Share

บทที่ 13

Author: หอมดังเดิม
last update Last Updated: 2024-07-30 13:49:24
ลู่เหิงจือยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มองดูดอกท้อที่เบ่งบานสวยงาม กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า "ข้าคืออัครมหาเสนาบดีของราชสำนัก เมื่อคุณหนูซูมาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยนาง ท่านแม่อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูซูต้องเสื่อมเสียเลย"

เฉียนเหวินหลิงรู้สึกอึดอัดชั่วขณะ "แม่ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ถ้าเจ้าไม่มีความสนใจ ก็ช่างเถิด..."

แม้นางจะมีบุตรชายสองคน แต่บุตรชายคนโตก็เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก ส่วนบุตรชายคนที่สองก็เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ต้องกินยาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อลู่จือ สามีของนาง บอกให้นางรับลู่เหิงจือเป็นบุตร นางจึงกัดฟันยอมรับ โดยหวังจะมีที่พึ่งพิงในอนาคต

แต่อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่าย แม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน และเขาก็มักจะมาทำความเคารพนางเป็นประจำ แต่ก็ยังมีระยะห่างอยู่เสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางยังไม่รู้เลยว่าเขาชอบกินอะไรกันแน่

หลายวันนี้นางเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีความสนใจในตัวซูชิงลั่ว จึงคิดจะทำคะแนนกับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธ

ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ สายตามองไปที่แจกันกระเบื้องสีขาวตรงหน้า กล่าวว่า "แจกันนี้สวยดี ไม่ทราบว่าท่านแม่จะยอมสละให้ได้หรือไม่?"

แจกันกระเบื้องสีขาวนี้เป็นของที่ทำจากเตาเผาธรรมดา แต่ว่ารูปทรงสวยงาม ไม่ได้มีมูลค่าอะไร

เฉียนเหวินหลิงรีบยิ้มและกล่าวว่า "แน่นอน หากเหิงจือชอบก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจกับแม่หรอก"

ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบว่า "เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านแม่มาก"

เขาสั่งให้คนนำแจกันและดอกท้อในแจกันไปด้วย

เฉียนเหวินหลิงชอบดอกท้อมาตลอด แต่เดิมคิดจะขอเก็บไว้ แต่คิดว่าแค่ดอกไม้หนึ่งดอกเท่านั้น เอาไว้เก็บใหม่คราวหลังก็ได้ จึงส่งให้ลู่เหิงจือไปพร้อมกัน เพื่ออยากเอาใจเขา

*

แม้ว่าซูชิงลั่วจะไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีสัมพันธ์อะไรกับลู่เหิงจือ แต่การได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่าไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนาง ทำให้ใจของนางเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

ราวกับหัวใจของนางถูกเข็มเล็กๆ แทงเข้าไปอย่างช้าๆ แม้ภายนอกจะดูไม่มีบาดแผลแต่กลับรู้สึกเจ็บแปลบ

นางคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะลู่เหิงจือเคยช่วยนางหลายครั้ง นางจึงอดรู้สึกดีกับเขาไม่ได้ แต่ก็เท่านั้นเอง

แต่ความรู้สึกนี้ไม่อาจระบายออกมาได้ ขณะที่นางกำลังนั่งทานอาหารเย็นกับท่านยาย นางก็รู้สึกอึดอัดและไม่มีชีวิตชีวา

หญิงชราคิดว่านางอาจจะแค่เหนื่อยจากการดูแลตัวเองหลายวัน จึงกล่าวว่า "ยายไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว วันนี้เจ้ากลับไปนอนพักผ่อนดีๆ เถอะ อีกสองสามวันค่อยออกไปเที่ยววัดทำบุญกับท่านน้าใหญ่เจ้าเพื่อผ่อนคลาย”

นางพยักหน้าตอบรับ

หลังจากอาหารเย็น ซูชิงลั่วกลับไปที่เรือนพักของตนเองและสั่งให้จื๋อหยวนนำอ่างทองเหลืองมา นางจุดไฟเผาชุดแต่งงาน ผ้าห่ม และถุงหอมที่ปักค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง

ในที่สุดนางก็ตัดความสัมพันธ์กับลู่เหยียนได้อย่างเด็ดขาดสักที

แต่สำหรับลู่เหิงจือ...

