แชร์

บทที่ 2

ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

ซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่

พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวง

แม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่น

หลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้น

เขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆ

บ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนาง

ภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป

ทว่า ความคาดหวังทั้งหมดกลับพังทลายลงแล้วในขณะนี้

จื๋อหยวนไม่เคยเห็นนางเสียใจเช่นนี้มาก่อน นางจึงกอดซูชิงลั่วไว้และปลอบโยนว่า "คุณหนูต้องระวังสุขภาพด้วย เรากลับเข้าไปข้างในกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ"

ซูชิงลั่วไม่ได้ตอบอะไร

หยาดน้ำฝนผสมกับหยาดน้ำตาหลั่งไหลลงมาบนใบหน้า

หยาดฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นสาย เมื่อถูกลมพัดก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน

ซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนตนเองเป็นใบไม้ที่ปลิดปลิวไร้ราก หมุนวนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสายลม ไม่อาจร่วงลงสู่พื้นดินได้

สายตามองเห็นเกี้ยวไม้จันทน์แดงซึ่งดูหรูหราโอ่อ่าคันหนึ่ง

มีคนสี่คนกำลังหามเกี้ยวเดินมาข้างหน้า ด้านหลังมีข้ารับใช้ในชุดสีเขียวเดินตามเป็นขบวน แต่เสียงฝีเท้ากลับดังพร้อมเพรียงท่ามกลางสายฝน

มีมือข้างหนึ่งยกม่านเกี้ยวขึ้น นิ้วเรียวยาวเห็นข้อกระดูกชัดเจน บนนิ้วหัวแม่มือสวมแหวนหยกสีเขียวน้ำทะเลอยู่วงหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชาที่แฝงความหงุดหงิดเล็กน้อยดังขึ้น

“บ่าวที่ไหนกันไม่รู้จักกฎระเบียบเช่นนี้?”

เมื่อซูชิงลั่วได้ยินเสียงนี้ก็ตกใจ

นางจำแหวนหยกวงนี้ได้ เพราะนางเป็นคนมอบออกไปเอง

คนที่มาคือ...ลู่เหิงจือ?

เมื่อหกปีก่อน ตอนที่พ่อของนางเสียชีวิต น้าลู่โย่วมาช่วยจัดการงานศพพ่อให้โดยมีเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีติดตามมาด้วยคนหนึ่ง คนนั้นก็คือลู่เหิงจือ

ตอนนั้นนางรู้ว่าลู่เหิงจือเป็นบุตรหลานของบ้านตระกูลลู่ที่เกิดจากภรรยาน้อย น้าชายของนางพาเขามาเลี้ยงดูข้างกายเพื่อสั่งสมประสบการณ์

ระหว่างทางกลับจากจินหลิงไปยังเมืองหลวง พวกเขาถูกดักปล้นโดยโจรสลัด ลู่เหิงจือได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องนาง รอยฟันจากดาบบนแขนของเขายาวถึงสามนิ้ว

หลังจากกลับถึงเมืองหลวง นางรู้สึกขอบคุณเขา จึงสั่งให้คนส่งของขวัญไปให้ รวมถึงแหวนหยกวงนี้ด้วย

ใครจะคิดว่าเพียงแค่หกปี ลู่เหิงจือจะก้าวขึ้นมาเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เป็นคนโปรดของฮ่องเต้

แม้แต่บ้านตระกูลลู่เองก็ยังต้องยอมวางทิฐิและรับเขากลับเข้ามาอยู่ในวงศ์ตระกูล โดยให้บันทึกชื่อไว้ภายใต้การเลี้ยงดูของบ้านใหญ่

ตั้งแต่นั้นมา ซูชิงลั่วก็ต้องเรียกเขาตามมารยาทว่า "พี่สาม"

แม้จะอยู่ภายใต้ชายคาบ้านตระกูลลู่ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายต่างตระกูลและอยู่ในส่วนของบ้านใหญ่ ส่วนนางเป็นผู้หญิงและมักอาศัยอยู่ในบ้านสอง นอกจากจะได้พบกันไกลๆ ในช่วงเทศกาลแล้ว ทั้งสองคนก็แทบไม่มีโอกาสพบกันมากนัก

จากการพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ซูชิงลั่วรู้สึกว่าเขามีบุคลิกที่โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ และก็ดูจะเงียบขรึมเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

นางเคยได้ยินเรื่องลู่เหิงจือในราชสำนักว่าเป็นคนมีความสามารถสูงและใช้มีวิธีการที่รุนแรงในการกำจัดศัตรูทางการเมืองมากมาย ครั้งหนึ่งเขาเคยสั่งโบยคนใช้ที่ขโมยหนังสือจนถึงแก่ความตาย

ทุกคนในตระกูลลู่ต่างหวาดกลัวยมทูตหน้าตายผู้นี้กันทั้งสิ้น

ดังนั้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเขา ซูชิงลั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ เสียใจที่ตนเองไม่ควรทำตัวหุนหันพลันแล่นมาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนี้

เขาคงไม่ถึงขั้นสั่งลงโทษนางหรอกกระมัง

ม่านเกี้ยวเพียงแค่ยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้มองใบหน้าของคนในเกี้ยวไม่ชัด

จื๋อหยวนตกใจจนไม่กล้าเงยหน้า กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ขออภัยคุณชายเหิงที่สาม เป็นคุณหนูซูจากบ้านสองที่ข้อเท้าพลิกโดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทกับท่าน โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ"

ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากคนในเกี้ยว จากนั้นไม่นาน เกี้ยวก็ถูกวางลง

ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้น

รองเท้าหุ้มส้นยาวสีดำคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นหินสีเขียว ชายคนนั้นค่อยๆ เดินออกมา ทันใดนั้นร่มกระดาษน้ำมันสีขาวก็ถูกยกขึ้นเหนือศีรษะของเขา ขณะเดียวกันชุดคลุมกันลมสีขาวก็ถูกคลุมลงบนตัวเขาเช่นกัน

ลู่เหิงจือสวมเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินพระราชทาน ไหล่กว้าง เข็มขัดหยกที่รัดรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูสง่างามและภูมิฐาน

แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูเหมือนไร้ซึ่งอุณหภูมิใดๆ เขามองดูนางอย่างเย็นชา

ซูชิงลั่วรีบก้มหน้าใช้ผ้าเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า รู้สึกว่าตัวเองดูน่าอนาถมาก

ในวินาทีต่อมา ลู่เหิงจือก็เดินเข้ามาใกล้ ถอดชุดคลุมกันลมสีขาวบนร่างกายของตัวเองคลุมลงบนตัวนาง จากนั้นก็ยื่นมือไปรับร่มมากางให้นางด้วยตัวเอง

ซูชิงลั่วตกใจจนลืมที่จะปฏิเสธไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีชุดคลุมก็อยู่บนตัวของนางเรียบร้อยแล้ว

ไม่ได้เห็นลู่เหิงจือในระยะใกล้ขนาดนี้มานานแล้ว เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และสูงขึ้นมากด้วย เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกระทบลงบนร่มก็เกิดเป็นเสียงอึนๆ คล้ายเมล็ดถั่วหล่นลงบนกลอง

เสียงของเขาก็เหมือนกับเม็ดฝนที่ตกกระทบลงในหัวใจของนาง

"ใครรังแกเจ้า?"

เสียงพูดเรียบเฉยแต่หนักแน่น

ความคับแค้นใจที่ซูชิงลั่วพยายามกลั้นไว้กลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง

นางทำได้เพียงตอบว่า "ไม่มีหรอก ข้าแค่ข้อเท้าพลิกเท่านั้น"

ลู่เหิงจือก้มลง สายตาของเขาจ้องตรงมาที่นาง เหมือนพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง

นางเริ่มรู้สึกอึดอัด "หากท่านสามไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน"

เสียงฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับจังหวะหัวใจของนางในขณะนี้

ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบรับเบาๆ

โชคดีที่เขาไม่ถามอะไรต่อ

ขณะที่นางกำลังจะหันไป ซูชิงลั่วก็นึกถึงชุดคลุมกันลมบนตัว กำลังจะถอดออก แต่ก็ได้ยินเสียงของเขาพูดว่า "ใส่ไว้"

น้ำเสียงเชิงบังคับ

ซูชิงลั่วไม่กล้าขยับตัวอีก ได้แต่พูดเสียงเบาว่า "เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านสาม"

ท่านสาม?

ลู่เหิงจือก้มศีรษะลง นานแล้วที่ไม่ได้มองนางใกล้ขนาดนี้

ที่แท้เด็กสาวผู้สูงศักดิ์และงดงามก็สูงขึ้นมากแล้ว เส้นผมสีดำขลับตรงหน้าผากชื้นเปียกจากสายฝน หยดน้ำบนใบหน้าที่เช็ดออกไม่หมดยิ่งขับให้ผิวนางดูขาวผ่องราวหิมะ ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดสีแดงเข้ม เอวบางราวกับจะบีบได้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาว

เมื่อสามปีก่อนที่งานเลี้ยงครอบครัวได้พบกันเพียงชั่วครู่ ตอนนั้นนางยังเรียกเขาว่าพี่สามตามคนอื่นๆ อย่างว่าง่ายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเรียกเขาว่าท่านสามอย่างห่างเหินซะแล้ว

สายตาของลู่เหิงจือฉายแววไม่พอใจ

หรือเป็นเพราะกำลังจะแต่งงานกับคนผู้นั้นงั้นหรือ?

แต่ทำไมถึงดูทุกข์ใจและร้องไห้อยู่ที่นี่? คนผู้นั้นรังแกนางงั้นหรือ?

ซูชิงลั่วรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ดูขรึมลงของลู่เหิงจือ แต่ก็ไม่รู้สาเหตุ และไม่กล้าอยู่ต่อ นางย่อตัวทำความเคารพเขาและเตรียมตัวจะจากไป

ตอนหมุนตัวกลับ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้ามร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นยังคงอยู่บนไหล่ของเธอ ส่วนตัวของลู่เหิงจือกลับเปียกฝนไปครึ่งตัว

นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าลู่เหิงจือไม่เห็นเหมือนที่คนอื่นพูดกันว่าไร้เหตุผลตรงไหนเลย

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น อีกทั้งมีเสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงปร้าง

"เจ้าไปก่อนเถอะ" ถึงลู่เหิงจือจะกล่าวด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่เขาก็ยื่นร่มให้กับนาง ส่วนเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว จนเปียกฝนไปทั้งตัว

ซูชิงลั่วเข้าใจดีว่าเขาเป็นชายต่างตระกูล คงไม่สะดวกที่พวกเขาจะกลับเข้าทางประตูข้างพร้อมกัน

เดิมทีร่มนี้นางไม่ได้อยากรับไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขา นางก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงรับร่มแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ จึงเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้าประตูข้างมา นางถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเดินกลับไปยังเรือนของตน

การกลับมาในสภาพเปียกปอนเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทอย่างมาก แต่โชคดีที่ในบ้านตระกูลลู่นางก็มีฐานะแค่กึ่งเจ้านายเท่านั้น จึงไม่มีใครสนใจนางมากนัก

เพิ่งเดินเข้ามาถึงลานบ้าน นางก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวายและเสียงดุเข้มของหญิงชราจากด้านนอก

"ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ ท่านอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน คุณชายเหิงที่สามของพวกเรากลับมาแล้ว ทุกคนตั้งใจทำงานให้ดี หากใครทำผิดช่วงนี้ ข้าจะไม่ไว้หน้าเด็ดขาด"

ในใจของซูชิงลั่วเต้นระส่ำอย่างบอกไม่ถูก
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
หมวย สะใภ้เหนือ
อยู่ๆ บัญชีเดิมหายไปหมด ที่อ่านไปแล้วหลายตอน หลายเรื่องหายหมด ต้องมาเสียเงินจ่ายซื้อบทซ้ำอีกครั้ง เสียความรู้สึกกับระบบจริงๆ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะยาวกี่บท ลองอ่านแค่เรื่องเดียวก่อนละกัน พอกันทีกับการอ่านหลายเรื่อง แย่จริงๆ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status