Share

แต่งกับขุนนาง
แต่งกับขุนนาง
Author: หอมดังเดิม

บทที่ 1

Author: หอมดังเดิม
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอัน

ท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อย

ซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันที

หยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดี

ชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมาก

จื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที

"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"

ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไร

รับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้

ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาว

ปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"

จื๋อหยวนรู้สึกประหลาดใจ เพราะนี่ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติของซูชิงลั่ว

ซูชิงลั่วเกิดในตระกูลซูที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่นางอายุสิบปี ทำให้ต้องไปพึ่งพาอาศัยที่บ้านคุณยาย

เนื่องจากไม่ใช่บ้านของตัวเอง แม้ว่าในบ้านคุณยายจะดูแลนางดีกว่าหลานสาวแท้ๆ แต่นับตั้งแต่นางเข้ามาในบ้าน นางก็รู้ความมาก ไม่เคยสร้างความลำบากให้ใครเลย แม้แต่กับสาวใช้และบ่าวไพร่นางก็ให้ความเกรงใจ จนกลายเป็นที่รักของทุกคน

เรื่องที่จะออกไปข้างนอกในวันที่ฝนตกและทำให้คนอื่นต้องลำบากแบบนี้ จึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จื๋อหยวนถาม "คุณหนูอยากไปไหนเจ้าคะ? บ่าวจะได้ไปบอกคนขับรถม้า"

"ไปที่ร้านเครื่องประดับจินจี้" ซูชิงลั่วพูดเสียงนุ่มอย่างใส่ใจ "ให้เงินคนขับรถม้ามากหน่อยนะ"

จื๋อหยวนเข้าใจทันที ที่แท้ก็อยากไปดูเครื่องประดับแต่งงานว่าทำไปถึงไหนแล้ว มิน่าล่ะ

พวกนางออกจากประตูข้างและขึ้นรถม้าไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้เป็นที่สนใจของใครๆ

รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เมื่อใกล้ถึงร้านเครื่องประดับจินจี้ ในใจของซูชิงลั่วกลับรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

"ไม่หรอก" นางแอบปลอบตัวเองในใจ บ้านตระกูลลู่มีบุญคุณกับนางไม่น้อย ลู่เหยียนก็ดูแลนางเป็นอย่างดีมาตลอดเช่นกัน ไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดต่อนางแน่นอน

แต่นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเมื่อคืนถึงฝันเช่นนั้น

ในฝัน หลังจากที่นางแต่งงานกับลู่เหยียนได้ไม่นานก็ตั้งครรภ์

ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ ลู่เหยียนมักอ้างว่ายุ่งเรื่องเตรียมตัวสอบจอหงวนจึงไม่ค่อยกลับบ้าน นางเชื่อใจเขาเสมอมา ไม่เคยคิดสงสัยอะไร

จนกระทั่งใกล้คลอด คืนหนึ่งจู่ๆ นางก็เกิดหิวจึงไปหาของกินในครัว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินคนใช้แอบพูดซุบซิบกันว่า "อย่างนี้ก็หมายความว่านายหญิงที่อยู่ข้างนอกท่านนั้นชิงคลอดคุณชายน้อยออกมาก่อนแล้วงั้นสิ"

นางฟังแล้วรู้สึกผิดปกติ จึงให้จื๋อหยวนและแม่นมเหมยจับตัวคนใช้มาสอบสวน เมื่อสอบสวนก็พบว่าลู่เหยียนแอบปลูกเรือนหลักเล็กๆ ไว้ข้างนอกและซุกภรรยาน้อยไว้ที่นั่น

นางโกรธมากจึงพาคนไปที่นั่นทันที พบว่าภรรยาน้อยที่ลู่เหยียนเลี้ยงไว้ก็คือหลิ่วเยียนหรานลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง มิน่าคนใช้จึงเรียกนางว่า "นายหญิงที่อยู่ข้างนอกท่านนั้น"

และไม่ใช่แค่ลู่เหยียนที่อยู่ที่นั่น แม้แต่มารดาของเขา แม่สามีของนาง นายหญิงหลิ่วก็อยู่ที่นั่นด้วย

เมื่อเห็นนางหลิ่วเยียนหรานตกใจมาก อุ้มลูกไปหลบอยู่ข้างหลังลู่เหยียน ลู่เหยียนลูบหลังนางเบาๆ และพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ไม่เป็นไร"

นายหญิงหลิ่วรู้สึกอึดอัดใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ในเมื่อเจ้ามาถึงนี่ก็ดีแล้ว เดิมทีเรื่องนี้ก็ควรบอกเจ้าแต่แรก เยียนหรานได้ให้กำเนิดบุตรชายคนโตของลู่เหยียนแล้ว เราย่อมไม่อาจเอาเปรียบนางได้ เหยียนเออร์ตั้งใจจะรับนางมาเป็นภรรยารอง"

นางรู้สึกสะอิดสะเอียน

พอนับเวลาดูแล้ว เกรงว่าลู่เหยียนคงปลูกเรือนเล็กนี่ไว้ตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับนางแล้ว จึงคลอดบุตรก่อนนางได้แบบนี้

นางเป็นคนหน้าบาง เมื่อถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ได้แต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า ถามลู่เหยียนด้วยเสียงสั่นเครือว่าทำไมถึงทำกับนางเช่นนี้?

แต่ลู่เหยียนกลับพูดอย่างไม่แยแสว่า "เจ้าไม่ความเช่นนี้ได้อย่างไร? บุรุษผู้ใดบ้างที่ไม่มีภรรยาหลายคน?"

"ข้ายังดูแลเจ้าไม่ดีพอหรือ? เห็นใจเจ้าที่กำลังตั้งครรภ์ ข้าจึงยังไม่ได้รับเยียนหรานเข้ามาในบ้าน นางต้องทนทุกข์อยู่ข้างนอกมามากแค่ไหน?"

ปากของเขาเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของนาง

นางไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เจ็บปวดใจเหมือนจะตาย อารมณ์โกรธพุ่งทยานจนทำให้ครรภ์มีปัญหา

เนื่องด้วยเสียใจมาก อีกทั้งยังคลอดยาก นางจึงไม่สามารถคลอดลูกออกมาได้

นางนอนจมกองเลือดอยู่อย่างโดดเดี่ยว มองดูเลือดที่ไหลซึมไปทั่วที่นอนและพื้น ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานของจื๋อหยวน

แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้

นางนอนอยู่ในโลงศพเย็นเฉียบ วิญญาณล่องลอยอยู่กลางอากาศ ได้ยินลู่เหยียนพูดกับหลิ่วเยียนหรานด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า "เป็นซูชิงลั่วที่ไม่มีบุญมากพอ รอให้ครบหนึ่งร้อยวันก่อน ข้าจะยกเจ้าขึ้นเป็นภรรยา"

ทำไมถึงทำเช่นนี้ได้ พูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าป้ายวิญญาณของนางเนี่ยนะ

ซูชิงลั่วร้องไห้ด้วยความโกรธและตื่นจากฝันในที่สุด พบว่าร่างกายของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นทั้งตัว

จื่อหยวนเองก็ตกใจมาก เมื่อรู้ว่านางฝันร้ายก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางและนำน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้

นางดื่มน้ำไปอึกหนึ่งเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าความฝันนี้เหมือนจริงเกินไป เหมือนจริงราวกับเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

นางนอนลืมตาจนสว่าง ไม่คาดคิดว่าฝนจะตกปรอยลงมา

เดิมทีวันนี้นัดกับลู่เหยียนไว้ ให้เขาไปเป็นเพื่อนเธอดูว่าช่างทำเครื่องประดับสำหรับงานแต่งทำไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็จะเลือกเครื่องประดับที่ชอบเพิ่มอีก

ผลปรากฏว่าในตอนเช้าทิงซูคนรับใช้ของลู่เหยียนกลับมารายงานว่า วันนี้ลู่เหยียนถูกเพื่อนร่วมงานเชิญไปงานกะทันหัน วันหลังจะพานางไปเดินตลาดออกใหม่อีกที

นางพยักหน้ารับคำ แต่งหลังจากคนรับใช้ไปแล้ว นางกลับรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอด

เดิมตั้งใจจะปักลายชุดแต่งงานเพื่อให้จิตใจสงบ แต่ความกังวลใจกลับยิ่งเพิ่มขึ้น จนนางเผลอทำเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง

ไหนๆ ก็ออกไปดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแล้วกัน

ในฝันนั้น หลังจากลู่เหยียนแต่งงานกับนางแล้ว มักจะแอบไปพบกับหลิ่วเยียนหรานที่ร้านเครื่องประดับจินจี้บ่อยๆ

เมื่อใกล้ถึงประตูร้านเครื่องประดับจินจี้ ซูชิงลั่วก็แกล้งบอกว่าคอแห้ง จึงลงจากรถและไล่คนขับรถกลับไป จากนั้นก็เดินนำจื่อหยวนเข้าไปที่ร้านน้ำชาฝูจี้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้านเครื่องประดับจินจี้แทน

นางจองห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เปิดหน้าต่างเพื่อสังเกตสถานการณ์ฝั่งตรงข้าม

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ

ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปเอง กำลังจะหัวเราะเยาะออกมา แต่ทันใดนั้นก็เห็นเงาของลู่เหยียน

ลู่เหยียนชอบสีขาว เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว มือถือพัดพับด้ามหนึ่ง เดินออกมาพร้อมกับหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยท่าทางสนิทสนม

หญิงคนนั้นก็คือหลิ่วเยียนหราน

จื่อหยวนตกใจทั้งโกรธ "คุณหนู?"

ซูชิงลั่วส่ายหัวเป็นเชิงบอกให้เงียบ

ลู่เหยียนไม่รู้ว่าพูดอะไรเบาๆ พลางโอบสาวงามเข้าไปในโรงน้ำชา ทั้งสองขึ้นไปชั้นบน และนั่งในห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกับพวกนาง

ผนังกั้นเสียงไม่ดีนัก

เสียงอันอบอุ่นของลู่เหยียนดังทะลุผ่านผนังกั้นบางๆ ได้ยินอย่างชัดเจนว่า "เดินมาทั้งเช้าคงจะเหนื่อยแล้วสิ? พักที่นี่ก่อนเถอะ ทานอะไรสักหน่อย ของว่างที่นี่ใช้ได้เลย"

เสียงของหลิ่วเยียนหรานหวานจนทำให้คนได้ยินรู้สึกเอียน "ข้าไม่เหนื่อยหรอก เจ้าสิเหนื่อยมากกว่า อีกไม่นานเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ยังต้องหาเวลามาอยู่กับข้าอีก"

"อยู่กับเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว" ลู่เหยียนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ปิ่นทองที่เลือกวันนี้เจ้าชอบหรือไม่?"

หลิ่วเยียนหรานพูดตอบด้วยเสียงหวาน "ชอบสิ นี่เป็นปิ่นทองอันแรกที่ข้าได้รับ ขอบคุณนะท่านพี่ น่าเสียดายที่เมื่อท่านแต่งงานแล้ว ท่านก็จะเป็นของคนอื่น"

"หึงหรือ? ข้าก็เป็นของเจ้านานแล้วมิใช่หรือ?" ลู่เหยียนหัวเราะเบาๆ "ไม่ต้องห่วง หลังจากแต่งงานกับนางแล้ว ข้าจะให้คำตอบกับเจ้าเอง"

เสียงของหลิ่วเยียนหรานเบาลง "เช่นนั้นคืนนี้ท่านจะมาหรือไม่…"

ซูชิงลั่วทนฟังไม่ไหวแล้ว รู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือทน

นางลุกขึ้นทันที ผลักประตูห้องส่วนตัวออกไปอย่างแรงแล้วเดินออกไปด้านนอก

"ปัง!" นางผลักประตูห้องส่วนตัวข้างๆ ออก

ลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานกำลังกอดกันอยู่ คอเสื้อของหลิ่วเยียนหรานดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย

เมื่อเห็นนาง ทั้งคู่ก็ตกใจและรีบแยกตัวออกจากกัน

ลู่เหยียนแสดงสีหน้าประหลาดใจ ใบหน้าของเขามีความรู้สึกผิดเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินมาหานาง "ชิงลั่ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้? ฟังข้าอธิบายก่อน..."

ซูชิงลั่วรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว สีหน้าซีดเซียว ผลักมือของเขาออก "ลู่เหยียน พวกเรายกเลิกงานแต่งกันเถอะ เจ้าอยากบอกน้าหญิงของข้าเอง หรือจะให้ข้าไปบอก?"

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 2

    ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 3

    แม้ว่าลู่เหิงจือจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในตรอกปาเถียว ที่นั่นอยู่ใกล้กับราชสำนัแถมยังเงียบสงบ แต่ละเดือนเขาจะกลับมาพักที่บ้านตระกูลลู่ในวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะเขามีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกครั้งที่เขากลับมา บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตื่นตัวราวกับมีข้าศึกมาเยือนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฐานะของซูชิงลั่วในบ้านนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยซูชิงลั่วสั่งให้คนต้มน้ำร้อนมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแม้ว่าร่มกระดาษน้ำมันจะเป็นสีขาวที่ไม่โดดเด่น แต่นางก็ไม่กล้านำมันออกมาวางข้างนอก จึงให้จื๋อหยวนตากข้างในห้องแทนจากนั้นก็เก็บชุดคลุมกันลมไว้เองอย่างดี รอวันที่อากาศดีๆ แล้วค่อยแอบเอามาซักและตากแห้ง จากนั้นค่อยเอาไปคืนเขาพร้อมกับร่มแม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ของพวกนี้นางก็ไม่กล้าให้ใครเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจากคนที่มีใจอิจฉาวุ่นวายมาครึ่งวัน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ซูชิงลั่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว และไม่มีแรงจะคิดเสียใจเรื่องลู่เหยียนอีกแล้วแต่เนื่องจากตอนนี้ผ่านเวลามื้ออาหารไปแล้ว นางก

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 4

    ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจการถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินเมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมาวันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้าเขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ""หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัวเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้นโชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดีเขาถือโคมแก้วด้วยมือข้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 5

    ซูชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็แน่นิ่งไปการที่อาการของท่านยายไม่ดีไม่เป็นความลับ หมอบอกว่าถ้าผ่านฤดูหนาวปีนี้ได้ก็จะมีเวลาอีกหนึ่งปี แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นปีนี้เมื่อนางหลิ่วเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่กล้า จึงรีบพูดต่อว่า "เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบในเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงขั้นต้องถอนหมั้นหรอก""นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ เกรงว่าแม้แต่ท่านยายของเจ้าก็คงจะบอกให้เจ้าอดทนนั่นแหละ""เจ้าลองคิดดูสิ ผู้หญิงที่ถอนหมั้นแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี ต่อไปยังจะแต่งงานกับใครดีๆ ได้อีก?""เหยียนเออร์รู้ตัวแล้วว่าผิด เอาอย่างนี้ไหม ก่อนถึงงานแต่งของพวกเจ้า ข้าจะไม่ให้เขาออกไปไหนอีก ให้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะหายโกรธได้ไหม?""เจ้าคิดดูนะ ท่านยายของเจ้าหวังอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานขนาดไหน..."นางหลิ่วถึงขั้นยกท่านยายขึ้นมาอ้างซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก รู้สึกว่าตัวเองถูกนางหลิ่วบีบบังคับสำเร็จ ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงต้องกลับไปคิดทบทวนให้รอบคอบถ้าไม่ถอนหมั้น นางกลัวว่าจะซ้ำรอยฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าถอนหมั้นจริงๆ ชื่อเสียงของนาง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 6

