ในห้องนอนขนาดกลางของบ้านหลังใหญ่หรือเรียกวังน่าจะถูกกว่า มีร่างอ้อนแอ้นงดงามในชุดคลุมหลังอาบน้ำเดินไปเดินมา กระทั่งสวมเสื้อผ้าชุดกระโปรงผ้าพลิ้วยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูเรียบร้อย แล้วมาหยุดหน้ากระจกบานใหญ่สูงครึ่งตัวกรอบฉลุลายโบราณสวยวิจิตร แต่งเติมหน้าตาเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหนักไปที่ขั้นตอนการบำรุง จากนั้นก็รวบผมยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถักเปียหลวมๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจเดินเสียงเบาออกจากห้อง
เสียงตึงตังที่ได้ยินด้านล่างทำให้หญิงสาวทำหน้าฉงน ขณะเดียวกันใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามเอ่ยทัก
“น้องก้อย จะไปไหนแต่เช้า”
“ก้อยจะไปคุยเรื่องโรงเรียนกับเพื่อนค่ะพี่ปัฐ”
หญิงสาวตอบ คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้ายุ่งไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“พี่คิดว่ายกเลิกไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวนี้น้องก้อยดื้อ ไม่เชื่อพี่แล้วหรือไง”
ปัฐวิกรพี่ชายคนโตของตระกูลอรรถพันธ์พงศ์ ตอนนี้เป็นหัวเรือใหญ่ของการบริหารงานทุกอย่างในครอบครัว ค่อนข้างนิ่งขรึม จริงจัง และเหตุมีผล สิ่งใดที่เขาเห็นว่าไม่เหมาะสมน้องทุกคนก็มักจะเชื่อฟัง ทว่าคราวนี้น้องน้อยกลับยังฝืนทำตามใจตัวเอง ทำให้พี่ชายถึงกับขุ่นใจ
“โธ่...พี่ปัฐ ก้อยยังเชื่อพี่ปัฐเหมือนเดิม แต่นี่เป็นงานที่ก้อยรัก ก้อยกับเพื่อนตั้งใจกับมันมากนะคะ”
“แต่คุณพ่อคุณแม่จะไม่อนุญาตแน่นอน”
อีกฝ่ายเสียงเข้มขึ้นจนคนถูกดุหน้าจ๋อยลงทันตาเห็น ซึ่งก็ทำเอาพี่สงสารต้องเดินเข้ามาหาแล้วดึงร่างบางมาแนบอก มือลูบผมนิ่มสลวยเบาๆ
“พี่เตือนแล้วว่าพวกท่านจะไม่เห็นด้วยกับงานนี้ของน้อง ทำไมยังดื้ออีกฮึ”
ใบหน้าสวยหวานเงยขึ้นมองหน้าขาวคม ตาโตสวยวาววามสบกับดวงตาคู่คมอย่างขอร้องกึ่งวิงวอน
“ขอแค่พี่ปัฐช่วยก้อย”
“พี่จะช่วยอะไรได้”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“พี่กลางก็สัญญาว่าจะช่วยพูดกับคุณพ่อคุณแม่ให้ก้อย ถ้ามีพี่ปัฐอีกคน ก้อยคิดว่า...”
