ดอกฟ้าบอบบางหอมหวาน เบ่งบานล่อแมลงดอมดม สีสันงามล้ำชวนชม กลับถูกฉุดลงตมด้วยคนพาล “ไปไหนมาแต่เช้าเชียว” ใจดวงน้อยระทึกขึ้นกับความสนิทชิดเชื้อของเขา คิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจว่าเมื่อไรเธอจะทำใจได้สักที เธอแทบไม่กล้ามองหน้าเขาด้วยซ้ำ ตัวสั่นใจสั่นทุกครั้งที่ชายหนุ่มแตะต้อง ทั้งยังรู้สึกร้อนวูบวาบบนเรือนกายรวมทั้งใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะกลิ่นกายบุรุษที่ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดนอกจากพี่ชายก่อให้เกิดความหวามไหวแบบที่เธอไม่เคยรู้จัก ยิ่งตอนนี้ได้กลิ่นหอมของสบู่เหลวที่ตนใช้กับไอเย็นจากร่างสูงใจก็ยิ่งสั่น เปรมินทร์จับคนที่ทำตัวเกร็งพลิกให้หันหน้ามาหาเขาพร้อมกับอุ้มเธอขึ้น พาให้นั่งที่เตียงโดยให้ร่างอรชรอยู่บนตักของตน ก่อนจะเชยคางเล็กให้เงยขึ้นสบตาเขา “ผมถามว่าไปไหนมา” “ไปดูเพ็ญเตรียมอาหารค่ะ” ปากอิ่มสวยสีระเรื่อขยับเพียงน้อยนิดทั้งเสียงที่ตอบก็บางเบา หากชายหนุ่มก็ได้ยิน แม้ความสนใจของเขาจะหยุดอยู่ที่กลีบปากสวยมากกว่าสิ่งใดก็ตาม “ต่อไปตื่นมาต้องเห็นคุณอยู่บนเตียงกับผม” เพลิงแค้นในใจ 'เปรมินทร์' แผดเผา 'กัญญานัน' ด้วยไฟเสน่หา
View Moreคุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”“ครับ”ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พ
“อะไรนะ”เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”“นายกลาง”ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ“จริงเหรอหนูก้อย”คุณชายถามสั้นๆกัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ“ค่ะคุณพ่อ”“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกน
ในห้องนอนขนาดกลางของบ้านหลังใหญ่หรือเรียกวังน่าจะถูกกว่า มีร่างอ้อนแอ้นงดงามในชุดคลุมหลังอาบน้ำเดินไปเดินมา กระทั่งสวมเสื้อผ้าชุดกระโปรงผ้าพลิ้วยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูเรียบร้อย แล้วมาหยุดหน้ากระจกบานใหญ่สูงครึ่งตัวกรอบฉลุลายโบราณสวยวิจิตร แต่งเติมหน้าตาเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหนักไปที่ขั้นตอนการบำรุง จากนั้นก็รวบผมยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถักเปียหลวมๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจเดินเสียงเบาออกจากห้องเสียงตึงตังที่ได้ยินด้านล่างทำให้หญิงสาวทำหน้าฉงน ขณะเดียวกันใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามเอ่ยทัก“น้องก้อย จะไปไหนแต่เช้า”“ก้อยจะไปคุยเรื่องโรงเรียนกับเพื่อนค่ะพี่ปัฐ”หญิงสาวตอบ คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้ายุ่งไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน“พี่คิดว่ายกเลิกไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวนี้น้องก้อยดื้อ ไม่เชื่อพี่แล้วหรือไง”ปัฐวิกรพี่ชายคนโตของตระกูลอรรถพันธ์พงศ์ ตอนนี้เป็นหัวเรือใหญ่ของการบริหารงานทุกอย่างในครอบครัว ค่อนข้างนิ่งขรึม จริงจัง และเหตุมีผล สิ่งใดที่เขาเห็นว่าไม่เหมาะสมน้องทุกคนก็มักจะเชื่อฟัง ทว่าคราวนี้น้องน้อยกลับยังฝืนทำตามใจตัวเอง ทำให้พี่ชายถึงกับขุ่นใจ“โธ่...พี่ปั
