก็คงคืนได้แล้วไหม?"น

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 10

    ซูชิงลั่วรีบก้มหน้า รู้สึกหน้าแดงร้อนนางกำลังจะเดินไปยังห้องข้างๆ ก็ได้ยินเสียงเรียบๆ ของลู่เหิงจือพูดว่า "รบกวนหมอหลวงซ่งช่วยดูอาการของคุณหนูคนนั้นด้วย เมื่อครู่นางเพิ่งจะเป็นลมไป"พอสิ้นเสียง ผู้ชายคนอื่นๆ ในลานก็มองไปที่ซูชิงลั่วพร้อมกันซูชิงลั่วรีบพูดทันที "ขอบคุณท่านสาม ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แค่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเฉยๆ ไม่ต้องลำบากหมอหลวงซ่งหรอก"ลู่เหิงจือมองซ่งอวี้นิ่งๆ ทีหนึ่งซ่งอวี้ซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งเปล่าๆ รีบลูบเคราและยิ้มพร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไร ไม่ลำบากเลยขอรับ"ขณะที่พูด หมอหลวงซ่งก็เดินเข้ามาด้วย ซูชิงลั่วไม่กล้าปฏิเสธอีก จึงให้จื๋อหยวนเชิญเขาเข้าห้องไปหลังจากวางผ้าไว้ที่ข้อมือและตรวจชีพจรแล้ว หมอหลวงซ่งก็บอกว่านางกังวลมากเกินไป จนทำให้ร้อนใจจนเป็นลม ต้องให้พักผ่อนมากๆ ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว อีกทั้งยังจ่ายยากล่อมประสาทให้กับนางหลังจากซูชิงลั่วพูดขอบคุณ นางก็ให้จื๋อหยวนใส่เงินยี่สิบตำลึงให้หมอหลวงซ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยกมือปฏิเสธ"ไม่กล้ารับหรอกขอรับ ข้าแค่ทำตามที่ได้รับการไหว้วาน หากคุณหนูจะขอบคุณก็ขอบคุณคนที่ไหว้วานข้ามาเถิด"เมื่อได

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 11

    ความเย็นราวกับน้ำพุบนภูเขานั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจของซูชิงลั่วนางหดมือกลับมาอย่างรวดเร็วราวกลับถูกน้ำร้อนลวก จนข้าวต้มถ้วยนั้นเกือบจะหกคว่ำ โชคดีที่ลู่เหิงจือจับไว้ได้อย่างมั่นคงใบหน้าของซูชิงลั่วแดงขึ้นในทันทีท่าทางของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ในสายตาคนอื่นเกรงว่าจะดูค่อนข้างสนิทสนมกันไปสักหน่อยลู่เหิงจือยื่นถ้วยให้นางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า "ระวังนะ มันร้อนอยู่"เมื่ออธิบายเช่นนี้แล้ว ทำให้การหดมือกลับของเธอเมื่อครู่นี้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นซูชิงลั่วรับถ้วยลายครามมา "ขอบคุณท่านสาม..."หลังจากพูดจบถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียกเขาว่าท่านสามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าพึ่งสัญญาว่าจะจำว่าต้องเรียกเขาพี่สาม แต่ตอนนี้กลับลืม ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของลู่เหิงจือมีรอยยิ้มวาบผ่านไปอะไรกันนางเรียกเขาผิดไม่ใช่เหรอ? เขายังยิ้มอีกเหรอ?ถึงแม้ซูชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาคิดมากเรื่องเขา นางหันกลับไปและค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ท่านยายทีละนิดด้วยความอดทนท่านยายกินข้าวต้มไปได้ครึ่งถ้วยก็ต้องการน้ำล้างปาก ซูชิงลั่วหันไป ลู่เ