“นายกลางนี่รักน้องจนไม่ลืมหูลืมตา”
พี่ชายคนโตบ่นน้องคนรองจนหญิงสาวได้แต่แอบทำหน้าแหย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเขาต้องไปดุอีกฝ่ายกับตัวซ้ำอีกครั้งตามประสาพี่ชายที่มักจะบ่นกับพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของน้องๆ
แล้วก่อนที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมาอีกเสียงตึงตังด้านล่างก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจแล้วก็พร้อมใจเดินลงไปดู โดยมีร่างสูงกำยำของคนที่โดนบ่นเมื่อครู่พุ่งออกมาจากห้องของตนในเวลาต่อมา
“ใครมาทำเสียงดังอะไรวะเนี่ย”
กิตติกรบ่นด้วยความรำคาญมือก็ขยับเนกไทที่คอตนเองให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบสูทที่พาดบ่าไว้มาถือ ในมืออีกข้างมีกระเป๋าใส่เอกสารทำงาน แล้วพรวดลงบันไดไปอย่างรีบเร่ง แต่เมื่อกำลังจะก้าวไปยังห้องอาหาร สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำเอาหนุ่มหล่อมาดสำอางชะงัก
กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังต่างพยายามช่วยกันยกตู้โบราณหลังใหญ่เคลื่อนที่ช้าๆ ผ่านหน้าเขา ตรงไปยังประตูด้านหน้า
“นี่มันอะไรกัน”
เพราะรู้ว่าคนที่จะตอบคำถามของตนไม่ใช่คนพวกนี้ เขาจำได้ว่านี่เป็นตู้ในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นของเก่าโบราณตกทอดมานานหลายร้อยปี เหมือนกับของหลายชิ้นในบ้านหลังนี้ที่มีคุณค่าด้านจิตใจและมูลค่ามหาศาล ร่างสูงจึงก้าวไปยังจุดที่คิดว่าพวกเขาขนมันออกมา ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึง ร่างอวบของแม่บ้านคนสนิทของคุณรุจีรัตน์ ก็มาหยุดชายหนุ่มเอาไว้เสียก่อน
“น้านวล”
“เชิญคุณกลางที่ห้องอาหารเถอะนะคะ”
“พวกเขาจะเอาของไปไหนครับ”
นวลอนงค์ได้รับคำสั่งจากคุณรุจีรัตน์ให้ดูแลระหว่างการขนย้ายให้เรียบร้อย ทว่าไม่อาจตอบคำถามของผู้เป็นนายน้อยได้
“เชิญคุณกลางค่ะ”
เธอผายมือเชื้อเชิญ กิตติกรรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการตอบเขา ชายหนุ่มถอนหายใจไม่พอใจ แล้วเดินกลับไปทางห้องอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวผ่านประตูเข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงของพี่ชายคนโตดังแทรกออกมา
“ผมไม่เห็นด้วย ที่เราจะต้องถึงกับขายสมบัติเก่าแก่ของตระกูลพวกนั้น”
“แล้วปัฐจะให้แม่ทำยังไง ทุกวันนี้เราแทบจะไม่มีเงินอยู่ในบัญชีส่วนตัวกันแล้ว ถ้าไม่ขายของพวกนั้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในบ้าน นี่ยังไม่นับเรื่องที่ต้องหาเงินทุนหนุนธุรกิจของบ้านเราเลยนะ”
กิตติกรเข้าไปขณะที่ผู้เป็นแม่เอ่ยประโยคนั้น ทุกคนภายในห้องหันมามองเขา ชายหนุ่มเองก็มีหน้าสีขุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด เขาตรงไปนั่งลงข้างน้องสาวคนสวยที่กำลังขมวดคิ้วยุ่ง ยิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วนิ่งฟังต่อพร้อมกับที่สาวใช้เริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟให้
“แต่นี่มันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่ดีนะครับ”
“นี่ตาปัฐกำลังต่อว่าแม่กับคุณพ่อหรือไง”
คุณรุจีรัตน์ดุบุตรชายคนโตเบาๆ เพราะความเป็นผู้ดีที่มีอยู่ในตัว แม้จะไม่ใช่เชื้อสกุลอย่างคุณชายพงศกร หากก็มาจากตระกูลดังของผู้ที่เคยรับใช้อยู่ในรั้วในวัง รวมทั้งอีกฝ่ายเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ตนเกรงใจและรักใคร่นักหนา
“ผมแค่...”
“ต่อให้เราขายของทั้งบ้าน รวมทั้งขายเครื่องเพชรเครื่องทองของต้นตระกูลที่ตกทอดกันมาทุกรุ่นจนหมดก็ยังไม่พอ ถ้าคุณแม่ยังบินไปเที่ยวบ่อยๆ”
กิตติกรที่นิ่งฟังอยู่พักหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาโดยไม่สนใจมารยาทใดๆ
ผู้เป็นแม่ที่ใบหน้างดงามอย่างไทยแท้หันมองลูกชายคนรองตาดุ แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาความงามก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง ทั้งเรือนร่างก็ยังสวยอิ่มได้ทรวดทรง ถึงจะอยู่ในชุดแสกสวยเนื้อผ้าพลิ้วไหวรัดรูปร่าง คุณรุจีรัตน์ก็ยังไม่มีส่วนเกินใดๆ ที่ยื่นออกมาจนเกินงาม
“ตากลาง”
“นายกลาง”
น้ำเสียงสามเสียงหากแต่คนละโทนดังขึ้นพร้อมกันจนกิตติกรต้องกลอกตา รู้ถึงชะตากรรมของตนเองว่าต้องถูกดุ เพราะคนที่เรียกเขารวมผู้มาใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาด้วย ชายหนุ่มหันไปมองบิดาของตนซึ่งอยู่ในชุดลำลองสบายๆ หากก็ยังดูทรงไปด้วยอำนาจบารมี วาสนาในฐานันดร รวมทั้งตำแหน่งหน้าที่ที่เคยดำรง ทำให้คุณชายพงศกรอดีตผู้พิพากษาที่เกษียณงานแล้วยังดูทรงภูมิน่านับถือ หากเวลานี้ใบหน้าที่เคยคมคายหล่อเหลามีริ้วรอยเพิ่มขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่สบายใจที่แสดงออกอย่างชัดเจน ท่านมาที่โต๊ะอาหารพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ
กิตติกรมองบิดาแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างสลด ชายหนุ่มกลัวบิดามากกว่าผู้ใดในบ้าน แม้จะเกรงใจปัฐวิกรบ้าง แต่ไม่ใช่กลัว ส่วนกับผู้เป็นแม่นั้น เรียกได้ว่ามีเพียงความเคารพเท่านั้น หาได้กลัวหรือยำเกรงไม่
“พูดกับแม่อย่างนี้ได้ยังไง เราเป็นเด็กนะ”
คุณชายพงศกรนั้นได้ชื่อว่าค่อนข้างเข้มงวดกับลูกผู้ชาย ส่วนกับลูกสาวท่านจะตามใจแล้วก็รักใคร่ ไม่เคยดุหรือว่ากล่าวใดๆ ทั้งสิ้น
“ขอโทษคุณแม่ นายกลาง”
พี่ชายคนโตช่วยเสริมผู้เป็นพ่อ ซึ่งกิตติกรก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากลุกขึ้นเดินไปหาพร้อมยิ้มประจบคุณรุจีรัตน์ ยกมือขึ้นไหว้แล้วโอบกอดท่าน
“ผมขอโทษครับคุณแม่ ผมแค่ไม่อยากให้อะไรมันเลวร้ายไปกว่าทุกวันนี้”
คุณรุจีรัตน์ที่มักจะอ่อนลงเพราะลูกอ้อนของลูกคนรองยิ้มอ่อน ยกมือลูกแก้มสากเบาๆ แล้วหอมตามลงไปก่อนจะบอก
“ไม่เป็นไรลูก รีบไปทานข้าวนะ แล้วจะได้ไปทำงาน”
ระหว่างกิตติกรกลับมาที่เก้าอี้ตนเอง คุณชายพงศกรก็นั่งลงหัวโต๊ะ สาวใช้รีบกุลีกุจอมาเสิร์ฟอาหารขณะท่านพูดด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจ
“พ่อทำให้ลูกๆ ลำบาก”
ผู้เป็นศรีภรรยาเห็นดังนั้นจึงรีบโบกมือไล่สาวใช้สองคนให้ออกไปข้างนอก
“ถ้าตอนนั้นพ่อไม่หน้ามืด หลงเชื่อคำเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ บ้านเราก็คงไม่ต้องอับจนหนทางขนาดนี้”
น้ำเสียงเศร้าของคุณชาย ทำเอาลูกชายทั้งสองคนได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก ในขณะที่ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านกลับทำหน้ามึนงง เพราะไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรมาก่อน เมื่อเห็นของในบ้านถูกขนออกไปเธอก็ตกใจ แล้วพอพี่ชายคนโตพูดคุยกับมารดาหญิงสาวก็ได้แต่นั่งฟังด้วยความสับสนมึนงง หากก็ไม่กล้าเสียมารยาทถามไถ่ ในเมื่อผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่
คุณรุจีรัตน์เอื้อมมือไปบีบมือใหญ่ของคู่ชีวิตเบาๆ ในเชิงปลอบพร้อมกับเตือนกลายๆ ทว่าคุณชายกลับส่ายหน้าให้เล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ หนูก้อยเรียนจบ โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับรู้ปัญหาในบ้านแล้วล่ะ”
เมื่อเดือนที่แล้วกัญญานันเพิ่งจะรับปริญญาไปสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้หญิงสาวอาศัยอยู่ที่หอในมหาวิทยาลัย กลับบ้านในวันสุดสัปดาห์ ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการเรียน กิจกรรมพิเศษด้านนาฏศิลป์มากกว่าจะได้รับรู้ความเป็นไปทางบ้าน อีกอย่างคือ ครอบครัวของเธอเองก็ไม่ได้ต้องการให้น้องสาวสองคนที่ยังอยู่ในช่วงวัยเรียนรับรู้ถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นกับตระกูลด้วย
“น้องก้อยทราบ น้องนางก็ควรจะทราบด้วยนะครับ เธอจะได้หยุดใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายสักที”
ปัฐวิกรพูดขึ้น เขาได้รับสิทธิ์ในการโต้แย้ง หรือชี้แจงภายในครอบครัวได้อย่างอิสระ เนื่องจากชายหนุ่มเป็นผู้ที่บิดาไว้ใจอย่างมาก ทั้งมารดายังเกรงใจ เพราะมีวุฒิภาวะ เหตุผล รวมถึงฉลาดเฉลียวจนสามารถกุมบังเหียนธุรกิจของบ้านได้ หากแบรนด์เสื้อผ้าของรุจีรัตน์ไม่ได้ปัฐวิกรทิ้งงานตัวเองมาดูแล ก็คงไม่ยืนอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ทั้งที่ควรจะล้มไปนานแล้ว
ทว่าข้อเสียคือ ชายหนุ่มรักและสงสารผู้เป็นแม่มาก จึงมักใจอ่อนกับท่านเสมอ เมื่อครั้งที่คุณรุจีรัตน์ใช้เงินบริษัทไปกับการพนันจนเกือบหมดตัวเกือบล้มละลาย ปัฐวิกรที่กำลังรุ่งเรืองกับหน้าที่วิศกรบริษัทของชาวต่างชาติที่มาลงทุนในเมืองไทยก็ลาออกจากงานมาบริหารงานที่ตนเองไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเปิดแบรนด์จิวเวลรี่ขึ้นเพื่อใช้การตลาดมาเป็นตัวเสริมจนสามารถถ่ายเทรายรับรายจ่ายให้กันได้ แต่ทุกวันนี้คุณรุจีรัตน์ก็ยังบินไปกาสิโนต่างประเทศทุกเดือน โดยอ้างว่าช็อปปิ้งกับเพื่อนๆ ซึ่งทั้งปัฐวิกรและกิตติกรต่างก็รู้ดี และไม่อาจห้ามได้ พอผู้เป็นแม่กลับมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยทั้งคู่ก็จำต้องช่วยเหลือ ทว่าไม่เคยแพร่งพรายเรื่องนี้ถึงหูผู้เป็นพ่อ คุณชายพงศกรจึงทราบเพียงว่าธุรกิจของทางบ้านกำลังซบเซา ส่วนปัญหาเงินทองไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายเป็นสาเหตุมาจากตนเอง
“เรื่องน้องนางแม่จะบอกเอง อีกสองสามวันเดี๋ยวแม่ก็จะบินไปหาน้องอยู่แล้ว เห็นว่าจะไปเที่ยวลาสเวกัสช่วงหยุดเทศกาล แม่ก็เลยว่าจะไปเป็นเพื่อนน้อง”
เมื่อคุณรุจีรัตน์เอ่ยปัฐวิกรกับกิตติกรก็เหลือบมองตากันทันที หากทำได้เพียงแอบถอนหายใจเท่านั้น
“เอ่อ แล้วบ้านเรามีปัญหาอะไรเหรอคะ ไม่ทราบว่าก้อยพอจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
หญิงสาวถามอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่เพราะผู้เป็นพ่ออนุญาตแล้วจึงคิดว่าคงไม่ผิด
“ถ้าอยากช่วย ก็ไปช่วยพี่ๆ เขาทำงานหาเงินเข้าบ้านเร็วๆ เราจบมาเดือนหนึ่งแล้ว แม่ยังไม่เห็นไปทำงานกับพี่ๆ เขาสักที”
