รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น
“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”
“ครับ”
ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ
“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”
คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พูดเล่น เพื่อนเจ้ามาทำธุระ แล้วก็จะปรึกษาเรื่องที่ทางด้วย เพราะเห็นว่าเจ้ากว้างขวางทางเหนือ วันนั้นพ่อต้องไปกาญฯ พอดี ก็เลยให้เราไป”
“อ๋อ งั้นก็ได้ครับ”
เปรมินทร์ทำท่าโล่งใจชัดเจน
“แต่ฉันก็อยากให้ตามินทร์ลงเอยกับใครสักคนเร็วๆ เหมือนกันนะคะคุณ”
เจ้าปัทมาดาราบอกความในใจ และหลุดความกังวลลึกๆ ในอกให้ทั้งสามีและบุตรชายฟังต่อ
“แม่อยากถามลูกอยู่เหมือนกัน ว่ามองใครไว้ ระหว่างหนูหนึ่งกับหนูสอง”
“ตกลงเจ้าจะให้ลูกเราลงเอยกับลูกสาวบ้านนี้คนใดคนหนึ่งให้ได้จริงๆ น่ะเหรอ”
เห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นจากลูกชาย ทั้งสามีก็ดูเหมือนจะรอคอยอย่างสนใจด้วย เจ้าปัทมาดาราจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ อย่างชัดเจน
“หนูหนึ่งกับหนูสองน่ะฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา เป็นไปได้ก็อยากเกี่ยวดองด้วย เพราะท่านผู้พิพากษากับตระกูลเราผูกมิตรกันมานาน แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตามินทร์ด้วย”
เปรมินทร์ได้ฟังก็ตาวาว รีบเข้าไปจับมือนุ่มของผู้เป็นแม่มากุมด้วยความยินดี พร้อมกับเดินตามท่านไปนั่งที่โซฟาโดยมีคุณเฮนรี่ตามมา
“หมายความว่าเจ้าแม่จะไม่บังคับผม”
“ถ้าบังคับแม่จะรอจนเราแก่ป่านนี้หรือ”
“ผมยังไม่แก่สักหน่อยนะครับ”
ลูกชายหน้าหมองลง อายุของเขายังไม่มากสักหน่อย เพิ่งเข้าเลขสามปีนี้ ซึ่งสำหรับผู้ชายถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิตด้วยซ้ำ
เจ้าปัทมาดารามองหน้าลูกสุดรักคนเดียวด้วยความเอ็นดู แล้วถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน
“แม่ถามจริง มีใครคนอื่นอยู่ในใจแล้วใช่ไหม”
คำถามนี้ทำให้ใบหน้าสวยหวานราวนางฟ้าของใครคนหนึ่งแว่บเข้ามาแล้วก็เลือนหายไป ชายหนุ่มยิ้มอ่อนให้ผู้เป็นแม่ พูดเสียงอ่อยพร้อมส่ายหน้า
“จะมีใครได้ล่ะครับ ผมมีแต่เจ้าแม่”
“ปากหวานอย่างนี้สาวๆ ต้องหลงกันเกรียว แม่ไม่เชื่อ ว่าไง กำลังคบใครก็บอกแม่มาเถอะ ขอแค่เป็นคนดี นิสัยไม่เกินจะรับไหว แม่ก็พอใจแล้ว”
“ยังไม่มีจริงๆ ครับเจ้าแม่”
“ปากแข็งนะพ่อตัวดี อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ว่าเราควงสาวออกเยอะแยะ ทั้งไทยทั้งเทศ ไม่ชอบใครจริงจังสักคนเลยหรือไง ทำแบบนี้มันไม่ดีกับผู้หญิงเขานะลูก”
ร่างสูงกอดหมับที่เอวคอดของผู้เป็นแม่ทันที ด้วยเจ้าปัทมาดาราเป็นหญิงมีอายุที่รูปร่างสวยอวบอิ่มสมวัย ทั้งยังมีส่วนเว้าโค้งของธรรมชาติ ไม่ผอมแห้งหรืออ้วนจนเกินงาม
“โธ่ เจ้าแม่ ผมกับพวกเธอเป็นเพื่อนกันครับ”
“เพื่อนนอน”
เสียงคุณเฮนรี่ดังแทรกเบาๆ
“ตามินทร์นี่จริงๆ เลย ทำตัวน่าเกลียด”
เจ้าปัทมาดาราหยิกไหล่ลูกชาย แต่เขากอดเอวแน่น ไม่เงยหน้ามอง ทั้งยังพูดต่อเสียงอ่อย ทำเหมือนไม่ได้ยินผู้เป็นพ่อ
“เราคุยกันรู้เรื่องครับว่าเป็นแค่เพื่อน”
“แม่อยากให้มินทร์เป็นฝั่งเป็นฝา ไม่อยากให้ลอยไปลอยมา เที่ยวนอนกับผู้หญิงไปทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้”
มือนุ่มของเจ้าปัทมาดาราประคองหน้าคมของลูกชายให้เงยมาสบตา
“ไม่เยอะขนาดนั้นสักหน่อยครับเจ้าแม่ แล้วเรื่องนี้คนก็ไม่ถือกันแล้ว”
“แต่ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา หรือว่าติดโรคล่ะลูก”