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 12

    เมื่อคืนซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสบาย ในหัวนางมักจะนึกถึงท่าทางของลู่เหิงจือ ราวกับถูกฝันร้ายตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงตอนที่ไปล้างหน้าที่ห้องข้างๆ จื๋อหยวนก็มากระซิบที่หูนางว่า "เช้านี้ก่อนที่คุณชายเหิงที่สามจะไปเข้าร่วมประชุมขุนนางตอนเช้า เขาได้สั่งเป็นพิเศษว่าท่านย่าต้องพักผ่อนอย่างสงบและห้ามใครพูดมากต่อหน้าท่านย่า"ซูชิงลั่วได้ยินแล้วก็โล่งใจไปอีกเรื่องลู่เหิงจือมีงานราชการมากมาย แต่กลับจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ เขาช่างรอบคอบจริงๆซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้า ในใจก็คิดว่าลู่เหิงจือช่วยนางมากมายขนาดนี้ ควรจะขอบคุณเขาอย่างไรดีตามหลักแล้ว การขอบคุณคนก็ควรจะต้องว่าตามที่เขาชอบ แต่ลู่เหิงจือมักจะควบคุมคนรับใช้เคร่งครัด ความชอบของเขาไม่เคยรั่วไหลออกมา แม้แต่การสอบถามก็ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามการให้เงินโดยตรงก็ดูเหมือนจะเป็นการดูหมิ่นท่านอัครมหาเสนาบดีที่มีอำนาจมากท่านนี้เกินไปซูชิงลั่วจนปัญญา ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงท่านยายตื่นนอน นางจึงเข้าไปปรนนิบัติก่อนร่างกายหญิงชราดีขึ้นมากแล้ว นอกจากกินอาหารเยอะขึ้นแล้ว ยังพูดคุยกับเหล่าลูกสะใภ้และหลานสาวหลายคนที่มาเยี่

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 13

    ลู่เหิงจือยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มองดูดอกท้อที่เบ่งบานสวยงาม กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า "ข้าคืออัครมหาเสนาบดีของราชสำนัก เมื่อคุณหนูซูมาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยนาง ท่านแม่อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูซูต้องเสื่อมเสียเลย"เฉียนเหวินหลิงรู้สึกอึดอัดชั่วขณะ "แม่ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่มีความสนใจ ก็ช่างเถิด..."แม้นางจะมีบุตรชายสองคน แต่บุตรชายคนโตก็เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก ส่วนบุตรชายคนที่สองก็เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ต้องกินยาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อลู่จือ สามีของนาง บอกให้นางรับลู่เหิงจือเป็นบุตร นางจึงกัดฟันยอมรับ โดยหวังจะมีที่พึ่งพิงในอนาคตแต่อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่าย แม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน และเขาก็มักจะมาทำความเคารพนางเป็นประจำ แต่ก็ยังมีระยะห่างอยู่เสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางยังไม่รู้เลยว่าเขาชอบกินอะไรกันแน่หลายวันนี้นางเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีความสนใจในตัวซูชิงลั่ว จึงคิดจะทำคะแนนกับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ สายตามองไปที่แจกันกระเบื้องสีขาวตรงหน้า กล่าวว่า "แจกันน

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 14

    ที่ฝ่ามือรู้สึกเจ็บแปลบ ซูชิงลั่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้และรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบจะในทันที ประตูก็ถูกลงกลอนจากด้านนอกนางกัดฟันและทุบประตูอย่างแรง พร้อมกับตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับนางพิงกำแพงและตรวจสอบสถานการณ์ภายในห้องอย่างระมัดระวังห้องนี้หันไปทางเหนือ อากาศเย็นและชื้น ในกลิ่นหอมแปลกๆ นั้นผสมผสานไปกับกลิ่นเชื้อรา ไม่เหมือนห้องที่ใช้รับรองแขกปกติองค์หญิงอวี้หยางเป็นคนทำร้ายนางหรือ? ทำไมล่ะ? นางไม่เคยพบองค์หญิงอวี้หยางมาก่อนเลยนะหรือบางที อาจมีคนแอบอ้างชื่อองค์หญิงอวี้หยางมาทำร้ายนางก็ได้ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะหนีออกไปได้อย่างไรซูชิงลั่วรีบเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่งและพยายามผลักออก อย่างที่คิด หน้าต่างถูกตอกปิดตายไว้ยังมีอีกบานหนึ่งนางวิ่งไปที่หน้าต่างบานนั้นพร้อมกับความหวังสุดท้าย ปรากฏว่ามันสามารถเปิดได้!แต่ทันทีที่เปิดออก นางก็ต้องสิ้นหวังอีกครั้ง เพราะข้างล่างหน้าต่างเป็นหน้าผา แม้จะไม่ลึกจนมองไม่เห็นก้น แต่ถ้ากระโดดลงไปก็คงต้องตายแน่ๆสิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวยิ่งขึ้น คือร่างกายของนางเริ่มรู้สึกไม่ปกติ นอกจากร่างกายจะเริ่มร้อนขึ้นแล้ว ขาทั้งสองข้างก็เริ่ม

