Share

บทที่ 4

Author: หอมดังเดิม
ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจ

การถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกิน

เมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่

เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมา

วันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้า

เขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ"

"หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆ

น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว

เขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"

ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?

นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"

หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้น

โชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดี

เขาถือโคมแก้วด้วยมือข้างหนึ่งและถือตะกร้าอาหารด้วยมืออีกข้าง วิ่งเข้ามาและพูดว่า "คุณชาย เมื่อครู่ท่านดื่มเหล้าไปไม่น้อย ควรดื่มน้ำแกงแก้เมาสักถ้วย"

เมื่อหันไปเห็นซูชิงลั่ว เขาก็ชะงักไป "คุณหนูซูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?"

ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ตอบอะไร

หลู่เหิงจือส่งสัญญาณให้ซ่งเหวินวางตะกร้าอาหารไว้บนโต๊ะหินในศาลา รับโคมไฟจากเขาแล้วพูดว่า "ไปเฝ้าข้างนอกไว้"

ซ่งเหวินรู้สึกตกใจแต่ก็รีบตอบรับ

ตั้งแต่คุณชายของเขาสอบจอหงวนได้ สาวงามในเมืองหลวงที่มาทาบทามมีมากมาย รวมถึงสาวๆ ในราชวงศ์ อีกทั้งมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจจะมอบกายถวายตัวให้เขาทั้งที่ลับที่แจ้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาสนใจผู้หญิงคนไหนเลย

วันนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขายกเว้นให้ซูชิงลั่ว

เพียงแต่ว่า คุณหนูซูคนนี้เหมือนจะหมั้นหมายแล้วนี่?

คุณชายของเขาคงไม่?

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ขาของซ่งเหวินก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เขามองเข้าไปข้างในทีหนึ่ง เห็นเงาทั้งสองดูเหมือนจะใกล้ชิดกันมากขึ้นเล็กน้อย

ลู่เหิงจือยกโคมไฟในมือขึ้นและพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "ขึ้นมา"

ภายใต้แสงโคมไฟ ใบหน้าซีดๆ ของซูชิงลั่วเผยให้เห็นความดื้อรั้นเล็กน้อย ขอบตาแดงระเรื่อ นางไม่ขยับ

ลู่เหิงจือพูดขึ้นอีกครั้งว่า "เช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าลงไปหรือ?"

ซูชิงลั่วเม้มปากเล็กน้อย ครู่หนึ่งนางก็ยกกระโปรงขึ้นและเดินขึ้นไปที่ศาลา จากนั้นก็ทำความเคารพเขา

ลู่เหิงจือถอดโคมไฟออกวางไว้บนโต๊ะกลมในศาลา หลังจากที่นั่งลงก็เปิดกล่องอาหาร หยิบถ้วยน้ำแกงแก้เมาออกมาดื่มอย่างช้าๆ จนหมดก่อนจะเริ่มพูด

"ลู่เหยียนรังแกเจ้าอย่างไร?"

ซูชิงลั่วแอบตกใจเล็กน้อย

ต่างจากตอนกลางวันที่เขาถามนางว่า "ใครรังแกเจ้า" คราวนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ สมแล้วที่เขาเป็นคนมีอำนาจในราชสำนัก เดาได้แม่นยำเหลือเกิน

ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้ตอบเขาในทันที

ลู่เหิงจือรอนางสักครู่แล้วพูดอีกว่า "บอกมา ข้าจะจัดการให้"

น้ำเสียงของเขาดูมีความอดทนอย่างมาก

ซูชิงลั่วยิ่งประหลาดใจมากขึ้น ลังเลสักพัก สุดท้ายก็พูดออกมาเบาๆ ว่า "ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ"

เขาเป็นคนของบ้านใหญ่ มีสิทธิ์อะไรจะมาจัดการแทนนาง?