ซูชิงลั่วหลุบตาลง นั่งอยู่ภายใต้แสงตะเกียง นางไม่สามารถตัดสินใจได้

จนกระทั่งจื๋อหยวนมาเร่งให้นางพักผ่อน นางจึงถอนหายใจและกล่าวว่า "นำสมุดบัญชีในคลังมาให้ข้าที"

ตอนที่มาจากจินหลิง ลู่โย่วช่วยนางจ้างกองทหารคุ้มกัน เพราะนำของดีๆ มีค่ามาด้วยมากมายจริงๆ

นางพลิกดูไปทีละหน้า สุดท้ายก็เลือกหยกพระพุทธรูปองค์หนึ่ง นาฬิกาแบบตะวันตกเรือนหนึ่ง และปะการังสีแดงเพลิงกอหนึ่ง

ตระกูลซูเดิมทีเป็นพ่อค้าของหลวง และมีเรือสินค้าออกทะเล ดังนั้นนางจึงเคยเห็นของดีๆ มามากมายนับไม่ถ้วน

ของที่ถูกนำมายังเมืองหลวง ย่อมเป็นของชั้นยอดในชั้นยอด

แม้ลู่เหิงจือจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่ก็คงมีโอกาสที่จะต้องให้ของขวัญกันบ้าง ของสามสิ่งนี้คาดว่าเขาคงจะได้ใช้แน่

ซูชิงลั่วให้จื๋อหยวนนำกระดาษสีแดงมา จากนั้นนางก็จรดพู่กันเขียนรายการของขวัญด้วยตัวเองอย่างตั้งใจ เมื่อคิดไปคิดมา นางจึงเพิ่มโสมอายุร้อยปีจากคลังเข้าไปอีกสองหัว

"พรุ่งนี้เช้าให้คนส่งของพวกนี้ไปให้คุณชายเหิงที่สาม บอกว่าเป็นของแทนคำขอบคุณท่านสามจากข้า"

จื๋อหยวนมองดูด้วยความประหลาดใจ "เจ้าค่ะ"

หลังจากเขียนรายการของขวัญเสร็จ ซูชิงลั่วก็รู้สึกเหมือนในใจมันว่างเปล่า

หากของถูกส่งไปแล้ว กับคนผู้นั้นก็คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว

ไม่รู้ทำไม ใจของนางจึงรู้สึกเศร้านัก

ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว นางจึงหยิบบัญชีร้านค้าที่นางหลิ่วนำมาส่งให้ขึ้นมาอ่านแทน

ร้านค้ากว่าห้าสิบร้าน รายการบัญชีไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย แต่นางเพียงแค่พลิกดูสามเล่มอย่างลวกๆ นางก็เห็นแล้วว่าทุกเล่มล้วนมีปัญหา

เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ขึ้นอยู่กับว่านางจะเอาเรื่องหรือไม่

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเลือกที่จะไม่เอาเรื่อง เพราะอย่างไรร้านค้าก็ได้กลับมาแล้ว อีกทั้งไม่อยากรบกวนคนผู้นั้นตลอดเวลาด้วย

เมื่อเห็นว่าดึกแล้วและรู้สึกง่วง ซูชิงลั่วจึงนอนพัก

วันรุ่งขึ้นนางตื่นสายเล็กน้อย หลังจากไปคารวะท่านยายแล้ว นางก็ให้จื๋อหยวนไปส่งรายการของขวัญที่เรือนหน้า ส่วนตัวนางก็ดูบัญชีร้านค้าต่อ แต่ก็ไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไร

อากาศเริ่มอุ่นขึ้น แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ตกลงบนใบเขียวของดอกโบตั๋นบนโต๊ะทำงาน

ซูชิงลั่วมองดูแสงเรืองรองบนใบสีเขียวเคลื่อนที่ไปทีละน้อย ไม่รู้ว่านานแค่ไหน จื๋อหยวนก็กลับมา แต่ในมือยังคงถือรายการของขวัญสีแดงนั้นอยู่

ซูชิงลั่วถามออกไปอย่างเหม่อลอยว่า "เขาไม่อยู่ที่จวนหรือ?"

จื๋อหยวนตอบว่า "ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวรอตลอดทั้งเช้า ในที่สุดก็เจอคุณชายเหิงที่สามที่เพิ่งกลับจากศาลาว่าการ จึงรีบส่งรายการของขวัญไปให้ แต่คุณชายเหิงที่สามแค่มองดูแวบเดียว แล้วก็ให้บ่าวนำกลับมาเจ้าค่ะ"

เขาไม่ยอมรับของขวัญ

ซูชิงลั่วรู้สึกตื่นเต้นในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ "เขาบอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?"

จื๋อหยวนพยักหน้า "บอกเจ้าค่ะ คุณชายเหิงที่สามบอกว่า "เก็บไว้เป็นสินเดิมของคุณหนูเจ้าเถอะ" บ่าวรู้สึกว่าเขาดูไม่ค่อยพอใจเจ้าค่ะ"

จื๋อหยวนเอียงคอ "คุณหนู มีคนให้ของล้ำค่าเช่นนี้กับเขา เหตุใดเขาถึงไม่พอใจล่ะเจ้าคะ?"

ซูชิงลั่วยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น "ข้าก็ไม่รู้ บางทีอาจเป็นเจอเรื่องยุ่งยากในราชสำนักมาก็เป็นได้ หรือไม่ก็ท่านอัครมหาเสนาบดีคงเป็นผู้เคร่งครัดไม่ชอบรับของขวัญจากใครกระมัง"

นางถอนหายใจ "เก็บของพวกนี้ไปเถอะ"

ดูเหมือนว่าทั้งนางและของของนางคงจะไม่เข้าตาเขาสินะ

ซูชิงลั่วจึงต้องพักเรื่องขอบคุณลู่เหิงจือเอาไว้ก่อน

หลังจากดูบัญชีร้านค้ามาหลายวัน เมื่อพ้นเทศกาลเช็งเม้ง ซูชิงลั่วก็ไปขอพรเพื่อท่านยายกับเฉียนเหวินหลิงที่วัดเซิ่งอัน

ทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกัน ความกระตือรือร้นก่อนหน้านี้ของเฉียนเหวินหลิงที่มีต่อนางเนื่องจากลู่เหิงจือลดลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ

หลังจากไหว้พระเสร็จและเตรียมตัวกลับ จู่ๆ บ่าวรับใช้ก็รายงานว่ารถม้าพัง

ทั้งหมดจึงต้องพักผ่อนกันที่ห้องรับรองก่อน ดื่มน้ำชาและทานของว่าง

ในตอนนั้นก็มีแม่ชีเด็กอายุประมาณสิบกว่าปีเคาะประตูแล้วถามว่า "ขอถามว่าใช่คุณหนูซูจากบ้านตระกูลลู่หรือไม่? ข้างหน้ามีองค์หญิงอวี้หยางมา บอกว่าอยากเชิญคุณหนูซูไปพูดคุย"

ซูชิงลั่วรู้สึกงงงวย

วัดเซิ่งอันไม่ใช่วัดหลวง องค์หญิงอวี้หยางเป็นธิดาของอดีตฮองเฮา ศักดินาสูงส่งและเป็นที่รักมาก ทำไมถึงมาที่นี่ได้ หรือว่าเพราะวัดเซิ่งอันมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ?

แต่ต่อให้องค์หญิงอวี้หยางจะมาที่นี่จริงๆ ทำไมถึงต้องเชิญนางไปพูดคุยด้วย? นางไม่ได้รู้จักกับองค์หญิงอวี้หยางสักหน่อย

เฉียนเหวินหลิงกระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วเรียกนางมาข้างหน้า พูดเบาๆ ว่า "ได้ยินว่าองค์หญิงอวี้หยางพึงพอใจในตัวเหิงจือ อาจเป็นเพราะเหตุนี้นางถึงได้เชิญเจ้าไป เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก แค่ไปพูดคุยกับนางก็พอ ก่อนหน้านี้นางก็เคยเชิญหมิงซือไปแล้ว"

ลู่หมิงซือเป็นน้องสาวของลู่เหยียน และเป็นบุตรสาวของนางหลิ่ว

เนื่องจากซูชิงลั่วถูกหมั้นหมายกับลู่เหยียนตั้งแต่อายุสิบสองปี จึงไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในเมืองหลวงเท่าไร

เมื่อได้ยินเฉียนเหวินหลิงพูดเช่นนี้ นางจึงผ่อนคลายลง จัดเสื้อผ้าแล้วพาจื๋อหยวนเดินออกไป

เดินไปได้สักระยะ ก็มีลมเย็นพัดผ่านมา

แม่ชีเด็กกล่าวว่า "ในภูเขาอากาศเย็น หากคุณหนูเป็นหวัดเพราะอากาศหนาว จะเป็นความผิดของพวกเราได้ ควรนำผ้าคลุมกันลมไปด้วยจะดีกว่า"

ซูชิงลั่วรู้สึกหนาวจริงๆ จึงให้จื๋อหยวนกลับไปเอาผ้าคลุมกันลม

แม่ชีเด็กชี้ไปที่ห้องรับรองที่อยู่ไม่ไกลนัก "คุณหนูไปรอที่ห้องนั้นก่อนดีกว่า จะอบอุ่นกว่าหน่อย"

ซูชิงลั่วพยักหน้าและเดินตามนางไป

เมื่อผลักประตูออก ห้องรับรองนั้นดูมืดน่ากลัวมาก แถมข้างในก็ยังมีกลิ่นหอมแปลกๆ

ซูชิงลั่วรู้สึกว่าผิดปกติ นางจึงคิดจะถอยออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็ถูกคนผลักเข้ามาอย่างแรง ทำให้นางล้มเข้าไปในห้อง
Comments (1)
goodnovel comment avatar
김나다
น.อ โง่จริงๆใช่ใหม ไม่สู้คนจริงๆใช่ใหม......
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 14

    ที่ฝ่ามือรู้สึกเจ็บแปลบ ซูชิงลั่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้และรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบจะในทันที ประตูก็ถูกลงกลอนจากด้านนอกนางกัดฟันและทุบประตูอย่างแรง พร้อมกับตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับนางพิงกำแพงและตรวจสอบสถานการณ์ภายในห้องอย่างระมัดระวังห้องนี้หันไปทางเหนือ อากาศเย็นและชื้น ในกลิ่นหอมแปลกๆ นั้นผสมผสานไปกับกลิ่นเชื้อรา ไม่เหมือนห้องที่ใช้รับรองแขกปกติองค์หญิงอวี้หยางเป็นคนทำร้ายนางหรือ? ทำไมล่ะ? นางไม่เคยพบองค์หญิงอวี้หยางมาก่อนเลยนะหรือบางที อาจมีคนแอบอ้างชื่อองค์หญิงอวี้หยางมาทำร้ายนางก็ได้ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะหนีออกไปได้อย่างไรซูชิงลั่วรีบเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่งและพยายามผลักออก อย่างที่คิด หน้าต่างถูกตอกปิดตายไว้ยังมีอีกบานหนึ่งนางวิ่งไปที่หน้าต่างบานนั้นพร้อมกับความหวังสุดท้าย ปรากฏว่ามันสามารถเปิดได้!แต่ทันทีที่เปิดออก นางก็ต้องสิ้นหวังอีกครั้ง เพราะข้างล่างหน้าต่างเป็นหน้าผา แม้จะไม่ลึกจนมองไม่เห็นก้น แต่ถ้ากระโดดลงไปก็คงต้องตายแน่ๆสิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวยิ่งขึ้น คือร่างกายของนางเริ่มรู้สึกไม่ปกติ นอกจากร่างกายจะเริ่มร้อนขึ้นแล้ว ขาทั้งสองข้างก็เริ่ม

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 15

    ลู่เหิงจือลุกขึ้น รินน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง อุ้มนางขึ้นด้วยมือข้างเดียวและส่งน้ำไปที่ริมฝีปากของนางนางกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว"ต้องการอีกไหม?" เขาถามซูชิงลั่วพยักหน้าลู่เหิงจือเตรียมจะลุกไปรินน้ำให้นางอีกครั้ง แต่ก็ถูกนางจับข้อมือเอาไว้ทันทีใบหน้านางแดงระเรื่อ เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนหวาน เรียกเขาว่า "พี่สาม..."แววตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อย มองดูนางร่างกายของซูชิงลั่วเหมือนกับมีไฟลุก บางที่ก็รู้สึกทั้งคันและชา ก่อนที่จะรู้ตัว นางก็จับข้อมือของลู่เหิงจือไว้แล้วข้อมือของเขาขาวสะอาดและผอมเพรียวแต่ก็ทรงพลังซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดุจพระจันทร์ สีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่กระพริบตา ราวกับเป็นพระจันทร์ที่สูงสง่าเสื้อคลุมยาวนั้นปักลายเถาไม้สีเขียว ดูเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยเข้าไปในใจของนางนางเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆซูชิงลั่วกัดริมฝีปากแน่น จนกลิ่นคาวเลือดกระจายเข้าสู่ปากทันทีหยดเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากล่าง ลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น บีบคางของนางไว้ "อย่ากัด ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือไง?"น้ำเสียงของเขากลับแฝงไว้ด

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 16

    จื๋อหยวนร้องไห้ด้วยความกังวลหลังจากทำซูชิงลั่วหาย จากนั้นก็รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้นายหญิงใหญ่เฉียนเหวินหลิงรับทราบเฉียนเหวินหลิงเองก็ร้อนใจอย่างมาก แต่ไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต จึงสั่งให้คนของนางทั้งหมดออกไปตามหา เมื่อเห็นว่าฟ้าเกือบจะมืดแล้วแต่ยังไม่เจอตัว ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจมากขึ้นจื๋อหยวนเองก็ออกไปตามหาซูชิงลั่วท่ามกลางสายฝน จนกระทั่งใกล้ค่ำก็มีชายชุดดำคนหนึ่งมาพร้อมหยกชิ้นหนึ่ง ถามว่านางใช่จื๋อหยวนหรือไม่และบอกให้นางเอาเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งตามเขาไปหยกชิ้นนั้นนางเคยเห็นตอนที่เอารายการของขวัญไปให้ลู่เหิงจือ จึงจำได้ทันทีนางกลัวว่าคุณหนูจะเกิดเรื่อง จึงไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต โชคดีที่ก่อนออกจากจวนนางเอาเสื้อผ้าสำรองมาด้วย จึงรีบตามชายคนนั้นมาอย่างรวดเร็วใครจะคิดว่าเมื่อเข้ามาในห้องแล้ว จะทำให้นางตกใจจนเกือบจะล้มลงคุณหนูของนางนอนอยู่บนเตียงในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กระโปรงหายไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงระเรื่อและมีเหงื่อรื้นเต็มหน้าผากส่วนอีกด้านหนึ่ง ลู่เหิงจือในชุดเรียบร้อยกำลังค่อยๆ ผูกเข็มขัดอย่างใจเย็นจื๋อหยวนถลึงตาโตด้วยความตกใจ...คุณหนูคงจะไม่ได้ถูกเขา...หัวใ

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 17

    พูดจบก็จะเช็ดน้ำตาอีกซูชิงลั่วตบมือของนางเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ครั้งนี้เป็นเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือว "ข้าเอง"ซูชิงลั่วรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง "เชิญเข้ามา"เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางก็อดรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ลู่เหิงจือเข้ามาในห้อง ในมือถือกล่องข้าวไว้กล่องหนึ่งและเอาวางลงบนโต๊ะ"อาหารของวัดค่อนข้างจืดชืด พวกเจ้าก็ทนทานกันสักหน่อยเถอะ"ซูชิงลั่วกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ได้ยินเสียงพูดแกมสั่งของลู่เหิงจือ"นั่งพูดกัน"นางจึงต้องนั่งอยู่ที่เดิมและพูดว่า "ขอบคุณ…ใต้เท้า"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว "ใต้เท้า?"ความหมายนั้นดูเหมือนจะกำลังถามว่าทำไมถึงเรียกเขาแบบนี้สินะ?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ที่เรียกเช่นนี้ก็ด้วยความจนใจเขาไม่ยอมให้นางเรียกว่าท่านสาม ในสถานการณ์แบบนี้นางก็ไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่สามได้จริงๆ จึงต้องหาคำเรียกใหม่โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่สนใจเรื่องชื่อนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "ทางท่านแม่ข้าจะไปบอกเอง เจ้าไม่ต้องกังวล กินอาหารเสร็จแล้วเจ้าก็พักผ่อนซะ พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า"แน่นอนเขาคงจะถามว่าทำไมนางถึงได้มีสภาพเช่นนี้ซูชิงลั่วพยักหน้า

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 18

    "อยู่ที่...ที่เจ้าหรือ?" ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉียนเหวินหลิงถึงจะตั้งสติได้ "ทำไมชิงลั่วไปอยู่ที่เจ้าได้ล่ะ?"ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดต่างๆ ผ่านเข้ามาในหัวนาง แต่ก็ไม่กล้าเชื่อสักอย่างไหนเขาบอกเองว่าไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับซูชิงลั่วไม่ใช่หรือ?แล้วตอนนี้เขากลับกักตัวนางไว้หมายความว่าอย่างไร?ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังพูดเรื่องหนึ่งที่ธรรมดามาก"เรื่องนี้ข้ามีความคิดของข้าเอง ขอให้ท่านแม่อย่าเข้ามายุ่ง ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า"เขาชินแล้วกับการควบคุมทุกอย่าง แต่ซูชิงลั่วเป็นเหมือนกับแก้วตาดวงใจของหญิงชรา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางจะอธิบายยังไงเฉียนเหวินหลิงมีสีหน้าลำบากใจ "แต่ท่านย่า…""ท่านแม่แค่สั่งการบ่าวรับใช้ให้ดีก็พอ" ลู่เหิงจือพูดขัดจังหวะ "ด้านท่านย่า ข้าจะไปพูดด้วยตัวเอง"พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เฉียนเหวินหลิงก็รู้ดีว่านางคงยุ่งเกี่ยวอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้อีกช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีคนไปพูดกับท่านแม่แล้วนางถอนหายใจอย่างจนใจ กำลังจะกำชับอะไรอีก ลู่เหิงจือก็เดินออกไปแล้วคืนนั้นซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสนิท ลมฝนบนภูเขาทำให้ประตูและหน้าต่างกระท่อมไม้ไผ่เกิด

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 19

    ซูชิงลั่วรีบพูดทันทีว่า "เปล่าเจ้าค่ะ ชิงลั่วแค่…กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินใต้เท้า"ประโยคสุดท้ายนางแทบจะพูดออกมาโดยหลับตาด้วยซ้ำทันใดนั้นเสียงเย็นชาของชายหนุ่มก็ดังขึ้น "ล่วงเกินหรือ?"นางไม่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาเมื่อไหร่ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด กลิ่นหอมของไม้กฤษณาบนตัวเขาลอยมา นางจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จนหลังไปชนกับประตูไม้ไผ่ที่เย็นและแข็ง จนโดนบาดแผลอย่างไม่ทันระวังซูชิงลั่วเผลอร้องออกมาเบาๆ "ซี๊ด"ลู่เหิงจือจับไหล่นางและดึงนางมาข้างหน้าเล็กน้อย"ระวังหน่อย"ฝ่ามือของเขาอุ่นมาก เมื่อสัมผัสที่ไหล่ของนางทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมานางเงยหน้ามองเขาโดยไม่รู้ตัว เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวตามมารยาท แต่ร่างสูงของเขาก็ยังคงบดบังร่างของนางไว้อยู่ยามเช้าบนภูเขาอากาศหนาวมาก ซูชิงลั่วใส่เสื้อผ้าบางๆ และยืนอยู่ข้างนอกนานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะจามออกมาต่อหน้าลู่เหิงจืออีกแล้ว…แต่การจามเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ช่างมันเถอะ นางคิดในใจ อย่างไรเขาก็เห็นเรื่องน่าอับอายของนางมาเยอะแล้ว เพิ่มอีกเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอกแต่ทันใดนั้นไหล่นางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นลู่เหิงจือถอดเสื้อคลุมกันลมออ

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 20

    ลู่เหิงจือเงยหน้ามองซูชิงลั่วแว๊บหนึ่ง ก่อนก้มลงหยิบฟืนแห้งชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา ใช้ไม้จุดไฟจุดอย่างช้าๆ แล้วโยนลงไปในเตา มองไฟค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นบนมือ ถามนางว่า "มีอะไรหรือ?"การจุดไฟดูเหมือนเป็นงานหยาบ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ และดูสง่างามซูชิงลั่วตอบออกไปอย่างเผลอไผลว่า "ข้าต้องการมาต้มน้ำ"ลู่เหิงจือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "เจ้าต้มน้ำเป็นหรือ?"แม้ซูชิงลั่วจะมีตำแหน่งคุณหนู แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้านายในจวนลู่โดยตรงจื๋อหยวนเป็นสาวใช้ที่นางพามาด้วยจากจินหลิงและติดตามนางมาตั้งแต่เด็กแม้ท่านยายจะจัดหาสาวใช้มีอายุให้หนึ่งคนและสาวรับใช้อีกสองคนให้นาง แต่เพราะกลัวคำพูดของผู้คน ปกตินางจึงไม่กล้าใช้งานพวกนางหนักเกินไป เวลาจื๋อหยวนยุ่ง นางจึงต้มน้ำชงชาเองได้ซูชิงลั่วก้มศีรษะ "เป็น" นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า "ถ้าหากก่อไฟไว้แล้วนะเจ้าคะ"เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แต่กลับต้มน้ำเป็นด้วยลู่เหิงจือขมวดคิ้ว "ทำไมเจ้ามาเอง? สาวใช้ของเจ้าไปไหน?"ซูชิงลั่วรีบตอบ "นางมีไข้ รบกวนใต้เท้าช่วยหาหมอให้นางด้วยเถิด"ลู่เหิงจือพยักหน้าและลุกขึ้นเดินออกไปข

    Last Updated : 2024-07-30
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 21

    ซูชิงลั่วทนไม่ไหวกับความยั่วยวนนี้ นางจึงประนมมือขอโทษต่อพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ในวัด จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินต้องยอมรับว่าฝีมือทำอาหารของซ่งเหวินดีมาก ลู่เหิงจือช่างเป็นคนที่มีลาภปากเหลือเกินหลังจากกินเสร็จ จื๋อหยวนก็ตื่นขึ้นมาพอดีไข้ของนางเพิ่งจะลด เหงื่อออกทั่วตัวซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นช่วยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและลำคอของนาง ถามว่านางหิวไหมจื๋อหยวนรู้สึกหิวเล็กน้อย ร่างกายก็ฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หมอบอกว่าระหว่างกินยาต้องงดอาหารมันๆ นางจึงได้แค่ดมกลิ่นเนื้อเพื่อให้คลายความอยาก จากนั้นก็กินข้าวต้มเปล่าไปเกือบครึ่งถ้วยกับกินหัวไชเท้าดองไปเล็กน้อยหลังอาหาร ซูชิงลั่วเก็บกล่องอาหารออกไป เมื่อเปิดประตูออกก็เกือบจะชนกับอ้อมแขนของลู่เหิงจือเข้าพอดีกล่องอาหารในมือนางไหวเล็กน้อย แต่ก็ถูกมือที่มีกระดูกชัดเจนของเขาจับไว้อย่างมั่นคงลู่เหิงจือถามว่า "กินเสร็จแล้วหรือ?"บาดแผลที่แขนของซูชิงลั่วถูกกระเทือนทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย นางพยายามอดทนและพูดว่า "เจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้ากับซ่งเหวินมาก"ลู่เหิงจือไม่ตอบอะไร รับกล่องอาหารมาจากมือนางและส่งให้ซ่งเหวินที่อยู่ด้านหลัง กล่าว

    Last Updated : 2024-07-30

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status