“ไม่หรอกครับ ผมดูแลตัวเองดี”
“ไม่เอาล่ะ อย่ามาอ้อน”
พอลูกชายทำท่าจะซบหน้าลงกับอกตน แบบที่เขาชอบอ้อนมาตั้งแต่เด็กเจ้าปัทมาดาราก็ดันร่างกำยำไว้
“แม่ว่าจะพูดตั้งแต่ที่รู้ข่าวมินทร์ที่ออสเตรเลียจากพ่อแล้ว แต่พอกลับมา
มินทร์ก็ทำงานหนักตลอด แม่เลยไม่พูดอะไร แต่ตอนนี้ได้คุยกันก็ดีเหมือนกัน ขอได้ไหม เรื่องผู้หญิงน่ะเพลาๆ ลงบ้าง”
เรื่องของเขาที่ออสเตรเลียคือ ชายหนุ่มมีเรื่องชกต่อยกับดาราหนุ่มชื่อดังของที่นั่น เพราะแฟนคนใหม่ที่เขาเพิ่งเริ่มคบได้ไม่ถึงสองเดือนเป็นแฟนดาราคนนั้น เหตุของเรื่องก็เพราะ เธอทิ้งหมอนั่นมายุ่งกับเขาโดยไม่บอกไม่กล่าว เปรมินทร์ไม่เคยสนใจเรื่องดารา ไม่รู้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้งคู่ และไม่นานก็ต้องกลับเมืองไทยด้วยทำให้ขาดกันไปโดยปริยาย
“ผมเป็นผู้ชายนะครับเจ้าแม่”
“ยิ่งเป็นผู้ชายก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษสิ”
“ผมคบใครเราก็พูดคุยกันชัดเจนจนเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้...”
“ไม่เอาล่ะ แม่ไม่ฟัง แม่อยากให้ลูกมองหาคนรักเป็นตัวเป็นตน อายุลูกก็ไม่น้อยแล้ว ควรมองหาอนาคตที่ดี แม่อยากเห็นหลานก่อนตายรู้ไหม”
“เจ้าแม่...ทำไมพูดแบบนี้ครับ”
ชายหนุ่มจับมือผู้เป็นมาแนบแก้มด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“ผมไม่อยากได้ยิน เจ้าแม่จะอยู่กับผมไปอีกนาน เลี้ยงหลานหลายๆ คนจนโต”
“งั้นก็รีบหาแม่ของลูกซะ ถ้าไม่รีบหาเอง แม่จะหาให้จริงๆ นะ”
เจ้าปัทมาดาราแสร้งดุลูกชายด้วยความเอ็นดู ท่านรู้ว่าเปรมินทร์ติดท่านมาก เนื่องจากท่านเลี้ยงลูกชายด้วยตัวเอง เพิ่งห่างจากอกผู้เป็นแม่ตอนไปเรียนอเมริกากับฝึกงานที่ออสเตรเลีย แต่ชายหนุ่มก็ยังโทรหาท่านทุกวัน
“ไม่เอาหนึ่งหรือสองนะครับ”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าให้แม่หาให้จริงหรือ”
เปรมินทร์ส่ายหน้าหวือทันทีจนเจ้าปัทมาดารากับคุณเฮนรี่หัวเราะ
ช่วงดึกคืนนั้นร่างสูงกำยำยืนกอดอกอยู่ที่สนามหญ้าแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีพระจันทร์ส่องแสงในคืนนี้ทำให้มองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน แต่เปรมินทร์กลับรู้สึกว่าแม้จะมีดวงจันทร์ ความงามของมันก็คงไม่เท่ากับใครคนหนึ่ง ผู้หญิงที่แว่บเข้ามาในหัวเขาทันทีที่ได้ยินคำว่า‘แต่งงาน’ คิดแล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้ากับตัวเอง แปลกที่แม้จะเห็นคนสวยมามากมาย แต่รู้สึกพอใจความงดงามแบบนางสวรรค์จำแลงของเธอคนนั้น เขาเห็นเธอเพียงแค่สองครั้งในร่างของนางรำ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นตัวจริง หรือใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง เปรมินทร์กำลังคิดว่าเขาคงหลงใหลนางฟ้าในจินตนาการจนเอามาทาบทับบนเรือนร่างอ้อนแอ้นนั้น มากกว่าจะสนใจความสวยหวานที่แท้จริงของเธอ
=====
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่กัญญานันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นรถตู้ของไร่ภูศรีจันแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตึก แม้จะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่จำต้องพบหน้ากัน กัญญานันก็เลือกวางเฉยทำให้ระหว่างทั้งคู่ยังอึมครึมอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โรงเรียนของเธอกับเพื่อนก้าวหน้ารวดเร็วจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเปรมินทร์ ชายหนุ่มช่วยดูแบบ ออกความคิดเห็นปรับแก้ในจุดที่บกพร่อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง ทั้งยังเป็นธุระติดต่อเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี สวยงาม ราคาย่อมเยา เพราะกัญญานันกับมาธาวีไม่สันทัดทั้งคู่“ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าเราเป็นพี่มินทร์แล้วเห็นหน้าเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เจอนะ เราถอยไปนานแล้ว”มาธาวีที่กำลังช่วยกัญญานันจัดพื้นที่ต้อนรับด้านล่างกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอคนจากไร่ภูศรีจันกัญญานันไม่เถียงเพื่อน เพราะเธออธิบายจนเหนื่อยแล้วแต่มาธาวีก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเปรมินทร์กำลังตามจีบเธอ เหตุผลที่กัญญานันพยายามปฏิเสธเพราะเธอเคยเห็นเขากับวันนิสามาก่อน อีกทั้งยังได้รู้จากเพื่อนด้วยว่าเจ้าปัทมาด
วันนี้เป็นวันที่กัญญานันไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในชีวิต แม้จะเคยฝันไว้ว่าอยากใส่ชุดเจ้าสาวในแบบไหน แต่ไม่เคยคิดว่าเจ้าบ่าวของตนจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน และยิ่งเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สมบัติพัสถาน ทั้งยังฉลาดเฉลียว มีความสามารถโดดเด่นหลายอย่างดังเช่นที่เขาเคยแสดงให้เธอได้เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ได้รู้จักกันอย่างเปรมินทร์ เธอยิ่งไม่เคยนึกฝัน แม้รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรชีวิตของเธอก็ตาม กระทั่งทุกสิ่งล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่เธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของเขาเวลานี้เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของทางฝ่ายเธอและเปรมินทร์ มือของเธออยู่ในมือหนาแข็งแรงของอีกฝ่ายขณะที่เขากำลังสวมแวนให้เธออย่างแผ่วเบา เนื้อแหวนที่เย็นเฉียบทำให้กัญญานันรู้สึกหนักอึ้ง หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาพร่ามัว ยกมือไหว้เขาอย่างอ่อนช้อยในขณะที่เขาเองก็รับไหว้เธอตอบ กัญญานันจำต้องข่มน้ำตาที่เอ่อคลอเอาไว้ แม้ใครหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าสาวกำลังตื้นตันกับวันวิวาห์แสนหวานก็ตามใช่ว่ากัญญานันจะรังเกียจเปรมินทร์จนถึงขั้นไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับชายหนุ่มได้ แต่เธอถูกบีบบังคับจนไม่เหลือทางให้เ
“ทำหน้าแบบนั้น อยากพูดอะไร อยู่กับผมคุณไม่ต้องสงบปากสงบคำนักก็ได้ คุณไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่สักหน่อย แล้วผมก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจที่เมียต้องฟังผัวอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก”หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นเพราะคำพูดโต้งๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาเช่นเคยก่อนจะพึมพำเสียงเบา“ไม่มีอะไร...”ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคก็รู้สึกถึงร่างสูงกำยำที่โน้มลงมาหา กัญญานันเอนกายไปด้านหลังเอียงหน้าหลบเต็มที่ พอจะดันมือกับเตียงเพื่อถอยก็ปรากฏว่าไปเจอเข้ากับมือหนาทั้งสองข้างที่วางข้างกายเธอสองด้านเหมือนกักกันกลายๆ ทำให้เธอไม่อาจขยับไปไหนได้ ขณะที่ใบหน้าคมหล่อเหลาเคลื่อนมาชิดหน้าเธอทั้งยังเอียงทำมุมจนสามารถมองตากันได้อย่างชัดเจน ด้วยความตกใจกลัวการคุกคามอย่างกะทันหันของชายหนุ่มกัญญานันจึงผงะ หลับตาปี๋ สองมือตั้งใจจะผลักอกแกร่งแต่กลับกลายเป็นถูกรั้งเข้าไปกอดไว้“เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”เขายังดุเบาๆ“คุณมินทร์”“หืม”แม้จะขานรับหญิงสาวไปแต่ตอนนี้เปรมินทร์กำลังให้ความสนใจกับมือนุ่มนิ่มที่แตะบนแผงอกเขากับใบหน้าหวานด้านข้าง ที่วันนี้ผมยาวสลวยของกัญญานันถูกรวบขึ้นมวยสูงเผยแก้มผ่องใส ดวงหน้างดงามแจ่มกระจ่างตา ความสวยลออตาก่
วันนี้เป็นวันที่กัญญานันไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในชีวิต แม้จะเคยฝันไว้ว่าอยากใส่ชุดเจ้าสาวในแบบไหน แต่ไม่เคยคิดว่าเจ้าบ่าวของตนจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน และยิ่งเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สมบัติพัสถาน ทั้งยังฉลาดเฉลียว มีความสามารถโดดเด่นหลายอย่างดังเช่นที่เขาเคยแสดงให้เธอได้เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ได้รู้จักกันอย่างเปรมินทร์ เธอยิ่งไม่เคยนึกฝัน แม้รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรชีวิตของเธอก็ตาม กระทั่งทุกสิ่งล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่เธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของเขาเวลานี้เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของทางฝ่ายเธอและเปรมินทร์ มือของเธออยู่ในมือหนาแข็งแรงของอีกฝ่ายขณะที่เขากำลังสวมแวนให้เธออย่างแผ่วเบา เนื้อแหวนที่เย็นเฉียบทำให้กัญญานันรู้สึกหนักอึ้ง หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาพร่ามัว ยกมือไหว้เขาอย่างอ่อนช้อยในขณะที่เขาเองก็รับไหว้เธอตอบ กัญญานันจำต้องข่มน้ำตาที่เอ่อคลอเอาไว้ แม้ใครหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าสาวกำลังตื้นตันกับวันวิวาห์แสนหวานก็ตามใช่ว่ากัญญานันจะรังเกียจเปรมินทร์จนถึงขั้นไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับชายหนุ่มได้ แต่เธอถูกบีบบังคับจนไม่เหลือทางให้เ
เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่กัญญานันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นรถตู้ของไร่ภูศรีจันแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตึก แม้จะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่จำต้องพบหน้ากัน กัญญานันก็เลือกวางเฉยทำให้ระหว่างทั้งคู่ยังอึมครึมอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โรงเรียนของเธอกับเพื่อนก้าวหน้ารวดเร็วจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเปรมินทร์ ชายหนุ่มช่วยดูแบบ ออกความคิดเห็นปรับแก้ในจุดที่บกพร่อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง ทั้งยังเป็นธุระติดต่อเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี สวยงาม ราคาย่อมเยา เพราะกัญญานันกับมาธาวีไม่สันทัดทั้งคู่“ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าเราเป็นพี่มินทร์แล้วเห็นหน้าเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เจอนะ เราถอยไปนานแล้ว”มาธาวีที่กำลังช่วยกัญญานันจัดพื้นที่ต้อนรับด้านล่างกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอคนจากไร่ภูศรีจันกัญญานันไม่เถียงเพื่อน เพราะเธออธิบายจนเหนื่อยแล้วแต่มาธาวีก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเปรมินทร์กำลังตามจีบเธอ เหตุผลที่กัญญานันพยายามปฏิเสธเพราะเธอเคยเห็นเขากับวันนิสามาก่อน อีกทั้งยังได้รู้จากเพื่อนด้วยว่าเจ้าปัทมาด
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก