Share

บทที่ 7

ลู่เหิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อย วางจอกชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักพอดี

คนที่อยู่ในที่นั้นต่างคิดในใจว่า ซูชิงลั่วเป็นแค่เด็กกำพร้า กล้าก่อเรื่องขึ้นในตอนนี้ คงจบไม่สวยแน่

ลู่เหิงจือมีความโกรธอยู่จริง แต่ไม่ใช่เพราะซูชิงลั่วก่อเรื่อง แต่เป็นเพราะการที่นางเลือกที่จะเสี่ยงและขอความช่วยเหลือจากเขาในเวลานี้ ไม่รู้ว่านางต้องถูกบีบคั้นและกดดันอะไรมาอีกบ้าง

นางหลิ่ว นางเฉียน และสาวใช้สองสามคนรีบเข้ามา นางหลิ่วรีบพูดว่า "ท่านสาม ชิงลั่วยังเด็กไม่รู้สา หวังว่าท่านสามอย่าได้ถือสานางเลย ข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้"

พูดจบก็ส่งสัญญาณให้พวกหญิงรับใช้พาตัวซูชิงลั่วออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือพูดขึ้นว่า "ช้าก่อน"

นางหลิ่วรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ

ลู่เหิงจือเพียงพูดแค่สองคำ แต่ทุกคนก็ถูกน้ำเสียงที่มีอำนาจของเขากดดันจนไม่มีใครกล้าขยับ

ลู่โย่ว นายท่านรองเพิ่งอดหลับอดนอนมาทั้งคืน กำลังจะกลับไปพักผ่อน ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วที่ปกติว่านอนสอนง่ายก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเลย มอบหมายให้นางหลิ่วจัดการทั้งหมด ทำไมขนาดเรื่องหมั้นหมายของชิงลั่วกับเหยียนเออร์ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างนั้นเหรอ?

ต่อหน้าคนมากมาย ใบหน้าของเขาย่อมไม่สู้ดีนัก พูดว่า "ชิงลั่ว ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้ามาโดยตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในบ้าน เราปิดประตูคุยกันยังไงก็ได้ ไม่ต้องรบกวนท่านอัครมหาเสนาบดีหรอก"

นางหลิ่วรีบพูดต่อทันที "ใช่แล้วชิงลั่ว หลายปีมานี้ทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าน้าชายและน้าหญิงดูแลเจ้าอย่างไร อีกอย่างเหยียนเออร์ก็ส่งของดีๆ ให้เจ้าออกบ่อยๆ ถึงน้าหญิงจะทำอะไรผิดไปบ้าง เจ้าก็คงไม่ถึงขนาดต้องทำให้น้าชายและน้าหญิงขายหน้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้กระมัง? อีกอย่างท่านยายก็กำลังร่างกายเป็นแบบนี้อีก?"

นางพูดไปก็เริ่มสะอื้นเบาๆ ไป

ชื่อเสียงของลู่โย่วดีและเป็นที่เคารพของในตระกูลไม่น้อย ตอนนี้จึงมีคนออกมาช่วยพูดทันที

"ใช่แล้ว อย่างน้อยน้าชายกับน้าหญิงก็เลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี ทำไมถึงทำแบบนี้ได้?"

"แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง ช่างเป็นหมาป่าที่เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ ไม่รู้จักบุญคุณ..."

"ไม่ใช่ว่าข้าพูดเกินไปนะ แต่เจ้าช่างไม่กตัญญูจริงๆ ท่านแม่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร..."

แค่ชื่อเสียงเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะกดดันซูชิงลั่วจนตายได้แล้ว

น้ำตาเอ่อรื้นขึ้นในดวงตาของนาง นางรู้สึกน้อยใจอย่างมาก

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และด่าทอ ลู่เหิงจือพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ "ใช่แล้ว เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ?"

