“อะไรนะ”
เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่
“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”
“นายกลาง”
ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด
“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”
คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ
“จริงเหรอหนูก้อย”
คุณชายถามสั้นๆ
กัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ
“ค่ะคุณพ่อ”
“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกนี้กันแล้วนะคะ รุจีคิดว่ามันจะมีแต่ล้มไม่เป็นท่าน่ะสิคะ ทำงานของเราเองไม่ต้องลงทุนอะไรก็ดีอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เราก็ไม่เสียด้วย เพราะเอาเข้าจริงยายก้อยก็คงทำอะไรไม่เป็นกับเขาอยู่แล้ว ตอนเรียนรุจีก็แย้งแล้วว่าไม่ให้เรียนนาฏศิลป์ จบมาจะไปทำอะไร คนที่ทำเป็นแต่เต้นกินรำกินอย่างยายก้อยจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้”
ลูกสาวคนเล็กของบ้านได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเศร้าๆ กับคำพูดของผู้เป็นแม่ ขณะที่พี่ชายต่างก็เงียบด้วยความสงสารกัญญานัน แล้วในที่สุดคุณชายพงศกรก็เอ่ยขึ้นมา
“พ่อจะตามใจหนูก้อย แต่อย่างที่บอกว่าบ้านเรากำลังมีปัญหาหนัก ซึ่งปัญหามันมาจากพ่อเอง พ่อไม่อยากให้หนูก้อยต้องมาลำบากรับภาระของเราหรอก แต่เราอาจจะไม่มีเงินทุนให้หนู”
“ก้อยมีเงินเก็บค่ะ ก้อยจะไม่รบกวนทางบ้าน”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“พ่อจะเล่าที่มาที่ไปปัญหาของบ้านเราให้หนูก้อยฟังเป็นข้อคิด แล้วก็ขึ้นอยู่กับลูกว่าจะตัดสินใจยังไง เพราะพ่อเองก็อยากให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก แต่พ่อก็กลัวว่ามันอาจจะไปไม่ถึงจุดหมาย เพราะบางทีการลงทุนก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราหวัง”
หลังจากเกษียณเมื่อห้าปีก่อน คุณชายไม่อยากอยู่ว่างๆ จึงลงทุนอสังหาริมทรัพย์กับเพื่อนเก่า ทั้งยังเล่นหุ้นตามคำชวนอีก ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี ทว่าหกเดือนผ่านไปกลับไม่เป็นตามนั้น หุ้นดิ่งลงเหว เงินที่ร่วมลงทุนก็สูญเพราะอีกฝ่ายเงียบหาย งานด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่เดินหน้า ทุกคนที่ติดต่องานโทรตามกับเลขาคนสนิทของคุณชายซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายของตระกูล โดยทนายไม่เคยเปิดเผยชื่อคุณชายให้ใครได้รับรู้ สุดท้ายคุณชายก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่มีทั้งหมด แม้ทนายจะช่วยหาทางค่อยๆ ผ่อนผันได้ แต่จำนวนเงินก็มหาศาล
ประจวบกับที่ธุรกิจของคุณรุจีรัตน์เริ่มขาลง ลูกชายทั้งสองคนต้องเข้ามาช่วยงาน ทั้งคู่พยายามทำได้ดี ทว่าเงินของคุณชายหมด ที่ทางที่มีก็ขายเกลี้ยงจนฐวิกรเริ่มสงสัยจึงเค้นเอากับทนายความทำให้รู้ถึงปัญหาของผู้เป็นพ่อ พวกเขาไม่ต้องการให้สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษหมดไป จึงใช้เงินของแบรนด์จิวเวลรี่มาส่งทยอยชดใช้หนี้ และหมุนวนเวียนจนปวดหัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำได้เพียงดึงส่วนนั้นโปะแทนส่วนนี้ไปเรื่อยๆ
กัญญานันได้ฟังก็อึ้งจนพูดไม่ออก ความรู้สึกบีบคั้นมากมายกดทับตัวเต็มไปหมด ทั้งตกใจ เสียใจ สับสน ทางบ้านเดือดร้อนมาก แต่ตนเองไม่เคยรับรู้มาก่อน ทั้งยังใช้เงินอย่างมีกินมีใช้มีความสุข ไม่เคยลำบาก เธอทั้งซาบซึ้งกับสิ่งที่ครอบครัวพยายามประคับประคอง ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผิด เป็นอย่างนี้แล้วเธอจะละทิ้งภาระที่กำลังหนักอึ้งของทางบ้านได้อย่างไร
