ธนิดาถูกจับไปเป็นตัวประกันระหว่างรอชดใช้หนี้ให้มาเฟียอย่างนาวิน ความใกล้ชิดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความรัก ทว่าท่ามกลางอันตรายและความลับที่ปิดซ่อนไว้ ทั้งสองจะเอาชนะโชคชะตาและความเสี่ยงของโลกมาเฟียได้หรือไม่
View Moreเป็นคืนแรกที่หลินซือหยูได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอนจริง ๆ เสียที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบันแต่มันก็เป็นหลักเป็นแหล่ง และรู้สึกปลอดภัยกว่านอนอยู่ในป่ามากทีเดียว มันเป็นห้องพักที่อยู่ในเรือนของแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในเมืองหลวงฉางอาน เขาพาเธอมาพักผ่อนที่นี่หลังจากที่เสร็จธุระจากเรือนใหญ่ตระกูลหลินโดยปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่เรือนหลังนี้มากนัก เพราะต้องออกเดินทางลาดตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร เพื่อดูแลความเรียบร้อยตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงเคยชินกับการนอนในเต็นท์ตามค่ายพักชั่วคราวมากกว่าแสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่พัดผ่านเข้ามาภายใน ความเงียบทำให้ซือหยูได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินไปมาด้านนอกดังเป็นจังหวะ แต่กลับดูคล้ายเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ใกล้แตกสลาย เธอมองไปที่จดหมายลับบนโต๊ะไม้หยาบ ๆ ตัวอักษรจีนโบราณระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และรายชื่อขุนนางที่สมคบกับเขาด้วยหมึกสีแดงจาง ๆ ราวกับเลือดที่แห้งกรังนี่คือหลักฐานที่หย่งเฉินต้องการ... แต่ถ้าองค์ชายสามรู้ว่าฉันมีมันล่ะความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ในชั่วขณะนั
แสงจันทร์ยามค่ำคืนลอดผ่านผ้าใบบาง ๆ สาดเข้ามาในเต็นท์ที่กางตั้งภายในค่ายพักชั่วคราว เสียงลมพัดผ่านใบไม้แห้งด้านนอกดังเป็นจังหวะ แม้ว่าในคืนนี้จะดูสงบกว่าคืนที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้หย่งเฉินและซือหยูหลับได้ไม่สนิทนักเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ซือหยูย้อนเวลากลับมาอยู่ในอดีตแล้วฝัน มันดูเป็นภาพฝันที่ค่อนข้างคุ้นเคย เธอเห็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีครามยืนอยู่ในเรือนเก่า เธอค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นบ่อย ๆ จากจี้หยกนั้นต้องเป็นหลินซือเยว่ตัวจริงอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้ภาพที่เธอเห็นนั้นทำให้รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะใบหน้าของซือเยว่ซีดเผือดกว่าปกติ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอถือจดหมายลับในมือ ตัวอักษรจีนโบราณจาง ๆ บนกระดาษระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และสัญลักษณ์หยดน้ำล้อมรอบด้วยลายเมฆสีแดง ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลหลิน หญิงสาวนั้นร้องไห้ก่อนจะซ่อนจดหมายไว้ใต้พื้นไม้ในห้อง“นี่มันอะไรกัน?” ซือหยูเอ่ยพูดในฝัน แต่หญิงสาวคนนั้นไม่ตอบ เธอหันไปมองรอบ ๆ และเห็นเงาของชายในชุดดำยืนอยู่มุมเรือน ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา“หลินซือเยว่ เจ้าคิดว่าจะซ่อนความลับนี้ได้หรือ” เสียงทุ้ม
เกวียนของซือหยูเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งผ่านอากาศที่ค่อนข้างเย็นในป่าที่ยังคงเงียบสงัด ใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนลง เสียงม้าก้าวเท้าดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงใบไม้แห้งที่ดังกรอบ แกรบใต้ล้อเกวียน เธอมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่อยู่บนหลังม้าหน้าขบวน ชุดเกราะของเขายังสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เขาหันมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง“ระวัง” หย่งเฉินพูดกับทหารที่ขี่ตามหลัง “เรากำลังเข้าใกล้เขตที่โจรขององค์ชายสามมักซุ่มโจมตี จงระมัดระวังให้ดี อย่าประมาท” เสียงสั่งของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขามเช่นเดิมทหารทั้งหมดพยักหน้า ขึงสายธนูและจับดาบแน่น ซือหยูยกมือขึ้นมาจับจี้หยกที่ห้อยคอแน่นขึ้น มันเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อยวูบ!ภาพเหตุการณ์หนึ่งวาบเข้ามาในหัวของเธอ‘ชายในชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางควันไฟ ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา ที่มุมปากของเขามีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่’ “นั่น... องค์ชายสามเหรอ...” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ภาพนั้นหายไป“เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?” หย่งเฉินหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัยซือหยูส่ายหน้า “เปล่า... ฉันแค่รู้สึกไม่ค่
แผ่นหลังของหลินซือหยูรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าขณะที่นั่งบนเกวียนที่เคลื่อนผ่านถนนฝุ่นแดงไปยังเมืองหลวง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องเป็นจังหวะประสานกับเสียงล้อเกวียนที่ดังกรอบแกรบ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มนำหน้า ชุดเกราะของเขายังคงสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับแบกรับภาระหนักเอาไว้ตลอดเวลา“หยุดพักตั้งค่ายข้างหน้า!” หย่งเฉินตะโกนสั่งทหารที่ขี่ตามหลัง เสียงของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขาม ทหารทั้งหมดพยักหน้าและเริ่มตั้งแคมป์ชั่วคราวเมื่อเดินมาถึงบริเวณลำธารเล็ก ๆ ค่ายนี้มีเพียงเต็นท์ผ้าสีเทาสองสามหลัง กองไฟถูกจุดขึ้น กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูกของซือหยู“นี่มันเหมือนที่เราเห็นในหนังพีเรียดเลย” เธอพูดกับตัวเอง ขณะที่ลงจากเกวียนด้วยความช่วยเหลือจากทหาร“เจ้าว่าอะไรนะ” หย่งเฉินเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าสงสัยซือหยูสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกคนจะได้ยินที่เธอพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่ได้พูดอะไรนะ”“เจ้ากำลังปิดบังข้า” เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้ากระซิบอะไรกับตัวเอง”“ปะ... เปล่า! ไ
เสียงความวุ่นวายภายนอกสงบลงแล้ว เป็นค่ำคืนที่ทำให้หลินซือหยูจดจำไม่ลืม จากที่เคยร่ำเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเกี่ยวกับสงครามในวิชาประวัติศาสตร์ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเธอจะได้มาอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริงแบบนี้ความสงบมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ที่มอบความหนาวเย็นลอยเข้ามาสัมผัสผิวกายของเธอที่กำลังหลับไหลอยู่ในเต็นท์ท่ามกลางกลิ่นควันไฟและคราบเลือดแห้งกรังจากเหตุการณ์โจรบุกเมื่อคืน เธอนอนหลับบนเสื่อผ้าที่หย่งเฉินจัดให้ เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมานอกเต็นท์ดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านผ้าใบเต็นท์ เธอรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่นอนหลับมาตลอดคืน เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ร่างกายยังคงหนักอึ้งเพราะความเหนื่อยล้าจากการหนีและการเผชิญหน้ากับอันตรายเมื่อคืนนี้“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้งซือหยูยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปเห็นเขายืนอยู่ที่ปากเต็นท์ ชุดเกราะของเขายังเปื้อนคราบเลือดแห้งจากคืนก่อน ใบหน้าคมเข้มของเขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงเย็นชาและเฉียบคม“มอร์นิ่งค่ะ” เธอเอ่ยทัก“มอ... มอร์นิ่ง? เจ้าพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว ภาษาของเจ้ามันพิกลนัก ข้าไม่เคยได้ย
หลินซือหยูนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ไม้หยาบ ๆ ในเต็นท์ของจ้าวหย่งเฉิน มีดสั้นที่เขาปักทิ้งไว้บนโต๊ะยังคงสั่นเล็กน้อยจากแรงกระแทก เสียงฝีเท้าของหย่งเฉินที่เดินออกไปก้องอยู่ในหัวของเธอ ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอในตอนนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าเธอทหารร่างสูงในชุดเกราะสีเทา ถือหอกยาว ที่ได้รับหน้าที่ยืนเฝ้าเธอ มองเธอด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันยังคงร้อนผ่าวราวกับมีชีวิต เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ฉันต้องหาทางรอดจากที่นี่ให้ได้”แม้ลึก ๆ เธอจะรู้ดีว่าในโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ การหนีอาจหมายถึงความตายก็ตาม...แสงตะเกียงในเต็นท์สั่นไหวตามลมที่พัดผ่านผ้าใบ เสียงทหารนอกค่ายเริ่มเงียบลงเมื่อเวลาค่ำคืนคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ ซือหยูพยายามนึกถึงสิ่งที่หย่งเฉินพูดขบวนการกบฏ ตระกูลหลิน และหลินซือเยว่ที่ถูกวางยาพิษ “ถ้าฉันอยู่ในร่างของเธอจริง ๆ แล้วเธอรู้ความลับอะไรบางอย่าง... ฉันจะหาคำตอบได้จากที่ไหนนะ” เธอคิด ขณะที่มองไปที่ทหารเฝ้ายามแล้วพยายามถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “นี่คุณ! ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตระกูลหลินทำอะไรผิด”“
หลินซือหยูก้าวตามจ้าวหย่งเฉินด้วยขาที่สั่นเทา ป่ามืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินชื้นและคาวเลือดจากร่างโจรสามคนที่ล้มกองอยู่ด้านหลังยังคงติดอยู่ในจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังก้องในความเงียบ เธอมองไปที่แผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีดำของเขา เกราะที่เปื้อนเลือดแห้งกรังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายจาง ๆ เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เมื่อครู่ตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบว่าเจ้าเป็นใครมันไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันร้อนผ่าวแต่เธอไม่กล้าปล่อยมันทิ้ง เพราะมันทำให้เธอยังพอที่จะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง“เร็วเข้า ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตถึงรุ่งเช้า” หย่งเฉินพูดโดยไม่หันมามอง น้ำเสียงทุ้มของเขายังคงแฝงด้วยความอบอุ่นที่ขัดแย้งกับความน่าเกรงขามซือหยูรีบเร่งฝีเท้า แม้ว่าชุดผ้าไหมที่ขาดวิ่นของเธอจะพันขาให้รำคาญ เธอสะดุดรากไม้เล็ก ๆ จนเผลอส่งเสียงร้องออกมา แต่หย่งเฉินก็ไม่แม้แต่จะหยุดรอหรือหันมามอง เขาควบม้าต่อไปราวกับไม่สนใจว่าเธอจะตามทันหรือไม่เขาไม่มีความเมตตาบ้างเลยเหรอเนี่ย...เธอคิดในขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจที่หอบเหนื่อยหลังจากเดินไปได้ราว
หลินซือหยูรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวในลำคอขณะที่เธอถูกเสี่ยวหลานดันหลังให้ไปซ่อนตัวหลังม่านผ้าสีครามหนาที่ยื่นลงจากเพดาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันหนักแน่นราวกับจังหวะกลองศึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ“อย่าส่งเสียงนะเจ้าคะ!” เสี่ยวหลานยกมือขึ้นปิดปากเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซือหยูสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาในทันที ถ้าหากบุคคลนี้เป็นคนที่หมายจะเอาชีวิตหลินซือเยว่ ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหาคำตอบว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง“ฉันต้องหนี!” ซือหยูพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางสะบัดมือเสี่ยวหลานออก คว้าจี้หยกจากโต๊ะข้างเตียงที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้หลังจากกำไว้ในมือมาตลอดแล้วมองไปที่ประตูหลังก๊อก ๆ ๆซือหยูและเสี่ยวหลานหน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูไม่ทันแล้ว...ซือหยูนึกในใจ สลับมองที่ประตูด้านหลังกับประตูด้านหน้าด้วยความตระหนก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธอ ในวินาทีนั้นก่อนจะสายเกินไปเสี่ยวหลานจึงรีบผลักให้เจ้านายของตนเข้าไปหลบอยู่
หลินซือหยูรู้สึกถึงอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับขณะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่า ๆ สาดลงมาบนใบหน้าของเธอ อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรปนดินและกลิ่นไม้ไหม้จาง ๆ ที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่น เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ร่างกายหนักอึ้งราวกับแบกก้อนหิน เธอมองลงไปที่มือของตัวเอง และสิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ“นี่มัน... มือของใครเนี่ย!?” เธออุทานออกมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้เธอได้ยินเสียงพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอว่ามันไม่ใช่เสียงของตัวเอง เพราะน้ำเสียงนี้มันค่อนข้างบาง อ่อนหวาน และมีสำเนียงแปลก ๆ ที่เธอไม่เคยได้ยินจากตัวเองมาก่อนมือคู่นี้ที่เธอเห็นมันเรียวเล็ก ผิวก็ขาวเนียนเกินกว่ามือของเธอที่เคยหยาบกร้านจากการจดเลคเชอร์และพิมพ์งาน เธอพลิกฝ่ามือดู มีรอยแผลบาง ๆ ที่ข้อมือซ้าย ซึ่งเธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยมีรอยนี้ในชีวิตจริง เธอลองกดที่แผลนั้นดูเบา ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที“นี่ไม่ใช่ฝันแน่ ๆ” เธอพึมพำขณะที่สมองเริ่มตื่นตัวเต็มที่เธอหันมองไปรอบห้อง ห้องนอนที่เธอนอนอยู่นั้นเป็นห้องไม้เก่า ๆ เหมือนกับที่เธอเคยเห็นในละครย้อนยุค เตียงที่เธอนั่งอยู่ปูด้วย
ซู่ๆๆสายฝนโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเช้ามืด มันช่างน่าแปลก ปกติแล้วช่วงฤดูร้อนแบบนี้มักไม่ค่อยมีฝนตกลงมาสักเท่าไหร่ แต่ปีนี้สภาพอากาศดูแปรปรวนกว่าที่ผ่าน ๆ มา ท้องฟ้าทั้งผืนเป็นสีเทาหม่นขมุกขมัวเหนือเมืองหลวงในวันนี้ดูราวกับเป็นผ้าม่านที่กำลังปิดบังบางสิ่งเอาไว้เป็นวันที่ไม่สดใสเอาเสียเลย...หลินซือหยูคิดพลางยืนนิ่งอยู่หน้าตึกสูงของมหาวิทยาลัย เธอเปียกฝนเล็กน้อย มือกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วซีด เพราะเธอเพิ่งได้รับข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษามาหมาด ๆถ้าคุณยังส่งงานวิจัยไม่ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ผมจะตัดคุณออกจากรายชื่อนักศึกษา ผมยืดเวลามาให้คุณมากเกินไปแล้วคำขู่ที่แสนเย็นชานั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ อากาศชื้น ๆ จากฝนไหลซึมเข้าเต็มปอด แต่ไม่ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ่งเจอสภาพอากาศแบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกดิ่งไปกันใหญ่“ทำไมชีวิตฉันถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้เนี่ย!!” ซือหยูพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอหน่วยที่ดวงตาทั้งสองข้างเธอในวัยยี่สิบห้าปีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีค่าเลยสักครั้ง ครอบครัวก็แตกแยก เพื่อนก็มีน้อย แถมการเรียนก็ดันกลายเป็นโซ่ตรวน...
Comments