    แค่ชั่วครู่ ลู่เหิงจือก็กลับมาเป็นปกติเขามองหญิงสาวที่อ่อนโยนและสวยงามตรงหน้า แล้วถามด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "การถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เจ้าคิดดีแล้วหรือ? จะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม?"ซูชิงลั่วพยักหน้า "เจ้าค่ะ ชิงลั่วคิดดีแล้ว จะไม่เสียใจเด็ดขาด"ดวงตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อยซูชิงลั่วพูด "ท่านสาม ข้ากับลู่เหยียน...""เรียกข้าว่าพี่สาม" ลู่เหิงจือพูดแทรกนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงของเขาไพเราะเหมือนน้ำพุใสไหลผ่านก้อนหินซูชิงลั่วงงกับคำพูดที่ไม่มีต้นไม่มีปลายของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องใส่ใจกับคำที่นางใช้เรียกเขาด้วยเมื่อหลายปีก่อนในงานเลี้ยงครอบครัว นางเคยเรียกเขาว่าพี่สามตามคนอื่น แต่ตอนนี้นางโตขึ้นแล้ว มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง การเรียกอย่างสนิทสนมแบบนั้นรู้สึกไม่เหมาะสมเลยเหมือนจะเข้าใจความกังวลของนาง ลู่เหิงจือรีบพูดต่อ "ในเมื่อให้ข้าจัดการให้ ยังจะทำตัวห่างเหินกับข้าอีกหรือ?"ที่แท้เขาหมายถึงอย่างนี้เองซูชิงลั่วไม่คิดมาก จึงรีบเอ่ยปากออกไปว่า "พี่สาม"เสียงของหญิงสาวใสกังวานและมีความล่องลอยอยู่บ้าง ฟังแล้วไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกขมิ้นทองอีกลู่เหิงจือมองนางอย

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 7

    ลู่เหิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อย วางจอกชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักพอดีคนที่อยู่ในที่นั้นต่างคิดในใจว่า ซูชิงลั่วเป็นแค่เด็กกำพร้า กล้าก่อเรื่องขึ้นในตอนนี้ คงจบไม่สวยแน่ลู่เหิงจือมีความโกรธอยู่จริง แต่ไม่ใช่เพราะซูชิงลั่วก่อเรื่อง แต่เป็นเพราะการที่นางเลือกที่จะเสี่ยงและขอความช่วยเหลือจากเขาในเวลานี้ ไม่รู้ว่านางต้องถูกบีบคั้นและกดดันอะไรมาอีกบ้างนางหลิ่ว นางเฉียน และสาวใช้สองสามคนรีบเข้ามา นางหลิ่วรีบพูดว่า "ท่านสาม ชิงลั่วยังเด็กไม่รู้สา หวังว่าท่านสามอย่าได้ถือสานางเลย ข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้"พูดจบก็ส่งสัญญาณให้พวกหญิงรับใช้พาตัวซูชิงลั่วออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือพูดขึ้นว่า "ช้าก่อน"นางหลิ่วรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบลู่เหิงจือเพียงพูดแค่สองคำ แต่ทุกคนก็ถูกน้ำเสียงที่มีอำนาจของเขากดดันจนไม่มีใครกล้าขยับลู่โย่ว นายท่านรองเพิ่งอดหลับอดนอนมาทั้งคืน กำลังจะกลับไปพักผ่อน ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วที่ปกติว่านอนสอนง่ายก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเลย มอบหมายให้นางหลิ่วจัดการทั้งหมด ทำไมขนาดเรื่องหมั้นหมายของชิงลั่วกับเหยียนเออร์ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่าง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 8

    ลู่โย่วรู้สึกตกใจทุกคนเพิ่งสังเกตว่าตลอดทั้งคืนแทบไม่เห็นลู่เหยียนเลยชื่อเสียงของการอกตัญญูย่อมมีผลกระทบมากกว่าแน่นอน ลู่โย่วรีบสั่งให้คนไปตามหาทันทีลู่เหิงจือมองไปที่ซ่งเหวินทีหนึ่ง ซ่งเหวินก็เข้าใจทันทีสักครู่ต่อมา กลับเป็นซ่งเหวินที่พาลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานมาที่นี่ลู่เหยียนมีกลิ่นเหล้าคลุ้งตัว หน้าตาโกรธเคือง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แม้แต่ผมก็ยังไม่ได้หวี ดูแล้วเหมือนถูกพาตัวออกมาอย่างเร่งรีบหลิ่วเยียนหรานที่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ได้ล้างหน้าเพียงแค่ยกมือขึ้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเพื่อปิดหน้า ตัวสั่นไปทั้งตัวจากสภาพแล้ว เห็นชัดเจนว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ลู่โย่วทนไม่ไหวตบหน้าเขาไปทีหนึ่ง "ไอ้ลูกชั่ว!"ลู่เหยียนถูกตบจนหน้าซีกหนึ่งร้อนผ่าว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรลู่เหิงจือถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งเหวินรายงานว่า "บ่าวบังเอิญพบคุณชายสี่ในห้องน้ำชาที่เรือนหน้า เขานอนอยู่กับคุณหนูหลิ่วบนเตียงเดียวกัน"ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติมแล้วมีคนในที่นั้นทนไม่ไหวทันที"ลู่เหยียนผู้นี้อกตัญญูเกินไปแล้ว ท่านยายลู่ป่วยหนักอยู่แต่เขากลับไม่เป็นห่วงเลย ยังมีหน้าไปหาความส

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 8

    ซูชิงลั่วตกใจมากกว่าคนอื่นๆ อีก เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพิสูจน์ได้จากมุมนี้ว่านางหลิ่วโลภในสินเดิมของนางตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงก็เพิ่งจะอายุได้สิบขวบ ในทีแรกร้านค้าเหล่านี้เป็นท่านยายที่ช่วยนางดูแล และทุกเดือนท่านยายก็จะเรียกให้นางไปตรวจสอบบัญชีต่อมาเนื่องจากท่านยายไม่มีเรี่ยวแรง นางหลิ่วจึงอาสารับช่วงต่อในช่วงครึ่งปีแรกนางหลิ่วก็ยังคงให้นางตรวจสอบบัญชี แต่ต่อมาก็อ้างว่าไม่ว่าง สามเดือนจึงให้ตรวจสอบดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าน้าสาวไม่มีทางทำร้ายนาง จึงไม่ให้นางได้ตรวจสอบบัญชีอีกเลยนางเป็นคนหน้าบาง คิดว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย อีกทั้งนางหลิ่วก็เป็นญาติ และยังปฏิบัติกับนางไม่เลว ดังนั้นนางจึงไม่เคยพูดอะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมาสีหน้าของนางหลิ่วแดงและซีดสลับกัน ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดอ้ำอึ้งออกมา "อย่างไรชิงลั่วก็ยังเด็ก ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะถูกคนข้างล่างหลอกลวงจึงรับช่วงช่วยดูแลร้านค้าให้..."ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คำโกหกของนางดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นอีกลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "คุณหนูซูตอนนี้ก็อายุสิบหกแล้ว การหมั้นก็ยกเลิกไปแล้ว ร้านค้าก็คงคืนได้แล้วไหม?"น

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status