ผู้เป็นแม่หันมาบอกด้วยน้ำเสียงเข้มงวด แม้จะรักลูกทุกคนมาก หากกัญญานันดูจะเป็นคนเดียวที่ท่านเอ็นดูน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่รัก เพียงแต่ท่านไม่ค่อยได้เลี้ยงดูลูกสาวที่เป็นลูกหลงคนนี้ คุณชายกับภรรยาคิดว่าลัลนาจะเป็นลูกคนสุดท้อง คุณรุจีรัตน์จึงริเริ่มงานที่ตัวเองชอบ คือการออกแบบเสื้อผ้า เพราะท่านเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ชอบการแต่งตัว ทว่าสี่ปีต่อมากลับตั้งท้องลูกอีกหนึ่งคน เมื่อคลอดแล้วก็มุ่งมั่นกับการทำงาน กัญญานันจึงมีแม่นมของคุณชายพงศกรยายของพิมพ์ปรางเป็นผู้เลี้ยงดู หญิงสาวโตมาพร้อมเพื่อนสนิท แล้วก็รักผูกพันกับยายจันทร์มากกว่ามารดา ในตอนที่ท่านเสียช่วงอยู่ม.ปลาย กัญญานันก็ร้องไห้คร่ำครวญมากพอๆ กับพิมพ์ปรางเลยทีเดียว
“เอ่อ คือว่า..ก้อย...”
“ผมอยากให้น้องก้อยพักผ่อนสักพักน่ะครับ”
ปัฐวิกรเอ่ยขึ้นอย่างต้องการช่วยเหลือ
“เหรอลูก งั้นก็แล้วแต่ปัฐแล้วกันนะจ๊ะ”
คุณรุจีรัตน์หันไปยิ้มกับลูกชายคนโต ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่ดูวิตกของลูกสาวคนเล็ก
“แล้วคิดไว้หรือยังว่าจะให้น้องไปทำตำแหน่งอะไร”
คุณชายพงศกรเอ่ยถามขึ้น ปัฐวิกรจึงขมวดคิ้วครุ่นคิด ในขณะที่กัญญานันนั้นอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเพราะเธอไม่ต้องการทำงานกับครอบครัว
“น้องก้อยตั้งใจว่าจะเปิดโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ให้เด็กๆ กับเพื่อนๆ น่ะครับคุณพ่อคุณแม่”
คนที่เอ่ยขึ้นมาคือกิตติกร ในเมื่อเจ้าตัวไม่กล้าพูด เขาสงสารน้องจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
=====
“อะไรนะ”เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”“นายกลาง”ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ“จริงเหรอหนูก้อย”คุณชายถามสั้นๆกัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ“ค่ะคุณพ่อ”“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกน
รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”“ครับ”ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พ
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให
“ฉันไม่ต้องการให้คุณมาช่วย มาดูแล ปล่อยนะ ฉันไม่กลับ ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ปล่อยฉันให้ตายเหมือนที่ปล่อยมอมแมมไปเลย”หนทางของคนที่จนมุมคือหันไปทุบตีต่อว่าอีกฝ่าย ขณะที่เขาพาเธอลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงสั่นเครือกับตากลมโตวาววับที่แดงเรื่อทำให้เปรมินทร์จับได้ว่าภรรยาโกรธตัวเองด้วยเรื่องอะไร เขาปรายตาไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขก“นายขับรถนะ”เปรมินทร์บอกกิตติกรแล้วพาร่างบอบบางเดินออกไปทันที ไม่สนใจเพื่อนสาวของเธอสองคนที่ได้ยินเสียงโวยวายแล้ววิ่งตามลงมา“ก้อย”สองสาวเรียกพร้อมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้กิตติกรมองสองสาวแล้วยักไหล่ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนออกไปร่างสูงใหญ่พากัญญานันมาถึงรถ กดรีโมตก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านหลังทั้งที่ยังอุ้มร่างบอบบางอยู่ วางเธอบนตักแกร่ง โอบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย“ก้อยงอนผมเรื่องนี้?”เขาก้มลงถาม แล้วเมื่อเห็นเพื่อนขึ้นไปนั่งหน้าพวงมาลัยก็โยนกุญแจรถให้“ฉันไม่ได้งอน”กัญญานันเถียงกลับขณะหันไปสบตาพี่ชายอย่างร้องขอ“ขึ้นภู”เปรมินทร์บอกเพื่อนสั้นๆ ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมผลักเขาพัลวัน เท้าก็ขยับดิ้นจนข้างที่เจ็บไปโดนที่นั่
เด็กๆ ทยอยกันกลับบ้านโดยมีผู้ปกครองมารับหลังจากหมดชั่วโมงสุดท้ายของช่วงบ่ายซึ่งสอนหลังเลิกเรียน สองหนุ่มลงจากรถแล้วเดินลิ่วสวนทางเข้าไป ด้านหน้าถัดจากประตูมีเคานเตอร์ต้อนรับอยู่ พนักงานกำลังยืนส่งผู้ปกครองกับเด็กๆ เมื่อเห็นสองหนุ่มก็ทำหน้างุนงง แต่เปรมินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน“ก้อยมาที่นี่ใช่ไหม อยู่ไหน”“เอ่อ...”สาวพนักงานอึกอัก ทำให้เปรมินทร์ยิ่งหงุดหงิด รู้ว่าเธอไม่รู้จักเขา เพราะหลังจากวันทำบุญเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีก“ผมเป็นพี่สาวน้องก้อย กัญญานันน่ะ แล้วนี่สามีเขา น้องก้อยอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”กิตติกรที่ใจเย็นกว่าอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เธอเพิ่งเคยได้พบคุณกัญญานันหุ้นส่วนอีกคนของที่นี่วันนี้เอง และไม่เคยเจอสามีหรือพี่น้องเจ้านายมาก่อน“ใช่ค่ะ”“แล้วอยู่ไหน”เปรมินทร์ย้ำเสียงดุ“คุณสองกับคุณปรางลงมาส่งเด็กๆ เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่น่ะค่ะ คุณกัญญาไม่ได้ลงมาด้วย ฉันคิดว่าอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นสาม เพราะขาเธอยังเจ็บอยู่”แม้ว่าพนักงานสาวจะพูดจนจบประโยคทว่าเปรมินทร์ไม่ได้รอฟัง เขาพุ่งตัวเข้าไปด้านในตั้งแต่ได้ยินว่าชั้นสามแล้ว กิตติกรเอ่ยขอบคุณ ยิ้มให้อีกฝ่ายขำๆ แล้วก้าวตามไป สองห
“หึ...เสียหาย คุณเสียอะไรยังไง ช่วยแจงมาให้ฟังหน่อยสิ”คนถูกสวนหน้าชา เธอคิดว่าเปรมินทร์จะไม่กล้าพูด แต่เขากลับมาท้าเธอให้พูดแทน“ผมไม่อยากพูดถึงให้มันเสียปาก เพราะยังไงคุณก็เป็นพี่สาวเมียผม อยากจะใส่ไคล้ยังไงก็เชิญ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า...”ในห้องยังคงมีแต่ความเงียบครอบคลุม เปรมินทร์หันไปยื่นข้อเสนอกับคุณชายพงศกรด้วยท่าทางที่แสนมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือกว่า“ถ้าคิดจะให้ผมเลิกกับก้อย ผมจะถอนหุ้นออกจากร้านที่ไอ้กลางจะมาเปิดสาขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ยกเลิกสัญญาคู่ค้า ต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ ผมยอม แต่ไปลองคิดดูดีๆ นะครับ ว่าผลกระทบที่ตามมาของใครจะมากกว่ากัน การขาดทุนระยะยาวที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาอยู่จะเป็นยังไง”ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าของลัลนาชั่วแวบก่อนจะเมินไปทางอื่น“เอาล่ะ วันนี้ผมว่าเชิญทุกคนไปพักที่โรงแรมดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจคนไข้สักเท่าไร กลาง...นายพาคุณน้าทั้งสองคุณกับน้องนายกลับไปก่อนเถอะ ฉันจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยแล้ว”เมื่อเอ่ยเชิญอย่างเสียมารยาทแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ทิ้งให้คุณชายพงศกรถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ลัลนากัดฟันแน่