คนเดียวที่สามารถจัดการแทนนางได้ก็คือท่านยาย แต่ร่างกายของท่านยายไม่ดีเหมือนก่อนแล้ว นางไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้ไปรบกวนท่านยายหรอก

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของคนตรงหน้า แม้นางจะไม่พูด เขาก็คงสามารถหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็วแน่

หากบอกออกไปจริงๆ อาจกลับถูกตำหนิว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวได้

ด้วยสัญชาตญาณจากการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาคนอื่นมาหลายปี ซูชิงลั่วจึงรู้ว่าควรทำอย่างไรได้อย่างรวดเร็ว

ลู่เหิงจือลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

การปรากฏตัวของเขาทรงพลังมาก แถมมีพลังความกดดันบางอย่าง ซูชิงลั่วถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวและเงยหน้าขึ้น

ลู่เหิงจือสวมชุดยาวสีขาวสะอาด ดูบริสุทธิ์และสูงส่งดุจดวงจันทร์บนยอดเขาหิมะซึ่งไร้มลทิน

หน้าตาของเขาหล่อเหลา คิ้วตาคมกริบ นัยน์ตาเรียบเฉย น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย "เจ้าไม่เชื่อข้า?"

น้ำเสียงของเขาชัดเจนว่าไม่พอใจ

ซูชิงลั่วไม่ตอบอะไร

นัยน์ตาของลู่เหิงจือขรึมขึ้นเล็กน้อย "เหตุใดไม่ลองดูเล่า?"

ซูชิงลั่วก้มหน้าลง "ชิงลั่วไม่กล้า ไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ ชิงลั่วแค่คิดถึงบ้านเท่านั้น"

คำพูดนี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูไม่เป็นการพูดขอไปทีทั้งหมด

ลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่สักครู่ โดยไม่พูดว่าเขาเชื่อหรือไม่

ซูชิงลั่วทำความเคารพอีกครั้ง "ดึกแล้ว ท่านสามรีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ"

หลู่เหิงจือไม่พูดอะไรอีก ยื่นโคมไฟในมือให้นาง "เดินกลับดีๆ"

ซูชิงลั่วคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ลึกล้ำของเขา นางก็รับโคมไฟมาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

"ขอบคุณท่านสาม โคมไฟนี้พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนเอามาคืนให้"

"ไม่ต้อง" ลู่เหิงจือบอก "ข้าจะสั่งให้คนไปเอาเอง"

ซูชิงลั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก แบบนี้ก็สะดวกกว่ามาก

หากให้สาวใช้ของนางไปหาเขาที่เรือนหน้าก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก อาจถูกคนครหาได้ง่ายๆ

ความรู้สึกเศร้าถูกลู่เหิงจือทำให้ไขว้เขว ซูชิงลั่วรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว หลังจากกลับไปที่ห้องก็หลับไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นซูชิงลั่วก็ไปทำความเคารพท่านยาย พบว่านายหญิงหลายคนก็อยู่ที่นั่น รวมถึงนางหลิ่วก็ด้วย

เมื่อคืนท่านยายลู่ไม่สบายนิดหน่อย รู้สึกมึนหัวจึงสวมผ้าคาดศีรษะไว้ แต่เมื่อเห็นซูชิงลั่วก็กวักมือเรียกนางอย่างเอ็นดู "ชิงลั่ว มานี่เร็ว เมื่อคืนฝนตก หลับสบายดีหรือไม่? ไม่สบายหรือเปล่า?"

ซูชิงลั่วน้ำตาคลอน้อยๆ แล้วขยับเข้าไปซบอกท่านยาย "ชิงลั่วสบายดีเจ้าค่ะ ประโยคนี้ข้าน่าจะเป็นคนถามท่านยายมากกว่า เมื่อคืนอากาศเย็น ท่านยายแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกหรือเปล่าถึงได้เป็นหวัดเช่นนี้เจ้าคะ?"