เขาพูดด้วยเสียงเรียบๆ "มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คุณหนูจากตระกูลผู้ดีต้องทนทุกข์จนต้องเสี่ยงมาขอความช่วยเหลือจากข้าในเวลานี้? ท่านลุงรองบอกว่าเห็นนางเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของท่าน แล้วท่านไม่คิดถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นเรื่องเป็นแบบนี้บ้างหรือ?"

เมื่อเขาเริ่มพูด สถานการณ์ก็เปลี่ยนทันที

ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

"ใช่แล้ว ข้ารู้จักคุณหนูซู นางเป็นคนมีการศึกษาและใจดีเสมอ ปฏิบัติต่อคนใช้ก็ดีมาก..."

"เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่กับคนอื่น ใครจะรู้ว่านางต้องทนทุกข์ขนาดไหน?"

"ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้นางต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากท่านอัครมหาเสนาบดีในเวลานี้กันนะ?"

ลู่โย่วมีสีหน้าเคร่งขรึมลงโดยไม่รู้ตัว

คำพูดของลู่เหิงจือชัดเจนว่าแอบแขวะที่เขาไม่ได้ดูแลซูชิงลั่วดีเท่าที่ควร

ความรู้สึกน้อยใจของซูชิงลั่วค่อยๆ หายไป นางมองเขาผ่านฉากกั้น รู้สึกว่าเขามีบารมีอย่างยิ่งยวด ในเวลานี้ราวกับเขาเป็นเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อมาช่วยนางจากความทุกข์

ลู่เหิงจือพูดเรียบๆ ว่า "ถึงจะเป็นเรื่องของบ้านสอง แต่ในเมื่อคุณหนูซูมาขอความช่วยเหลือจากข้าในฐานะอัครมหาเสนาบดี ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย"

"ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหกปีก่อนข้ากับท่านลุงรองก็เป็นคนพาคุณหนูซูจากจินหลิงมายังเมืองหลวง อย่างไรคุณหนูซูก็เรียกข้าว่าพี่สาม หากนางถูกบีบคั้น ข้าย่อมต้องช่วยเหลือนาง"

เรื่องที่กล่าวมามีน้อยคนในที่นี้ที่จะรู้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กกำพร้าคนนี้จะมีความสัมพันธ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลเช่นนี้ และฟังดูเหมือนเขาจะปกป้องนางเป็นพิเศษ

ในขณะนั้น ในใจทุกคนต่างรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น

เพราะคนทั้งโลกรู้ดีว่า ลู่เหิงจือเป็นคนเย็นชา ไม่ใกล้ชิดผู้หญิง

ลู่เหิงจือได้ตำแหน่งจอหงวนเมื่ออายุสิบแปดปี และได้รับเลือกเข้าไปในสำนักฮั่นหลิน เมื่ออายุยี่สิบสองปีก็ได้เป็นอัครมหาเสนาบดี ซึ่งถือเป็นอัครมหาเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดของราชวงศ์ฉู่

หลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจำนวนมากที่ต้องการแต่งงานกับเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับอย่างสุภาพทั้งหมด มีคนส่งผู้หญิงมาให้เขาก็ถูกเขาส่งกลับไป แม้กระทั่งมีคนคาดเดาว่าอัครมหาเสนาบดีท่านนี้อาจจะชอบผู้ชาย

หรือว่าเขาจะมีใจให้กับเด็กกำพร้าจากตระกูลซูคนนี้?

ลู่เหิงจือย่อมรู้ดีว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แต่เขาก็ยังคงพูดออกไป

ในใจเขาคิดด้วยซ้ำว่าการที่คนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาสองคนร่วมกันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แถมเขายังรู้สึกคาดหวังเล็กน้อยอีกด้วย

เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉากกั้นลม เห็นเงาร่างหญิงสาวคุกเข่าอยู่บนพื้น หลังตรง รูปร่างบอบบางและอ่อนแอ

เขาสั่งการออกไปว่า "ไปเอาเก้าอี้มาให้คุณหนูซูตัวหนึ่ง ให้นางนั่งลงแล้วค่อยๆ พูด"

ทันทีที่พูดจบ ทั้งในลานและห้องโถงต่างก็เงียบสนิท ทุกคนตกใจจนไม่มีใครพูดอะไร

ลู่โย่ว นางหลิ่วและผู้ใหญ่อีกหลายคนยังยืนอยู่เลยนะ แต่ให้หญิงสาวคนนี้นั่งคนเดียวคืออะไร?

ซ่งเหวินยกเก้าอี้มอบให้สาวใช้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ซูชิงลั่วนั่งลงแล้วก็ค่อยๆ เล่า

"ประมาณยี่สิบวันก่อน ข้าบังเอิญเห็นลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานลูกพี่ลูกน้องของเขา แอบนัดพบกันที่ห้องส่วนตัวในโรงน้ำชาฝูจี้ ทั้งสองมีท่าทางสนิทสนมกันมาก จากคำพูดของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว วันนั้นเมื่อกลับมา ข้าก็บอกท้านน้าหญิงว่าต้องการจะถอนหมั้น ท่านน้าหญิงบอกว่าการถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ให้รอจนกว่านางจะถามให้รู้ความก่อน"

"ข้าก็เตรียมจะกลับไปรอ คิดว่าบางทีท่านน้าหญิงอาจจะช่วยข้าได้จริง บังเอิญข้าทำถุงหอมตกไว้จึงกลับไปหา ไม่คิดว่าจะได้ยินท่านน้าหญิงกำลังว่ากล่าวลู่เหยียนที่ไม่ระวังจนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น บอกให้เขามาขอโทษข้า และบอกว่าต้องแต่งงานกับข้าถึงจะได้สินเดิมมหาศาล หลังจากแต่งงานแล้วเขาจะทำอะไรก็ตามใจ"

ทุกคนในตอนนี้ถึงเพิ่งคิดได้ว่า ตระกูลซูในอดีตเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจินหลิง ได้รับการขนานนามว่าร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น เหลือลูกสาวที่รักอยู่คนเดียวแบบนี้ สินเดิมนางจะมากมายขนาดไหน?

ตระกูลลู่ก็เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาร้อยปี แม้จะไม่รุ่งเรืองเหมือนในอดีต แต่ก็ยังดูถูกเรื่องแบบนี้

ในเวลานี้ สายตาของทุกคนที่มองไปที่ลู่โย่วก็แฝงไว้ด้วยความดูถูก

ใบหน้าของลู่โย่วแดงสลับขาวโดยไม่รู้ตัว ได้แต่แอบด่านางหลิ่วในใจอย่างเงียบๆ

ซูชิงลั่วพูดต่ออีกว่า "ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในฐานะญาติ จึงไม่เคยทะเลาะกับท่านน้าหญิงจริงจัง คิดแค่ว่าขอถอนหมั้นก็พอแล้ว ไม่คิดว่าท่านน้าหญิงจะปฏิเสธหลายครั้ง แถมยังใช้ความกตัญญูมากดดัน ไม่ให้ข้าถอนหมั้น"

"ข้าคิดว่ายังเหลือเวลาอีกหน่อยก่อนจะถึงวันแต่งงาน บางทีอาจหาวิธีอื่นได้ แต่เมื่อคืนท่านยายลู่เกิดเป็นลมกะทันหัน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ใครจะรู้ว่าเช้านี้ท่านน้าหญิงกลับกล้าพูดอย่างไม่อาย บอกให้ข้าแต่งงานกับลู่เหยียนพรุ่งนี้เพื่อเป็นการแก้เคล็ดให้กับท่านยาย"

เมื่อได้ยินคำว่า "แก้เคล็ด" ลู่เหิงจือก็หรี่ตาเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบประดุจลูกศรพุ่งไปที่ลู่โย่ว ราวกับจะทะลุทะลวงร่างเขาอย่างนั้น

นางหลิ่วช่างบังอาจยิ่งนัก กล้าพูดแบบนี้ออกมาได้

ลู่โย่วไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย เหงื่อเย็นเริ่มไหลลงมาจากหน้าผาก

การแก้เคล็ดจะเป็นเรื่องที่ตระกูลผู้ดีอย่างบ้านตระกูลลู่ทำได้อย่างไร

"ใต้เท้าได้โปรดพิจารณา ลู่เหยียนเป็นคนทรยศก่อน แถมนางหลิ่วก็บีบคั้นภายหลัง แถมไม่สนใจสุขภาพของท่านยายลู่ ใจคิดแต่จะฮุบสินเดิมของข้าเท่านั้น คนแบบนี้ ข้า ซูชิงลั่ว จะไม่มีวันแต่งงานด้วยเด็ดขาด!"

ซูชิงลั่วพูดอย่างหนักแน่น

ทั้งในลานและห้องโถงเงียบสนิทในทันที

หลังจากนั้นสักพัก ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น

"ทั้งน้าชายน้าสาวช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้มันโหดร้ายมาก..."

"แก้เคล็ดอะไรกัน ไม่ใช่กลัวคนหนีไปแล้วไม่ได้เงินเหรอ? บ้านสองขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือ?"

สีหน้าของนางหลิ่วซีดเผือด ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วไปได้ยินการสนทนาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้นางจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้

แต่นางเป็นคนหัวไวโดยทุนเดิม จึงร้องไห้เสียงดังในทันที "หม่อมฉันถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ ชิงลั่ว เจ้าใส่ร้ายข้าแบบนี้ได้อย่างไร? การหมั้นนี้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเอง ถึงเหยียนเออร์จะไม่เก่งแต่ก็เป็นถึงบัณฑิต ยังจะขาดคู่หมั้นดีๆ หรืออย่างไร?"

นางกล่าวคำสาบาน "หากข้าคิดโลภในสินเดิมของเจ้าก็ขอให้ข้าไม่ตายดี!"

เรื่องนี้นางจะยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นนางคงจะไม่มีหน้ามองใครในเมืองหลวงตลอดชีวิต แม้ซูชิงลั่วจะได้ยินจริงๆ แต่ก็หาหลักฐานไม่ได้หรอก

นางร้องไห้เสียงดัง "เยียนหรานเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหยียนเออร์ ทั้งสองคนคุยกันในบ้าน เจ้าก็หึง เหยียนเออร์เลยต้องไปเจอเยียนหรานข้างนอก ก็แค่คุยกันเท่านั้น เจ้าอยากถอนหมั้นแต่ใยต้องแต่งเรื่องโกหกพวกนี้มากล่าวหาข้าด้วย?"

นางหลิ่วตัดสินใจเด็ดขาด พูดว่า "ใต่เท้า ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็เรียกเหยียนเออร์ให้มาอธิบายเองเถอะเจ้าค่ะ!"

เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเสี่ยงดูว่าคนฟังจะเชื่อใครมากกว่ากัน

ในสถานการณ์นี้ ลู่โย่วทำได้เพียงยืนอยู่ข้างนางหลิ่ว

เขาพูดว่า "ในเมื่อจำเป็นต้องอธิบายต่อหน้าทุกคน ก็ต้องเรียกเหยียนเออร์มาด้วย จะฟังความข้างเดียวได้อย่างไร?"

ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม "จริงด้วย"

สายตาของเขากวาดมองผู้คนเบื้องล่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ลู่เหยียนนล่ะ? ท่านย่าป่วยหนัก แม้แต่หลานนอกยังอยู่เฝ้าทั้งคืน เขาเป็นถึงลูกชายคนเดียวของบ้านสอง แล้วทำไมไม่เห็นเขา?"

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status