เธอกับเพื่อนๆ แพลนงานของตัวเองมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างมากแล้ว ที่สำคัญคือ โรงเรียนของเธอไม่ได้เปิดสอนที่กรุงเทพฯ ทว่าเธอกลับรู้สึกไม่พร้อมที่จะทิ้งครอบครัวไปอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยซ้ำ
“ว่าไงฮึ ยายก้อย คราวนี้ยังอยากจะทิ้งคุณพ่อ ทิ้งแม่ แล้วก็ทิ้งพี่ๆ ของเราไปทำงานที่รักของตัวเองอยู่อีกไหม”
ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นราวมานั่งอยู่ในใจ ขณะที่กัญญานันถึงกับพูดไม่ออก
“ถ้ายังไม่รู้จะตัดสินใจยังไง ไปคิดดูก่อนก็ได้ พี่บอกแล้วว่าอยากให้น้องก้อยพักก่อน ยังไงก็ยังมีเวลาอีกสักพัก”
ปัฐวิกรบอกอย่างใจดี แต่เขาตัดสินใจแทนน้องสาวไปแล้วว่าเธอจะต้องเลือกทำงานกับครอบครัว เขาไม่เห็นด้วยกับการไปทำงานต่างจังหวัดของเธอ พี่ชายคนโตรู้เรื่องนี้เพราะน้องสาวเลือกจะปรึกษากับเขาเป็นคนแรก หากเขาก็บอกปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงไม่อยากให้น้องไปอยู่ห่างไกลยากเกินที่จะดูแลถึง
“นั่นสิ หนูก้อยคิดดูก่อนก็ได้ลูก”
คุณชายพงศกรสำทับเพราะเห็นท่าทางสับสนของลูกสาวคนเล็กแล้วอดเห็นใจไม่ได้
ทางด้านกิตติกรที่สนับสนุนน้องสาวมาตลอดได้แต่เอื้อมมือโอบไหล่บางลูบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ส่วนคุณรุจีรัตน์ก็ยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยย้ำคล้ายเตือนสติ
“คิดให้ดีนะจ๊ะลูกรัก”
“น้องก้อยน่ะคิดดีอยู่แล้วครับ ผมว่าคุณแม่น่าจะห่วงน้องนางมากกว่า รายนั้นรู้เรื่องขึ้นมาคงช็อกน่าดู แถมน่าจะโวยวายเพราะกลัวตัวเองจะไม่มีเงินเอาไว้ช็อปปิ้งแล้วก็สังสรรค์ทำตัวหรูหรา”
“ตายแล้วตากลาง ทำไมไปว่าน้องอย่างนั้นฮึ”
“ผมพูดจริงนะครับ คุณแม่ก็เห็นว่าน้องนางไปเรียนใช้เงินหมดแต่ละเดือนเยอะแค่ไหน ผมยังใช้ได้ตั้งสามสี่เดือนแน่ะ”
“เอ๊ะ น้องเป็นผู้หญิงนี่ลูก ผู้หญิงมีของใช้เยอะกว่าผู้ชายก็อย่างนี้แหละ”
ผู้เป็นแม่ยังปกป้องลูกสาวสุดที่รักเช่นเดิมจนกิตติกรคร้านจะแย้งจึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วลงมือทานอาหารที่ดูเหมือนจะเย็นชืดจากเรื่องเครียดที่พูดคุย แต่คุณรุจีรัตน์เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันไปเอานิตยสารที่หยิบติดมือลงมาเพื่อจะถามลูกชายคนกลางถึงรูปที่ตนเองสะดุดและสนใจ เมื่อเปิดเจอหน้าที่ต้องการก็ยื่นข้ามฝั่งมาตรงหน้ากิตติกร
“คนนี้เป็นเพื่อนลูกกลางหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มกวาดสายตาลวกๆ ก่อนจะตอบรับ
“ครับ”
เนื้อหาข่าวเกี่ยวกับงานส่งเสริมวัฒนธรรมไทยที่เขาไปกับกัญญานันแล้วบังเอิญได้เจอกับเปรมินทร์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ดูจากภาพที่เขากับเพื่อนตบไหล่กันแล้วกิตติกรก็จำได้ทันที
“อุ๊ย...จริงเหรอลูก ดีจริง นี่รู้ไหมว่าเจ้าปัทมาดารากับแม่น่ะเคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนคอนแวนต์เดียวกันมาก่อนนะลูก ไม่คิดเลยว่าลูกๆ จะได้มาเป็นเพื่อนกัน เห็นในข่าวเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของไร่ใหญ่โตในเชียงรายเลยนะลูก กินเนื้อที่ภูเขาตั้งสองสามลูกแน่ะ แถมยังเป็นเจ้าของเหมืองแร่ชื่อดังทางภาคตะวันตกด้วย”
“คงงั้นมั้งครับ ผมไม่ทราบ ไม่เคยถามไอ้มินทร์มัน”