ท่านยายลู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ยื่นมือไปจิ้มแก้มของนาง "ดูสิ เจ้าลิงน้อยตัวแสบพูดอะไรออกมา"

ซูชิงลั่วอยู่ทานอาหารเช้ากับท่านยายลู่ตามปกติ

ท่านยายลู่พยายามฝืนพูดอย่างกระฉับกระเฉง "ข้าเองก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มที แต่อย่างไรก็ต้องอยู่จนได้เห็นชิงลั่วของเราแต่งงานก่อน"

ซูชิงลั่วเกิดความรู้สึกเศร้าขึ้นมาในใจ

นางหลิ่วรีบพูดทันทีว่า "ถุยๆ ท่านแม่อายุยืนเป็นร้อยปี ไม่ใช่แค่ได้เห็นชิงลั่วแต่งงานเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยนางดูแลเหลนต่ออีกหลายปีด้วยนะเจ้าคะ!"

ท่านยายลู่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที "ดูสิ นายหญิงของพวกเจ้าขี้เกียจขนาดไหน เป็นแม่สามีแต่ไม่ยอมดูแลกลับให้ข้าดูแลแทน แบบนี้ได้ยังไงกัน?"

ทุกคนหัวเราะขึ้นมาทันที

ซูชิงลั่วไม่พูดอะไร เพราะนางรู้ว่านางหลิ่วตั้งใจพูดแบบนี้เพื่อให้นางยอมแต่งงานกับลู่เหยียนโดยดี

เมื่อออกจากห้องของท่านยาย นางหลิ่วก็ยิ้มพลางดึงซูชิงลั่วเข้ามาในห้อง

ลู่เหยียนรอนางอยู่ในห้องตั้งนานแล้วจริงๆ พอเห็นนางเข้ามา เขาก็ชิงตบหน้าตัวเองก่อนหนึ่งฉาด

"น้องซู เมื่อวานเป็นความผิดของข้าเอง ข้าสมควรตาย"

การตบหน้าครั้งนี้ไม่มีเสียงดังเลยสักนิด

ลู่เหยียนเข้ามาจับมือนาง แต่ถูกซูชิงลั่วสะบัดออก

ลู่เหยียนรีบหยิบจี้หยกที่ใสสะอาดออกมาให้ซูชิงลั่วชิ้นหนึ่งอย่างประจบประแจงทันที

"น้องซู นี่ข้าตั้งใจเลือกมาให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ ถือว่าเป็นของไถ่โทษ ในใจข้าเจ้าเป็นที่หนึ่งเสมอนะ"

ซูชิงลั่วรับจี้หยกมา ด้านบนสลักลายดอกกล้วยไม้ไว้

นางไม่ชอบดอกกล้วยไม้ นางชอบดอกโบตั๋น

และนางก็ไม่ชอบหยก หยกแตกหักง่าย ไม่แข็งแรงเท่าทองหรือเงิน

ซูชิงลั่วเพิ่งตระหนักว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงเขาจะเคยให้ของนางมากมาย แต่ไม่มีสักชิ้นที่นางชอบ

ยังกล้าพูดว่านางเป็นที่หนึ่งเสมออีก

เมื่อเห็นนางไม่ปฏิเสธ ลู่เหยียนก็แอบดีใจ รีบพูดว่า "ข้าแค่สงสารเยียนหราน พ่อนางเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ฐานะยากจน นางร้องไห้บอกข้าว่าใกล้จะอายุครบสิบห้าแล้วแต่ยังไม่มีปิ่นปักผมที่เหมาะสมเลย ข้าจึงได้พานางไปเดินเที่ยวดูร้านเครื่องประดับ"

"เจ้าวางใจเถิด ข้าอยากแต่งงานกับเจ้าแค่คนเดียว"

เมื่อนางหลิ่วเห็นนางรับจี้หยกไป จึงรีบจับมือนางและพูดยิ้มๆ ว่า "ใช่แล้ว เหยียนเออร์ก็แค่สับสนชั่วคราว ชิงลั่วเจ้าก็ใจกว้างหน่อยอย่าถือสาเขาเลย พวกเราก็ใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะมาทะเลาะกันทุกวันได้ยังไง"

ซูชิงลั่วหัวเราะเยาะออกมาและโยนจี้หยกลงพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

นางหลิ่วกับลู่เหยียนต่างก็ตกใจ

ซูชิงลั่วพูดด้วยอย่างเย็นชาว่า "เสียใจด้วย ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า ข้าจะถอนหมั้นแน่นอน สาเหตุพวกท่านทั้งสองก็รู้ดีแก่ใจ พูดไปก็มีแต่จะทำร้ายความรู้สึกกัน ข้าให้เวลาท่านน้าครึ่งเดือน ถ้าท่านน้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าก็คงต้องไปขอความช่วยเหลือจากท่านยาย"

นางหลิ่วตะโกนเสียงดัง "ไร้สาระ! เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ควรไปรบกวนท่านยายเจ้าหรือ? ร่างกายของท่านยายเจ้าไม่ดี เจ้าอกตัญญูขนาดนี้ได้อย่างไร?"

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 5

    ซูชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็แน่นิ่งไปการที่อาการของท่านยายไม่ดีไม่เป็นความลับ หมอบอกว่าถ้าผ่านฤดูหนาวปีนี้ได้ก็จะมีเวลาอีกหนึ่งปี แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นปีนี้เมื่อนางหลิ่วเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่กล้า จึงรีบพูดต่อว่า "เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบในเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงขั้นต้องถอนหมั้นหรอก""นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ เกรงว่าแม้แต่ท่านยายของเจ้าก็คงจะบอกให้เจ้าอดทนนั่นแหละ""เจ้าลองคิดดูสิ ผู้หญิงที่ถอนหมั้นแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี ต่อไปยังจะแต่งงานกับใครดีๆ ได้อีก?""เหยียนเออร์รู้ตัวแล้วว่าผิด เอาอย่างนี้ไหม ก่อนถึงงานแต่งของพวกเจ้า ข้าจะไม่ให้เขาออกไปไหนอีก ให้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะหายโกรธได้ไหม?""เจ้าคิดดูนะ ท่านยายของเจ้าหวังอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานขนาดไหน..."นางหลิ่วถึงขั้นยกท่านยายขึ้นมาอ้างซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก รู้สึกว่าตัวเองถูกนางหลิ่วบีบบังคับสำเร็จ ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงต้องกลับไปคิดทบทวนให้รอบคอบถ้าไม่ถอนหมั้น นางกลัวว่าจะซ้ำรอยฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าถอนหมั้นจริงๆ ชื่อเสียงของนาง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 6

    แค่ชั่วครู่ ลู่เหิงจือก็กลับมาเป็นปกติเขามองหญิงสาวที่อ่อนโยนและสวยงามตรงหน้า แล้วถามด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "การถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าคิดดีแล้วหรือ? จะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม?"ซูชิงลั่วพยักหน้า "เจ้าค่ะ ชิงลั่วคิดดีแล้ว จะไม่เสียใจเด็ดขาด"ดวงตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อยซูชิงลั่วพูด "ท่านสาม ข้ากับลู่เหยียน...""เรียกข้าว่าพี่สาม" ลู่เหิงจือพูดแทรกนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงของเขาไพเราะเหมือนน้ำพุใสไหลผ่านก้อนหินซูชิงลั่วงงกับคำพูดที่ไม่มีต้นไม่มีปลายของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องใส่ใจกับคำที่นางใช้เรียกเขาด้วยเมื่อหลายปีก่อนในงานเลี้ยงครอบครัว นางเคยเรียกเขาว่าพี่สามตามคนอื่น แต่ตอนนี้นางโตขึ้นแล้ว มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง การเรียกอย่างสนิทสนมแบบนั้นรู้สึกไม่เหมาะสมเลยเหมือนจะเข้าใจความกังวลของนาง ลู่เหิงจือรีบพูดต่อ "ในเมื่อให้ข้าจัดการให้ ยังจะทำตัวห่างเหินกับข้าอีกหรือ?"ที่แท้เขาหมายถึงอย่างนี้เองซูชิงลั่วไม่คิดมาก จึงรีบเอ่ยปากออกไปว่า "พี่สาม"เสียงของหญิงสาวใสกังวานและมีความล่องลอยอยู่บ้าง ฟังแล้วไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกขมิ้นทองอีกลู่เหิงจือมองนางอย

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 7

    ลู่เหิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อย วางจอกชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักพอดีคนที่อยู่ในที่นั้นต่างคิดในใจว่า ซูชิงลั่วเป็นแค่เด็กกำพร้า กล้าก่อเรื่องขึ้นในตอนนี้ คงจบไม่สวยแน่ลู่เหิงจือมีความโกรธอยู่จริง แต่ไม่ใช่เพราะซูชิงลั่วก่อเรื่อง แต่เป็นเพราะการที่นางเลือกที่จะเสี่ยงและขอความช่วยเหลือจากเขาในเวลานี้ ไม่รู้ว่านางต้องถูกบีบคั้นและกดดันอะไรมาอีกบ้างนางหลิ่ว นางเฉียน และสาวใช้สองสามคนรีบเข้ามา นางหลิ่วรีบพูดว่า "ท่านสาม ชิงลั่วยังเด็กไม่รู้สา หวังว่าท่านสามอย่าได้ถือสานางเลย ข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้"พูดจบก็ส่งสัญญาณให้พวกหญิงรับใช้พาตัวซูชิงลั่วออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือพูดขึ้นว่า "ช้าก่อน"นางหลิ่วรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบลู่เหิงจือเพียงพูดแค่สองคำ แต่ทุกคนก็ถูกน้ำเสียงที่มีอำนาจของเขากดดันจนไม่มีใครกล้าขยับลู่โย่ว นายท่านรองเพิ่งอดหลับอดนอนมาทั้งคืน กำลังจะกลับไปพักผ่อน ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วที่ปกติว่านอนสอนง่ายก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเลย มอบหมายให้นางหลิ่วจัดการทั้งหมด ทำไมขนาดเรื่องหมั้นหมายของชิงลั่วกับเหยียนเออร์ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่าง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 8

    ลู่โย่วรู้สึกตกใจทุกคนเพิ่งสังเกตว่าตลอดทั้งคืนแทบไม่เห็นลู่เหยียนเลยชื่อเสียงของการอกตัญญูย่อมมีผลกระทบมากกว่าแน่นอน ลู่โย่วรีบสั่งให้คนไปตามหาทันทีลู่เหิงจือมองไปที่ซ่งเหวินทีหนึ่ง ซ่งเหวินก็เข้าใจทันทีสักครู่ต่อมา กลับเป็นซ่งเหวินที่พาลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานมาที่นี่ลู่เหยียนมีกลิ่นเหล้าคลุ้งตัว หน้าตาโกรธเคือง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แม้แต่ผมก็ยังไม่ได้หวี ดูแล้วเหมือนถูกพาตัวออกมาอย่างเร่งรีบหลิ่วเยียนหรานที่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ได้ล้างหน้าเพียงแค่ยกมือขึ้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเพื่อปิดหน้า ตัวสั่นไปทั้งตัวจากสภาพแล้ว เห็นชัดเจนว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ลู่โย่วทนไม่ไหวตบหน้าเขาไปทีหนึ่ง "ไอ้ลูกชั่ว!"ลู่เหยียนถูกตบจนหน้าซีกหนึ่งร้อนผ่าว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรลู่เหิงจือถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งเหวินรายงานว่า "บ่าวบังเอิญพบคุณชายสี่ในห้องน้ำชาที่เรือนหน้า เขานอนอยู่กับคุณหนูหลิ่วบนเตียงเดียวกัน"ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติมแล้วมีคนในที่นั้นทนไม่ไหวทันที"ลู่เหยียนผู้นี้อกตัญญูเกินไปแล้ว ท่านยายลู่ป่วยหนักอยู่แต่เขากลับไม่เป็นห่วงเลย ยังมีหน้าไปหาความส

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 8

    ซูชิงลั่วตกใจมากกว่าคนอื่นๆ อีก เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพิสูจน์ได้จากมุมนี้ว่านางหลิ่วโลภในสินเดิมของนางตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงก็เพิ่งจะอายุได้สิบขวบ ในทีแรกร้านค้าเหล่านี้เป็นท่านยายที่ช่วยนางดูแล และทุกเดือนท่านยายก็จะเรียกให้นางไปตรวจสอบบัญชีต่อมาเนื่องจากท่านยายไม่มีเรี่ยวแรง นางหลิ่วจึงอาสารับช่วงต่อในช่วงครึ่งปีแรกนางหลิ่วก็ยังคงให้นางตรวจสอบบัญชี แต่ต่อมาก็อ้างว่าไม่ว่าง สามเดือนจึงให้ตรวจสอบดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าน้าสาวไม่มีทางทำร้ายนาง จึงไม่ให้นางได้ตรวจสอบบัญชีอีกเลยนางเป็นคนหน้าบาง คิดว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย อีกทั้งนางหลิ่วก็เป็นญาติ และยังปฏิบัติกับนางไม่เลว ดังนั้นนางจึงไม่เคยพูดอะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมาสีหน้าของนางหลิ่วแดงและซีดสลับกัน ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดอ้ำอึ้งออกมา "อย่างไรชิงลั่วก็ยังเด็ก ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะถูกคนข้างล่างหลอกลวงจึงรับช่วงช่วยดูแลร้านค้าให้..."ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คำโกหกของนางดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นอีกลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "คุณหนูซูตอนนี้ก็อายุสิบหกแล้ว การหมั้นก็ยกเลิกไปแล้ว ร้านค้าก็คงคืนได้แล้วไหม?"น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 10

    ซูชิงลั่วรีบก้มหน้า รู้สึกหน้าแดงร้อนนางกำลังจะเดินไปยังห้องข้างๆ ก็ได้ยินเสียงเรียบๆ ของลู่เหิงจือพูดว่า "รบกวนหมอหลวงซ่งช่วยดูอาการของคุณหนูคนนั้นด้วย เมื่อครู่นางเพิ่งจะเป็นลมไป"พอสิ้นเสียง ผู้ชายคนอื่นๆ ในลานก็มองไปที่ซูชิงลั่วพร้อมกันซูชิงลั่วรีบพูดทันที "ขอบคุณท่านสาม ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แค่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเฉยๆ ไม่ต้องลำบากหมอหลวงซ่งหรอก"ลู่เหิงจือมองซ่งอวี้นิ่งๆ ทีหนึ่งซ่งอวี้ซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งเปล่าๆ รีบลูบเคราและยิ้มพร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไร ไม่ลำบากเลยขอรับ"ขณะที่พูด หมอหลวงซ่งก็เดินเข้ามาด้วย ซูชิงลั่วไม่กล้าปฏิเสธอีก จึงให้จื๋อหยวนเชิญเขาเข้าห้องไปหลังจากวางผ้าไว้ที่ข้อมือและตรวจชีพจรแล้ว หมอหลวงซ่งก็บอกว่านางกังวลมากเกินไป จนทำให้ร้อนใจจนเป็นลม ต้องให้พักผ่อนมากๆ ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว อีกทั้งยังจ่ายยากล่อมประสาทให้กับนางหลังจากซูชิงลั่วพูดขอบคุณ นางก็ให้จื๋อหยวนใส่เงินยี่สิบตำลึงให้หมอหลวงซ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยกมือปฏิเสธ"ไม่กล้ารับหรอกขอรับ ข้าแค่ทำตามที่ได้รับการไหว้วาน หากคุณหนูจะขอบคุณก็ขอบคุณคนที่ไหว้วานข้ามาเถิด"เมื่อได

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 11

    ความเย็นราวกับน้ำพุบนภูเขานั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจของซูชิงลั่วนางหดมือกลับมาอย่างรวดเร็วราวกลับถูกน้ำร้อนลวก จนข้าวต้มถ้วยนั้นเกือบจะหกคว่ำ โชคดีที่ลู่เหิงจือจับไว้ได้อย่างมั่นคงใบหน้าของซูชิงลั่วแดงขึ้นในทันทีท่าทางของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ในสายตาคนอื่นเกรงว่าจะดูค่อนข้างสนิทสนมกันไปสักหน่อยลู่เหิงจือยื่นถ้วยให้นางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า "ระวังนะ มันร้อนอยู่"เมื่ออธิบายเช่นนี้แล้ว ทำให้การหดมือกลับของเธอเมื่อครู่นี้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นซูชิงลั่วรับถ้วยลายครามมา "ขอบคุณท่านสาม..."หลังจากพูดจบถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียกเขาว่าท่านสามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าพึ่งสัญญาว่าจะจำว่าต้องเรียกเขาพี่สาม แต่ตอนนี้กลับลืม ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของลู่เหิงจือมีรอยยิ้มวาบผ่านไปอะไรกันนางเรียกเขาผิดไม่ใช่เหรอ? เขายังยิ้มอีกเหรอ?ถึงแม้ซูชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาคิดมากเรื่องเขา นางหันกลับไปและค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ท่านยายทีละนิดด้วยความอดทนท่านยายกินข้าวต้มไปได้ครึ่งถ้วยก็ต้องการน้ำล้างปาก ซูชิงลั่วหันไป ลู่เ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 12

    เมื่อคืนซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสบาย ในหัวนางมักจะนึกถึงท่าทางของลู่เหิงจือ ราวกับถูกฝันร้ายตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงตอนที่ไปล้างหน้าที่ห้องข้างๆ จื๋อหยวนก็มากระซิบที่หูนางว่า "เช้านี้ก่อนที่คุณชายเหิงที่สามจะไปเข้าร่วมประชุมขุนนางตอนเช้า เขาได้สั่งเป็นพิเศษว่าท่านย่าต้องพักผ่อนอย่างสงบและห้ามใครพูดมากต่อหน้าท่านย่า"ซูชิงลั่วได้ยินแล้วก็โล่งใจไปอีกเรื่องลู่เหิงจือมีงานราชการมากมาย แต่กลับจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ เขาช่างรอบคอบจริงๆซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้า ในใจก็คิดว่าลู่เหิงจือช่วยนางมากมายขนาดนี้ ควรจะขอบคุณเขาอย่างไรดีตามหลักแล้ว การขอบคุณคนก็ควรจะต้องว่าตามที่เขาชอบ แต่ลู่เหิงจือมักจะควบคุมคนรับใช้เคร่งครัด ความชอบของเขาไม่เคยรั่วไหลออกมา แม้แต่การสอบถามก็ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามการให้เงินโดยตรงก็ดูเหมือนจะเป็นการดูหมิ่นท่านอัครมหาเสนาบดีที่มีอำนาจมากท่านนี้เกินไปซูชิงลั่วจนปัญญา ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงท่านยายตื่นนอน นางจึงเข้าไปปรนนิบัติก่อนร่างกายหญิงชราดีขึ้นมากแล้ว นอกจากกินอาหารเยอะขึ้นแล้ว ยังพูดคุยกับเหล่าลูกสะใภ้และหลานสาวหลายคนที่มาเยี่

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status