“นั่นไงน้องสาวฉัน”“ว่าไงนะ”เปรมินทร์ถามก่อนจะหันกลับไปจ้องบนเวทีอีกครั้งอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลาพร้อมเอ่ยต่อ“ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลย”“อ๋อ ไม่ใช่คนที่นายเคยเจอหรอก นี่น้องสาวคนเล็ก”“น้องสาวคนเล็กงั้นเหรอ”ชายหนุ่มหันมามองเพื่อนอีกครั้งแล้วถามย้ำ“คนไหน”ตอนนี้กิตติกรเองก็หันมามองเพื่อนเช่นกัน เขายิ้มกว้างขณะตอบ“คนซ้ายมือ คนที่อยู่ทางซ้ายมือของเราน่ะ”คำบอกของเพื่อนทำให้เปรมินทร์เหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างลืมตัว นางฟ้าคนนั้นคือน้องสาวคนเล็กของเพื่อนสนิทเขาเอง เขาได้รู้จักกิตติกรตอนเรียนที่อเมริกาแล้วอยู่คณะเดียวกัน การเป็นคนไทยด้วยกันทำให้ทั้งคู่ปรึกษาช่วยเหลือกันและกันระหว่างเรียนมาตลอด เปรมินทร์รู้เพียงว่ากิตติกรมาจากครอบครัวผู้ดีเก่าจากนามสกุลของเขาเท่านั้น ด้วยความที่ทั้งสองคบหากันด้วยใจมากกว่า ก็เลยไม่มีการพูดคุยหรือถามไถ่เกี่ยวกับประวัติครอบครัวของกันและกันมากนัก ต่างก็รู้เท่าที่อีกฝ่ายบอกหรือไม่ก็พูดขึ้นในบางครั้ง เขารู้ว่ากิตติกรมีพี่น้องนับรวมตัวเองด้วยกันสี่คน เป็นผู้ชายสองผู้หญิงสอง รายละเอียดอื่นเขาไม่สนใจ ก็เหมือนกับกิตติกรที่รู้แค่ว่าเปรมินทร์เป็นลูกชายคนเดียวของ
ช่วงเวลาสองปีบางคนก็รู้สึกว่าผ่านไปเร็ว บางคนก็เหมือนจะแสนเชื่องช้า หากสำหรับเปรมินทร์แล้วเกิดขึ้นทั้งสองความรู้สึก ในเวลาที่สนุกสนาน ได้พบเจอเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ เปิดหูเปิดตาในสถานที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ทุกอย่างก็ดูจะผ่านไปรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดในงาน ต้องแก้ปัญหาและหาทางออกที่เหมาะสมเวลากลับขยับอย่างยากลำบาก จนแล้วจนรอดเปรมินทร์ก็ก้าวผ่านทุกอย่างมาได้โดยปราศจากความท้อหรือยอมแพ้ ขณะที่ต้องไปศึกษาการบริหารงานของธุรกิจกับผู้เป็นอาที่ออสเตรเลียชายหนุ่มถูกคุณเฮนรี่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก ทั้งที่เรียนจบถึงปริญญาเอก ทว่าเมื่อถึงเมืองไทยก็ต้องลงไปทำงานทุกอย่างในไร่ เรียนรู้ทุกจุด ทุกไร่ที่ครอบครัวมี รวมทั้งเหมืองพลอยที่เป็นมรดกตกทอดของเจ้าแม่อีกด้วย จนกระทั่งสามปีชายหนุ่มเข้าอกเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ทั้งยังผูกพันกับคนงานตั้งแต่ระดับล่างจนถึงผู้บริหารแล้ว แทนที่คุณเฮนรี่จะให้เขาได้ช่วยงานอย่างเต็มที่และริเริ่มการเพาะกล้วยไม้ ชายหนุ่มกลับถูกส่งไปฝึกเป็นผู้ช่วยอาของตนเองเสียก่อน เนื่องจากท่านอยากให้ลูกชายได้รู้จักการบริหารบริษัทที่อยู่ในระดับกลางหลังกลับมาเชียงรายอีกครั้ง เปรมินทร
แม้บนเวทีจะมีสาวงามถึงสองคนฟ้อนด้วยท่วงท่าลีลาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ตรึงสายตาของเปรมินทร์ให้มองตามทุกการร่ายรำของเธอ คนที่เขาเห็นเธอเป็นเหมือนนางฟ้านั่นเองหญิงสาวกำลังฟ้อนอย่างอ้อนช้อยงดงาม โดยมีมาลัยคล้องอยู่ในนิ้วของมือข้างหนึ่ง เปรมินทร์ไม่เคยรู้หรือสนใจเกี่ยวกับนาฎศิลป์ใดๆ ทว่าชายหนุ่มกลับรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังแสดงเรียกว่า ‘ฟ้อนมาลัย[1]’ จากเจ้าแม่ของเขาเอง เพราะท่านกระซิบกระซาบกับแม่เลี้ยงตั้งแต่มีการรำอวยพรวันเกิดในชุดแรกว่าเป็นมาธาวี หรือ สอง ลูกสาวคนเล็กรำเปิดงาน เขานั่งหลังผู้เป็นแม่จึงได้ยินชัด ซึ่งเจ้าแม่ของเขาก็ชมไม่ขาดปากว่ารำสวย มืออ่อน ตัวอ่อน หน้าตาก็สวยน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนางรำ เมื่อเพลงใหม่ดังขึ้นท่านก็อุทานชื่อการแสดงเบาๆ ด้วยความยินดี นั่นทำให้เขารู้ว่าการฟ้อนของนางฟ้าคนสวยชื่ออะไร“หนูสองคนนี้ก็รำเก่งเชียว สวยทั้งคู่เลย แม่เลี้ยงจ้างมาจากที่ไหนคะ ฉันชอบ เผื่อมีงานจะได้ติดต่อบ้าง”ชายหนุ่มเห็นเจ้าแม่ของเขาหันไปถามแม่เลี้ยงอีกครั้ง“อุ๊ย...