คุณรุจีรัตน์ยิ้มกว้างอย่างสนอกสนใจตัวอักษรที่บรรยายในนิตยสาร หัวข้อที่ว่า‘หนุ่มหล่อทายาทเจ้าปัทมาดาราปรากฏตัวพร้อมทายาทคุณชายพงศกร’
“เรียกกันแบบนี้ สนิทสนมกันมากไหมจ๊ะลูก...ตากลาง”
“ก็...พอสมควรครับ”
อยู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจับมือเขาเขย่าเบาๆ สีหน้าไม่ปกปิดความสนใจ ทำเอากิตติกรอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่คำถามต่อมากลับทำเอาเขาอึ้งยิ่งกว่า
“แล้วพอจะรู้สเปกเพื่อนคนนี้หรือเปล่าจ๊ะ”
ไม่เพียงแค่กิตติกรเท่านั้น คนบนโต๊ะที่เหลือต่างก็มองคุณรุจีรัตน์เป็นตาเดียว พร้อมกับที่ท่านเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา
“ลูกคิดว่าอย่างน้องนางนี่สเปกคุณเปรมินทร์ไหมจ๊ะ”
=====
รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”“ครับ”ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พ
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่กัญญานันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นรถตู้ของไร่ภูศรีจันแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตึก แม้จะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่จำต้องพบหน้ากัน กัญญานันก็เลือกวางเฉยทำให้ระหว่างทั้งคู่ยังอึมครึมอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โรงเรียนของเธอกับเพื่อนก้าวหน้ารวดเร็วจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเปรมินทร์ ชายหนุ่มช่วยดูแบบ ออกความคิดเห็นปรับแก้ในจุดที่บกพร่อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง ทั้งยังเป็นธุระติดต่อเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี สวยงาม ราคาย่อมเยา เพราะกัญญานันกับมาธาวีไม่สันทัดทั้งคู่“ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าเราเป็นพี่มินทร์แล้วเห็นหน้าเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เจอนะ เราถอยไปนานแล้ว”มาธาวีที่กำลังช่วยกัญญานันจัดพื้นที่ต้อนรับด้านล่างกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอคนจากไร่ภูศรีจันกัญญานันไม่เถียงเพื่อน เพราะเธออธิบายจนเหนื่อยแล้วแต่มาธาวีก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเปรมินทร์กำลังตามจีบเธอ เหตุผลที่กัญญานันพยายามปฏิเสธเพราะเธอเคยเห็นเขากับวันนิสามาก่อน อีกทั้งยังได้รู้จากเพื่อนด้วยว่าเจ้าปัทมาด
“ทำหน้าแบบนั้น อยากพูดอะไร อยู่กับผมคุณไม่ต้องสงบปากสงบคำนักก็ได้ คุณไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่สักหน่อย แล้วผมก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจที่เมียต้องฟังผัวอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก”หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นเพราะคำพูดโต้งๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาเช่นเคยก่อนจะพึมพำเสียงเบา“ไม่มีอะไร...”ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคก็รู้สึกถึงร่างสูงกำยำที่โน้มลงมาหา กัญญานันเอนกายไปด้านหลังเอียงหน้าหลบเต็มที่ พอจะดันมือกับเตียงเพื่อถอยก็ปรากฏว่าไปเจอเข้ากับมือหนาทั้งสองข้างที่วางข้างกายเธอสองด้านเหมือนกักกันกลายๆ ทำให้เธอไม่อาจขยับไปไหนได้ ขณะที่ใบหน้าคมหล่อเหลาเคลื่อนมาชิดหน้าเธอทั้งยังเอียงทำมุมจนสามารถมองตากันได้อย่างชัดเจน ด้วยความตกใจกลัวการคุกคามอย่างกะทันหันของชายหนุ่มกัญญานันจึงผงะ หลับตาปี๋ สองมือตั้งใจจะผลักอกแกร่งแต่กลับกลายเป็นถูกรั้งเข้าไปกอดไว้“เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”เขายังดุเบาๆ“คุณมินทร์”“หืม”แม้จะขานรับหญิงสาวไปแต่ตอนนี้เปรมินทร์กำลังให้ความสนใจกับมือนุ่มนิ่มที่แตะบนแผงอกเขากับใบหน้าหวานด้านข้าง ที่วันนี้ผมยาวสลวยของกัญญานันถูกรวบขึ้นมวยสูงเผยแก้มผ่องใส ดวงหน้างดงามแจ่มกระจ่างตา ความสวยลออตาก่
วันนี้เป็นวันที่กัญญานันไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในชีวิต แม้จะเคยฝันไว้ว่าอยากใส่ชุดเจ้าสาวในแบบไหน แต่ไม่เคยคิดว่าเจ้าบ่าวของตนจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน และยิ่งเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สมบัติพัสถาน ทั้งยังฉลาดเฉลียว มีความสามารถโดดเด่นหลายอย่างดังเช่นที่เขาเคยแสดงให้เธอได้เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ได้รู้จักกันอย่างเปรมินทร์ เธอยิ่งไม่เคยนึกฝัน แม้รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรชีวิตของเธอก็ตาม กระทั่งทุกสิ่งล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่เธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของเขาเวลานี้เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของทางฝ่ายเธอและเปรมินทร์ มือของเธออยู่ในมือหนาแข็งแรงของอีกฝ่ายขณะที่เขากำลังสวมแวนให้เธออย่างแผ่วเบา เนื้อแหวนที่เย็นเฉียบทำให้กัญญานันรู้สึกหนักอึ้ง หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาพร่ามัว ยกมือไหว้เขาอย่างอ่อนช้อยในขณะที่เขาเองก็รับไหว้เธอตอบ กัญญานันจำต้องข่มน้ำตาที่เอ่อคลอเอาไว้ แม้ใครหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าสาวกำลังตื้นตันกับวันวิวาห์แสนหวานก็ตามใช่ว่ากัญญานันจะรังเกียจเปรมินทร์จนถึงขั้นไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับชายหนุ่มได้ แต่เธอถูกบีบบังคับจนไม่เหลือทางให้เ
เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่กัญญานันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นรถตู้ของไร่ภูศรีจันแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตึก แม้จะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่จำต้องพบหน้ากัน กัญญานันก็เลือกวางเฉยทำให้ระหว่างทั้งคู่ยังอึมครึมอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โรงเรียนของเธอกับเพื่อนก้าวหน้ารวดเร็วจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเปรมินทร์ ชายหนุ่มช่วยดูแบบ ออกความคิดเห็นปรับแก้ในจุดที่บกพร่อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง ทั้งยังเป็นธุระติดต่อเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี สวยงาม ราคาย่อมเยา เพราะกัญญานันกับมาธาวีไม่สันทัดทั้งคู่“ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าเราเป็นพี่มินทร์แล้วเห็นหน้าเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เจอนะ เราถอยไปนานแล้ว”มาธาวีที่กำลังช่วยกัญญานันจัดพื้นที่ต้อนรับด้านล่างกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอคนจากไร่ภูศรีจันกัญญานันไม่เถียงเพื่อน เพราะเธออธิบายจนเหนื่อยแล้วแต่มาธาวีก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเปรมินทร์กำลังตามจีบเธอ เหตุผลที่กัญญานันพยายามปฏิเสธเพราะเธอเคยเห็นเขากับวันนิสามาก่อน อีกทั้งยังได้รู้จากเพื่อนด้วยว่าเจ้าปัทมาด
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก