Share

บทที่ 10

Author: หอมดังเดิม
ซูชิงลั่วรีบก้มหน้า รู้สึกหน้าแดงร้อน

นางกำลังจะเดินไปยังห้องข้างๆ ก็ได้ยินเสียงเรียบๆ ของลู่เหิงจือพูดว่า "รบกวนหมอหลวงซ่งช่วยดูอาการของคุณหนูคนนั้นด้วย เมื่อครู่นางเพิ่งจะเป็นลมไป"

พอสิ้นเสียง ผู้ชายคนอื่นๆ ในลานก็มองไปที่ซูชิงลั่วพร้อมกัน

ซูชิงลั่วรีบพูดทันที "ขอบคุณท่านสาม ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แค่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเฉยๆ ไม่ต้องลำบากหมอหลวงซ่งหรอก"

ลู่เหิงจือมองซ่งอวี้นิ่งๆ ทีหนึ่ง

ซ่งอวี้ซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งเปล่าๆ รีบลูบเคราและยิ้มพร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไร ไม่ลำบากเลยขอรับ"

ขณะที่พูด หมอหลวงซ่งก็เดินเข้ามาด้วย ซูชิงลั่วไม่กล้าปฏิเสธอีก จึงให้จื๋อหยวนเชิญเขาเข้าห้องไป

หลังจากวางผ้าไว้ที่ข้อมือและตรวจชีพจรแล้ว หมอหลวงซ่งก็บอกว่านางกังวลมากเกินไป จนทำให้ร้อนใจจนเป็นลม ต้องให้พักผ่อนมากๆ ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว อีกทั้งยังจ่ายยากล่อมประสาทให้กับนาง

หลังจากซูชิงลั่วพูดขอบคุณ นางก็ให้จื๋อหยวนใส่เงินยี่สิบตำลึงให้หมอหลวงซ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยกมือปฏิเสธ

"ไม่กล้ารับหรอกขอรับ ข้าแค่ทำตามที่ได้รับการไหว้วาน หากคุณหนูจะขอบคุณก็ขอบคุณคนที่ไหว้วานข้ามาเถิด"

เมื่อได้ยินคำว่า "คนที่ไหว้วาน" ใบหน้าของซูชิงลั่วก็แดงขึ้นเล็กน้อย

นางพยายามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นหมอหลวงซ่งยืนยันแน่วแน่ จึงยอมแพ้ ลุกขึ้นเดินออกไปส่งเขา พอเปิดประตูออกก็เห็นลู่เหิงจือที่ยังยืนอยู่ในลานเช่นเดิม

เมื่อได้ยินเสียง เขาก็หันกลับมา เอ่ยเสียงเรียบๆ ราวกับถามเรื่องทั่วไปว่า "เป็นอย่างไรบ้าง?"

หมอหลวงซ่งยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร

ลู่เหิงจือพยักหน้าเล็กน้อย ถึงเขาจะมองนางด้วยสายตาที่ดูเรียบเฉย แต่ไม่รู้ทำไมกลับทำให้นางรู้สึกว่าเขาห่วงใยนางมาก

ซูชิงลั่วรู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนมีลูกกวางน้อยวิ่งมาชน นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และกล่าวขอบคุณลู่เหิงจืออีกครั้ง

ลู่เหิงจือตอบรับทีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปบอกให้พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ กลับไปนอนพักก่อน ที่นี่เขาจะเฝ้าดูเอง

ซูชิงลั่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่ลู่เหิงจือ

แม้ว่าจะอดนอนมาทั้งคืน แต่เขาก็ยังดูเรียบร้อย ยืนตัวตรงตระหง่าน ดวงตาสดใส ไม่เหมือนคนอื่นที่ดูเหนื่อยล้า ดวงตาแดงเรื่อ

ในขณะนั้น จู่ๆ นางก็เข้าใจความหมายของประโยคในหนังสือที่เคยอ่านว่า "เหมือนอัญมณีในกองเศษหิน" ว่าคืออะไร

ผู้ชายในลานต่างพากันแยกย้ายไป เหลือเพียงลู่เหิงจือคนเดียว

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้วซูชิงลั่วจึงกล้าโค้งคำนับเขา "เมื่อครู่ขอบคุณพี่สามมากนะเจ้าคะ"

ลู่เหิงจือมองตรงไปที่นาง ยิ้มเก็บอาการแล้วพูดว่า "ตอนมีคนอยู่ทำไมไม่เรียกข้าว่าพี่สามล่ะ? หรือว่า ไม่กล้า?"

ซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดขึ้นมา

ไม่รู้ทำไม ในใจของนางรู้สึกคำว่า "พี่สาม" นั้นดูเป็นคำเรียกที่ใกล้ชิดกันเกินไป เมื่อมีคนอยู่นางจึงไม่กล้าเรียกจริงๆ

แต่จะอธิบายอย่างไรดี? นางคิดไม่ออกเลย

ลู่เหิงจือก้าวไปตรงหน้านางอีกก้าวหนึ่ง ยิ่งทำให้นางรู้สึกประหม่า มือขยำผ้าเช็ดหน้า พลางพูดเบาๆ ว่า "เปล่านะ ข้า...เมื่อครู่แค่ลืมไปเท่านั้น"

พอพูดออกไปแบบนี้ก็รู้สึกเสียใจ เพราะข้อแก้ตัวมันฟังดูแย่เหลือเกิน

โชคดีที่ลู่เหิงจือหยุดฝีเท้า มองนางครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ครั้งหน้าจำให้ดีแล้วกัน"

ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก "เจ้าค่ะ"

ในขณะนี้เอง ซ่งเหวินถือกล่องอาหารเข้ามาในลาน เมื่อเห็นนายตัวเองกับคุณหนูซูยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงสามก้าว ในสมองก็พลันนึกถึงภาพฉากรักหวานแหววนับไม่ถ้วน

เขาข่มความคิดฟุ้งซ่านในหัว พูดว่า "คุณชาย ท่านยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ กินอะไรรองท้องก่อนเถอะขอรับ"

ลู่เหิงจือสะบัดแขนเสื้อยาว "เอาให้คุณหนูซูก่อน"

ซ่งเหวินตกใจอีกครั้ง รีบส่งกล่องอาหารให้กับมือจื๋อหยวนทันที

จื๋อหยวนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันไปมองคุณหนูของตน

ซูชิงลั่วตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอเห็นดวงตาลึกซึ้งของลู่เหิงจือ ก็ไม่กล้าพูดคำปฏิเสธออกมา

นางพบว่า ความหวังดีของเขาไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยปฏิเสธได้

นางจึงได้แค่พยักหน้า ส่งสัญญาณให้จื๋อหยวนรับไว้ "งั้นก็...ขอบคุณพี่สามเจ้าค่ะ"

ลู่เหิงจือพยักหน้า พูดด้วยเสียงเรียบๆ "ท่านย่าก็พ้นขีดอันตรายแล้ว กินข้าวเสร็จแล้วเจ้าก็พักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ"

คำพูดนี้...กำลังห่วงใยนางอย่างนั้นเหรอ?

ซูชิงลั่วหัวใจเต้นแรง ก้มหน้ารับคำ

ลู่เหิงจือเมื่อเห็นท่าทางสุภาพและประหม่าของผู้หญิงตรงหน้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังเดินเข้าห้องท่านย่าไป

ซูชิงลั่วกลับมาที่ห้อง เปิดกล่องอาหารออก พบว่ามีโจ๊กปลาอยู่ชามหนึ่ง

ข้าวสวยต้มจนเปื่อย แต่เนื้อปลากลับยังสดใหม่เนื้อนุ่มเด้ง รสชาติดีมาก นางหิวมานานจึงรีบกินโจ๊กจนหมดชามอย่างรวดเร็ว

วางชามลง ในใจก็รู้สึกอิ่มเอม

นางเกิดที่จินหลิง ย่อมชอบกินปลาเป็นธรรมดา แต่ที่เมืองหลวงมีน้ำน้อย คนตระกูลลู่ก็ไม่ชอบกินปลา ถึงวันเทศกาลทีบนโต๊ะจึงจะมีปลาสักตัว แถมยังไม่สด นางจึงไม่ค่อยชอบ

ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เพราะบารมีของลู่เหิงจือ นางจึงได้กินปลาสดๆ ในเมืองหลวงแบบนี้

กินเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็รู้สึกง่วงจนไม่สามารถทนลืมตาต่อได้ จึงหลับไป

ตื่นมาอีกที แสงอาทิตย์ยามเย็นก็ส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่างลงบนกำแพงอิฐในห้อง

นางหลับไปนานขนาดนี้เชียว!

ซูชิงลั่วรีบลุกขึ้นทันที หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ไปที่ห้องท่านยายที่อยู่ติดกัน

ภายในห้องมีเพียงเฉียนเหวินหลิงและลู่เหิงจือสองคน

ซูชิงลั่วเดินไปหยุดที่ข้างเตียง มองไปที่ท่านยาย

ผมของนางขาวจนเกือบทั้งหัวแล้ว เหลือเพียงไม่กี่เส้นที่ยังเป็นสีเทา ตกกระจายอยู่บนหมอน ใบหน้าซีดเหลือง ตาปิดสนิท หายใจสงบ ราวกับกำลังหลับอยู่

เฉียนเหวินหลิงพูดเบาๆ ว่า "เมื่อสองชั่วโมงก่อนเพิ่งป้อนยาไป ท่านแม่ดื่มเข้าไปหมดแล้ว"

ซูชิงลั่วค่อยโล่งใจไปครึ่งหนึ่ง แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าจะไปดูลู่เหิงจือ

เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้สีแดงตัวหนึ่ง ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินลายพญางูไม่มีแม้แต่รอยยับย่น

อาจเพราะไม่ได้หลับมาทั้งวันทั้งคืน สีหน้าของเขาจึงเผยความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาคู่นั้นก็ปรากฎรอยแดงออกมาจางๆ

ซูชิงลั่วรู้สึกสงสารเล็กน้อย

เฉียนเหวินหลิงก็รีบพูดขึ้นว่า "ชิงลั่วมาแล้ว เจ้าจะวางใจกลับไปพักผ่อนได้แล้วยัง?"

จากคำพูดนั้นน่าจะหมายถึงว่านางได้พยายามเกลี้ยกล่อมลู่เหิงจือหลายครั้งแล้ว

ลู่เหิงจือเงยหน้ามองซูชิงลั่วครั้งหนึ่ง พยักหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงไอแหบๆ ของท่านยายจากบนเตียง

ซูชิงลั่วหันกลับไปทันที พบว่าท่านยายกำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้น

"ท่านยาย ท่านตื่นแล้ว..." น้ำตาของนางไหลพราก จับมือของหญิงชราไว้ "ท่านยายรู้สึกอย่างไรบ้างคะ? หิวไหม? อยากกินข้าวไหมเจ้าคะ?"

หญิงชราฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแหบพร่า "น้ำ..."

"ได้ค่ะ เดี๋ยวข้าไปเทให้นะเจ้าคะ" ซูชิงลั่วรีบตอบ เมื่อหันกลับมาก็เจอลู่เหิงจือยืนอยู่ข้างหลัง แล้วยื่นถ้วยน้ำชาสีชมพูมาให้นาง

ซูชิงลั่วแตะที่ผนังถ้วย อุณหภูมิน้ำกำลังดี จึงรีบรับมาแล้วก้มตัวลงค่อยๆ ป้อนให้หญิงชราดื่ม

หญิงชราดื่มน้ำไปครึ่งถ้วย รู้สึกหิว เฉียนเหวินหลิงจึงรีบสั่งให้คนไปที่ครัวเพื่อเอาข้าวต้มมา และเรียกเยว่เออร์มาเพื่อช่วยดูแล

ซูชิงลั่วและเยว่เออร์ช่วยกันประคองหญิงชราให้นั่งขึ้นบนเตียง เยว่เออร์หยิบหมอนมาให้เพื่อให้หญิงชราหนุนหลังอย่างสบาย

เมื่อหญิงชราเอนตัวสบายแล้วจึงสังเกตเห็นว่าในห้องมีลู่เหิงจืออยู่ด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

นางเอ่ยปากพูดด้วยเสียงที่อ่อนแรง "โรคนี้ของข้าก็แค่โรคเก่าเท่านั้น ทำไมถึงต้องรบกวนเหิงจือด้วยล่ะ?"

คำถามนี้ของนางไม่แปลกเลย

ลู่เหิงจือเป็นเพียงหลานเลี้ยง ไม่ได้มาคอยปรนนิบัติยามเช้าค่ำบ่อยๆ อีกทั้งมีตำแหน่งสูงและยุ่งมาก จะมีเวลาว่างได้อย่างไร?

ลู่เหิงจือลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เมื่อท่านย่าไม่สบาย หลานก็มาปรนนิบัติ ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นการรบกวน"

หญิงชรายิ้ม "เจ้าช่างเป็นหลานที่กตัญญู"

แต่ในใจกลับคิดว่า เกรงว่าสังขารของตนอาจจะไม่ไหวแล้ว

ในตอนนี้สาวใช้ได้นำข้าวต้มถ้วยหนึ่งมา บอกว่าหมอหลวงซ่งสั่งไว้ให้กินอันนี้ก่อน

ซูชิงลั่วกำลังจะรับมา แต่ก็เห็นว่าลู่เหิงจือที่อยู่ใกล้ๆ ได้รับถ้วยมาก่อนแล้วส่งให้นางด้วยท่าทีนิ่งๆ

นางไม่ทันได้คิดมาก ยื่นมือไปรับ แต่บังเอิญสัมผัสโดนกับปลายนิ้วที่เย็นน้อยๆ ของเขา

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 11

    ความเย็นราวกับน้ำพุบนภูเขานั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจของซูชิงลั่วนางหดมือกลับมาอย่างรวดเร็วราวกลับถูกน้ำร้อนลวก จนข้าวต้มถ้วยนั้นเกือบจะหกคว่ำ โชคดีที่ลู่เหิงจือจับไว้ได้อย่างมั่นคงใบหน้าของซูชิงลั่วแดงขึ้นในทันทีท่าทางของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ในสายตาคนอื่นเกรงว่าจะดูค่อนข้างสนิทสนมกันไปสักหน่อยลู่เหิงจือยื่นถ้วยให้นางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า "ระวังนะ มันร้อนอยู่"เมื่ออธิบายเช่นนี้แล้ว ทำให้การหดมือกลับของเธอเมื่อครู่นี้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นซูชิงลั่วรับถ้วยลายครามมา "ขอบคุณท่านสาม..."หลังจากพูดจบถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียกเขาว่าท่านสามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าพึ่งสัญญาว่าจะจำว่าต้องเรียกเขาพี่สาม แต่ตอนนี้กลับลืม ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของลู่เหิงจือมีรอยยิ้มวาบผ่านไปอะไรกันนางเรียกเขาผิดไม่ใช่เหรอ? เขายังยิ้มอีกเหรอ?ถึงแม้ซูชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาคิดมากเรื่องเขา นางหันกลับไปและค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ท่านยายทีละนิดด้วยความอดทนท่านยายกินข้าวต้มไปได้ครึ่งถ้วยก็ต้องการน้ำล้างปาก ซูชิงลั่วหันไป ลู่เ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 12

    เมื่อคืนซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสบาย ในหัวนางมักจะนึกถึงท่าทางของลู่เหิงจือ ราวกับถูกฝันร้ายตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงตอนที่ไปล้างหน้าที่ห้องข้างๆ จื๋อหยวนก็มากระซิบที่หูนางว่า "เช้านี้ก่อนที่คุณชายเหิงที่สามจะไปเข้าร่วมประชุมขุนนางตอนเช้า เขาได้สั่งเป็นพิเศษว่าท่านย่าต้องพักผ่อนอย่างสงบและห้ามใครพูดมากต่อหน้าท่านย่า"ซูชิงลั่วได้ยินแล้วก็โล่งใจไปอีกเรื่องลู่เหิงจือมีงานราชการมากมาย แต่กลับจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ เขาช่างรอบคอบจริงๆซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้า ในใจก็คิดว่าลู่เหิงจือช่วยนางมากมายขนาดนี้ ควรจะขอบคุณเขาอย่างไรดีตามหลักแล้ว การขอบคุณคนก็ควรจะต้องว่าตามที่เขาชอบ แต่ลู่เหิงจือมักจะควบคุมคนรับใช้เคร่งครัด ความชอบของเขาไม่เคยรั่วไหลออกมา แม้แต่การสอบถามก็ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามการให้เงินโดยตรงก็ดูเหมือนจะเป็นการดูหมิ่นท่านอัครมหาเสนาบดีที่มีอำนาจมากท่านนี้เกินไปซูชิงลั่วจนปัญญา ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงท่านยายตื่นนอน นางจึงเข้าไปปรนนิบัติก่อนร่างกายหญิงชราดีขึ้นมากแล้ว นอกจากกินอาหารเยอะขึ้นแล้ว ยังพูดคุยกับเหล่าลูกสะใภ้และหลานสาวหลายคนที่มาเยี่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 13

    ลู่เหิงจือยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มองดูดอกท้อที่เบ่งบานสวยงาม กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า "ข้าคืออัครมหาเสนาบดีของราชสำนัก เมื่อคุณหนูซูมาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยนาง ท่านแม่อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูซูต้องเสื่อมเสียเลย"เฉียนเหวินหลิงรู้สึกอึดอัดชั่วขณะ "แม่ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่มีความสนใจ ก็ช่างเถิด..."แม้นางจะมีบุตรชายสองคน แต่บุตรชายคนโตก็เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก ส่วนบุตรชายคนที่สองก็เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ต้องกินยาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อลู่จือ สามีของนาง บอกให้นางรับลู่เหิงจือเป็นบุตร นางจึงกัดฟันยอมรับ โดยหวังจะมีที่พึ่งพิงในอนาคตแต่อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่าย แม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน และเขาก็มักจะมาทำความเคารพนางเป็นประจำ แต่ก็ยังมีระยะห่างอยู่เสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางยังไม่รู้เลยว่าเขาชอบกินอะไรกันแน่หลายวันนี้นางเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีความสนใจในตัวซูชิงลั่ว จึงคิดจะทำคะแนนกับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ สายตามองไปที่แจกันกระเบื้องสีขาวตรงหน้า กล่าวว่า "แจกันน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 14