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 15

    ลู่เหิงจือลุกขึ้น รินน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง อุ้มนางขึ้นด้วยมือข้างเดียวและส่งน้ำไปที่ริมฝีปากของนางนางกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว"ต้องการอีกไหม?" เขาถามซูชิงลั่วพยักหน้าลู่เหิงจือเตรียมจะลุกไปรินน้ำให้นางอีกครั้ง แต่ก็ถูกนางจับข้อมือเอาไว้ทันทีใบหน้านางแดงระเรื่อ เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนหวาน เรียกเขาว่า "พี่สาม..."แววตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อย มองดูนางร่างกายของซูชิงลั่วเหมือนกับมีไฟลุก บางที่ก็รู้สึกทั้งคันและชา ก่อนที่จะรู้ตัว นางก็จับข้อมือของลู่เหิงจือไว้แล้วข้อมือของเขาขาวสะอาดและผอมเพรียวแต่ก็ทรงพลังซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดุจพระจันทร์ สีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่กระพริบตา ราวกับเป็นพระจันทร์ที่สูงสง่าเสื้อคลุมยาวนั้นปักลายเถาไม้สีเขียว ดูเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยเข้าไปในใจของนางนางเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆซูชิงลั่วกัดริมฝีปากแน่น จนกลิ่นคาวเลือดกระจายเข้าสู่ปากทันทีหยดเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากล่าง ลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น บีบคางของนางไว้ "อย่ากัด ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือไง?"น้ำเสียงของเขากลับแฝงไว้ด

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 16

    จื๋อหยวนร้องไห้ด้วยความกังวลหลังจากทำซูชิงลั่วหาย จากนั้นก็รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้นายหญิงใหญ่เฉียนเหวินหลิงรับทราบเฉียนเหวินหลิงเองก็ร้อนใจอย่างมาก แต่ไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต จึงสั่งให้คนของนางทั้งหมดออกไปตามหา เมื่อเห็นว่าฟ้าเกือบจะมืดแล้วแต่ยังไม่เจอตัว ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจมากขึ้นจื๋อหยวนเองก็ออกไปตามหาซูชิงลั่วท่ามกลางสายฝน จนกระทั่งใกล้ค่ำก็มีชายชุดดำคนหนึ่งมาพร้อมหยกชิ้นหนึ่ง ถามว่านางใช่จื๋อหยวนหรือไม่และบอกให้นางเอาเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งตามเขาไปหยกชิ้นนั้นนางเคยเห็นตอนที่เอารายการของขวัญไปให้ลู่เหิงจือ จึงจำได้ทันทีนางกลัวว่าคุณหนูจะเกิดเรื่อง จึงไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต โชคดีที่ก่อนออกจากจวนนางเอาเสื้อผ้าสำรองมาด้วย จึงรีบตามชายคนนั้นมาอย่างรวดเร็วใครจะคิดว่าเมื่อเข้ามาในห้องแล้ว จะทำให้นางตกใจจนเกือบจะล้มลงคุณหนูของนางนอนอยู่บนเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กระโปรงหายไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงระเรื่อและมีเหงื่อรื้นเต็มหน้าผากส่วนอีกด้านหนึ่ง ลู่เหิงจือในชุดเรียบร้อยกำลังค่อยๆ ผูกเข็มขัดอย่างใจเย็นจื๋อหยวนถลึงตาโตด้วยความตกใจ...คุณหนูคงจะไม่ได้ถูกเขา...หัวใ

    Last Updated : 2024-07-30

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status