ไม่ได้จ้างมาจากที่ไหนหรอกค่ะเจ้า หนูสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกสองค่ะ เขาเรียนด้วยก
อากาศเมืองเหนือที่มีฝนโปรยปรายเช้าจรดเย็นทั้งชื้นและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ แม้แต่คนตัวโตยังต้องหาความอบอุ่นให้ร่างกาย หากร่างน้อยร่างหนึ่งกลับไม่อาจทำได้ แม้มันจะพยายามซุกตัวเข้าไปในกองขยะที่สุมรวมกันอยู่มุมหนึ่งของถนนอย่างเต็มความสามารถ ขณะแทะเล็มเศษกระดูกอย่างพอใจกับรสและกลิ่นทว่าเสียงฝีเท้ากับกลิ่นกระดูกไก่ย่างหอมๆ ที่ลอยมาใหม่ ทำให้เจ้าตัวน้อยมุดตัวโผล่ออกจากกองขยะด้วยความสนใจอย่างไม่แคร์ฝนฟ้าซึ่งเริ่มกระหน่ำมากขึ้นคนที่กำลังเพิ่งทิ้งขยะลงถังและพยายามจะเก็บชิ้นอื่นๆ ที่หล่นบนพื้นผงะเล็กน้อย เพราะบางอย่างขยุกขยิกก่อนจะมีเจ้าตัวเล็กกระจ้อยสีเทาขมุกขมัว เลอะทั้งโคลนทั้งเศษอาหารโผล่มาตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทแป๋วแหววคู่เล็กจ้องมองมาพร้อมหน้าแหลมแหงนเงยเต็มที่ใบหน้าสวยหวานราวนางฟ้าซ่อนอยู่ในฮูดกันฝนมองมันนิ่งชั่วครู่ แล้วมือเรียวบางจึงค่อยๆ ยื่นไปหามันพร้อมระบายยิ้มละไมบนริมฝีปากอิ่มสีเรื่อ เจ้าตัวเล็กเอียงคอมองมือนั้นอย่างไม่แน่ใจ แต่เพียงอึดใจเดียวมันก็เลียแผล็บที่นิ้วเรียว ดมฟุดฟิด ก่อนจะเลียซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ระหว่างนั้นมือบางอีกข้างก็ค่อยๆ หยิบขยะรอบๆ เจ้าตัวเล็กใส่ถังจนหมด ร่างเล
อากาศเมืองเหนือที่มีฝนโปรยปรายเช้าจรดเย็นทั้งชื้นและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ แม้แต่คนตัวโตยังต้องหาความอบอุ่นให้ร่างกาย หากร่างน้อยร่างหนึ่งกลับไม่อาจทำได้ แม้มันจะพยายามซุกตัวเข้าไปในกองขยะที่สุมรวมกันอยู่มุมหนึ่งของถนนอย่างเต็มความสามารถ ขณะแทะเล็มเศษกระดูกอย่างพอใจกับรสและกลิ่นทว่าเสียงฝีเท้ากับกลิ่นกระดูกไก่ย่างหอมๆ ที่ลอยมาใหม่ ทำให้เจ้าตัวน้อยมุดตัวโผล่ออกจากกองขยะด้วยความสนใจอย่างไม่แคร์ฝนฟ้าซึ่งเริ่มกระหน่ำมากขึ้นคนที่กำลังเพิ่งทิ้งขยะลงถังและพยายามจะเก็บชิ้นอื่นๆ ที่หล่นบนพื้นผงะเล็กน้อย เพราะบางอย่างขยุกขยิกก่อนจะมีเจ้าตัวเล็กกระจ้อยสีเทาขมุกขมัว เลอะทั้งโคลนทั้งเศษอาหารโผล่มาตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทแป๋วแหววคู่เล็กจ้องมองมาพร้อมหน้าแหลมแหงนเงยเต็มที่ใบหน้าสวยหวานราวนางฟ้าซ่อนอยู่ในฮูดกันฝนมองมันนิ่งชั่วครู่ แล้วมือเรียวบางจึงค่อยๆ ยื่นไปหามันพร้อมระบายยิ้มละไมบนริมฝีปากอิ่มสีเรื่อ เจ้าตัวเล็กเอียงคอมองมือนั้นอย่างไม่แน่ใจ แต่เพียงอึดใจเดียวมันก็เลียแผล็บที่นิ้วเรียว ดมฟุดฟิด ก่อนจะเลียซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ระหว่างนั้นมือบางอีกข้างก็ค่อยๆ หยิบขยะรอบๆ เจ้าตัวเล็กใส่ถังจนหมด ร่างเล...
Comments