    ที่ฝ่ามือรู้สึกเจ็บแปลบ ซูชิงลั่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้และรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบจะในทันที ประตูก็ถูกลงกลอนจากด้านนอกนางกัดฟันและทุบประตูอย่างแรง พร้อมกับตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับนางพิงกำแพงและตรวจสอบสถานการณ์ภายในห้องอย่างระมัดระวังห้องนี้หันไปทางเหนือ อากาศเย็นและชื้น ในกลิ่นหอมแปลกๆ นั้นผสมผสานไปกับกลิ่นเชื้อรา ไม่เหมือนห้องที่ใช้รับรองแขกปกติองค์หญิงอวี้หยางเป็นคนทำร้ายนางหรือ? ทำไมล่ะ? นางไม่เคยพบองค์หญิงอวี้หยางมาก่อนเลยนะหรือบางที อาจมีคนแอบอ้างชื่อองค์หญิงอวี้หยางมาทำร้ายนางก็ได้ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะหนีออกไปได้อย่างไรซูชิงลั่วรีบเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่งและพยายามผลักออก อย่างที่คิด หน้าต่างถูกตอกปิดตายไว้ยังมีอีกบานหนึ่งนางวิ่งไปที่หน้าต่างบานนั้นพร้อมกับความหวังสุดท้าย ปรากฏว่ามันสามารถเปิดได้!แต่ทันทีที่เปิดออก นางก็ต้องสิ้นหวังอีกครั้ง เพราะข้างล่างหน้าต่างเป็นหน้าผา แม้จะไม่ลึกจนมองไม่เห็นก้น แต่ถ้ากระโดดลงไปก็คงต้องตายแน่ๆสิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวยิ่งขึ้น คือร่างกายของนางเริ่มรู้สึกไม่ปกติ นอกจากร่างกายจะเริ่มร้อนขึ้นแล้ว ขาทั้งสองข้างก็เริ่ม

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 15

    ลู่เหิงจือลุกขึ้น รินน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง อุ้มนางขึ้นด้วยมือข้างเดียวและส่งน้ำไปที่ริมฝีปากของนางนางกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว"ต้องการอีกไหม?" เขาถามซูชิงลั่วพยักหน้าลู่เหิงจือเตรียมจะลุกไปรินน้ำให้นางอีกครั้ง แต่ก็ถูกนางจับข้อมือเอาไว้ทันทีใบหน้านางแดงระเรื่อ เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนหวาน เรียกเขาว่า "พี่สาม..."แววตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อย มองดูนางร่างกายของซูชิงลั่วเหมือนกับมีไฟลุก บางที่ก็รู้สึกทั้งคันและชา ก่อนที่จะรู้ตัว นางก็จับข้อมือของลู่เหิงจือไว้แล้วข้อมือของเขาขาวสะอาดและผอมเพรียวแต่ก็ทรงพลังซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดุจพระจันทร์ สีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่กระพริบตา ราวกับเป็นพระจันทร์ที่สูงสง่าเสื้อคลุมยาวนั้นปักลายเถาไม้สีเขียว ดูเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยเข้าไปในใจของนางนางเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆซูชิงลั่วกัดริมฝีปากแน่น จนกลิ่นคาวเลือดกระจายเข้าสู่ปากทันทีหยดเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากล่าง ลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น บีบคางของนางไว้ "อย่ากัด ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือไง?"น้ำเสียงของเขากลับแฝงไว้ด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 16

    จื๋อหยวนร้องไห้ด้วยความกังวลหลังจากทำซูชิงลั่วหาย จากนั้นก็รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้นายหญิงใหญ่เฉียนเหวินหลิงรับทราบเฉียนเหวินหลิงเองก็ร้อนใจอย่างมาก แต่ไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต จึงสั่งให้คนของนางทั้งหมดออกไปตามหา เมื่อเห็นว่าฟ้าเกือบจะมืดแล้วแต่ยังไม่เจอตัว ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจมากขึ้นจื๋อหยวนเองก็ออกไปตามหาซูชิงลั่วท่ามกลางสายฝน จนกระทั่งใกล้ค่ำก็มีชายชุดดำคนหนึ่งมาพร้อมหยกชิ้นหนึ่ง ถามว่านางใช่จื๋อหยวนหรือไม่และบอกให้นางเอาเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งตามเขาไปหยกชิ้นนั้นนางเคยเห็นตอนที่เอารายการของขวัญไปให้ลู่เหิงจือ จึงจำได้ทันทีนางกลัวว่าคุณหนูจะเกิดเรื่อง จึงไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต โชคดีที่ก่อนออกจากจวนนางเอาเสื้อผ้าสำรองมาด้วย จึงรีบตามชายคนนั้นมาอย่างรวดเร็วใครจะคิดว่าเมื่อเข้ามาในห้องแล้ว จะทำให้นางตกใจจนเกือบจะล้มลงคุณหนูของนางนอนอยู่บนเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กระโปรงหายไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงระเรื่อและมีเหงื่อรื้นเต็มหน้าผากส่วนอีกด้านหนึ่ง ลู่เหิงจือในชุดเรียบร้อยกำลังค่อยๆ ผูกเข็มขัดอย่างใจเย็นจื๋อหยวนถลึงตาโตด้วยความตกใจ...คุณหนูคงจะไม่ได้ถูกเขา...หัวใ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 17

    พูดจบก็จะเช็ดน้ำตาอีกซูชิงลั่วตบมือของนางเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ครั้งนี้เป็นเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือว "ข้าเอง"ซูชิงลั่วรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง "เชิญเข้ามา"เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางก็อดรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ลู่เหิงจือเข้ามาในห้อง ในมือถือกล่องข้าวไว้กล่องหนึ่งและเอาวางลงบนโต๊ะ"อาหารของวัดค่อนข้างจืดชืด พวกเจ้าก็ทนทานกันสักหน่อยเถอะ"ซูชิงลั่วกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ได้ยินเสียงพูดแกมสั่งของลู่เหิงจือ"นั่งพูดกัน"นางจึงต้องนั่งอยู่ที่เดิมและพูดว่า "ขอบคุณ…ใต้เท้า"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว "ใต้เท้า?"ความหมายนั้นดูเหมือนจะกำลังถามว่าทำไมถึงเรียกเขาแบบนี้สินะ?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ที่เรียกเช่นนี้ก็ด้วยความจนใจเขาไม่ยอมให้นางเรียกว่าท่านสาม ในสถานการณ์แบบนี้นางก็ไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่สามได้จริงๆ จึงต้องหาคำเรียกใหม่โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่สนใจเรื่องชื่อนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "ทางท่านแม่ข้าจะไปบอกเอง เจ้าไม่ต้องกังวล กินอาหารเสร็จแล้วเจ้าก็พักผ่อนซะ พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า"แน่นอนเขาคงจะถามว่าทำไมนางถึงได้มีสภาพเช่นนี้ซูชิงลั่วพยักหน้า

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 18

    "อยู่ที่...ที่เจ้าหรือ?" ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉียนเหวินหลิงถึงจะตั้งสติได้ "ทำไมชิงลั่วไปอยู่ที่เจ้าได้ล่ะ?"ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดต่างๆ ผ่านเข้ามาในหัวนาง แต่ก็ไม่กล้าเชื่อสักอย่างไหนเขาบอกเองว่าไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับซูชิงลั่วไม่ใช่หรือ?แล้วตอนนี้เขากลับกักตัวนางไว้หมายความว่าอย่างไร?ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังพูดเรื่องหนึ่งที่ธรรมดามาก"เรื่องนี้ข้ามีความคิดของข้าเอง ขอให้ท่านแม่อย่าเข้ามายุ่ง ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า"เขาชินแล้วกับการควบคุมทุกอย่าง แต่ซูชิงลั่วเป็นเหมือนกับแก้วตาดวงใจของหญิงชรา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางจะอธิบายยังไงเฉียนเหวินหลิงมีสีหน้าลำบากใจ "แต่ท่านย่า…""ท่านแม่แค่สั่งการบ่าวรับใช้ให้ดีก็พอ" ลู่เหิงจือพูดขัดจังหวะ "ด้านท่านย่า ข้าจะไปพูดด้วยตัวเอง"พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เฉียนเหวินหลิงก็รู้ดีว่านางคงยุ่งเกี่ยวอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้อีกช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีคนไปพูดกับท่านแม่แล้วนางถอนหายใจอย่างจนใจ กำลังจะกำชับอะไรอีก ลู่เหิงจือก็เดินออกไปแล้วคืนนั้นซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสนิท ลมฝนบนภูเขาทำให้ประตูและหน้าต่างกระท่อมไม้ไผ่เกิด

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status