หลินซือหยูรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวในลำคอขณะที่เธอถูกเสี่ยวหลานดันหลังให้ไปซ่อนตัวหลังม่านผ้าสีครามหนาที่ยื่นลงจากเพดาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันหนักแน่นราวกับจังหวะกลองศึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อย่าส่งเสียงนะเจ้าคะ!” เสี่ยวหลานยกมือขึ้นปิดปากเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซือหยูสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาในทันที ถ้าหากบุคคลนี้เป็นคนที่หมายจะเอาชีวิตหลินซือเยว่ ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหาคำตอบว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“ฉันต้องหนี!” ซือหยูพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางสะบัดมือเสี่ยวหลานออก คว้าจี้หยกจากโต๊ะข้างเตียงที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้หลังจากกำไว้ในมือมาตลอดแล้วมองไปที่ประตูหลัง
ก๊อก ๆ ๆ
ซือหยูและเสี่ยวหลานหน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
ไม่ทันแล้ว...
ซือหยูนึกในใจ สลับมองที่ประตูด้านหลังกับประตูด้านหน้าด้วยความตระหนก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธอ ในวินาทีนั้นก่อนจะสายเกินไปเสี่ยวหลานจึงรีบผลักให้เจ้านายของตนเข้าไปหลบอยู่หลังผ้าม่านสีทึบแทน
ตึง!!!!
“ว้าย!!” เสี่ยวหลานกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อประตูหน้าเรือนถูกถีบออกอย่างแรงจนมันพังลงมากองอยู่ที่พื้น
เสียงบานประตูไม้ถูกกระแทกดังขึ้นทำให้ซือหยูสะดุ้ง เธอพยายามยืนนิ่งซ่อนตัวหลังม่านให้แนบสนิทยิ่งขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงจนเธอได้ยินมันก้องอยู่ในหู เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นก้าวเข้ามาภายในห้อง เงาของแขกผู้มาเยือนทอดยาวบนพื้นไม้จากแสงตะเกียงที่สั่นไหว
“ท่านแม่ทัพ!” เสี่ยวหลานร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แล้วรีบก้มหัวลงทำความเคารพทันที
“หลินซือเยว่ล่ะ” เสียงที่เอ่ยถามเป็นโทนเสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคุ้นหู
ซือหยูที่ซ่อนอยู่หลังม่านรู้สึกถึงพลังในน้ำเสียงนั้นทันที แม้มันจะมีความอบอุ่นและนุ่มนวลที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่ทว่าน่าเกรงขามราวกับเป็นคำสั่งจากฟ้าที่ไม่อาจขัดขืน เธอขนลุกโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นทำให้เธออยากแอบมองออกไปดูว่าเจ้าของเสียงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ความกลัวก็ตรึงเธอไว้กับที่ เธอได้แต่คิดว่าหากเธอขยับเพียงนิด หรือหายใจแรงกว่าที่เป็นอยู่ วิญญาณของเธออาจถูกชายผู้นั้นกระชากออกจากร่างก็เป็นได้
“ข้าต้องการคำตอบจากนางเดี๋ยวนี้!” ท่านแม่ทัพพูดต่อ น้ำหนักของคำพูดนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ
“ท่านแม่ทัพจ้าว คุณหนู... คุณหนูยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ! ท่านหมอบอกว่านางยังอ่อนแอจากพิษ ข้าขอร้อง อย่าเพิ่งรบกวนนางเลยนะเจ้าคะ” เสียงของเสี่ยวหลานสั่นระหว่างที่บอกปัด แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกลัวก็ตาม แต่เธอก็ยังพยายามรักษาความนอบน้อมเอาไว้
ซือหยูที่ฟังอยู่รู้สึกถึงความพยายามของเสี่ยวหลานที่ช่วยปกป้องเธอ เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา
“ยังไม่ฟื้นงั้นหรือ น่าแปลก...” ชายที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพจ้าวพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง
“ข้าไม่บังอาจพูดเท็จกับท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานย้ำคำ
“ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่านางอาจรู้ข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการกบฏในเมืองหลวง ข้าจะไม่รอให้เรื่องนี้ลุกลามหรอกนะ”
ซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลลงตามเส้นกระดูกสันหลังเมื่อได้ยินคำว่า “กบฏ” เธอจำได้จากตำราประวัติศาสตร์ว่าในช่วงเวลาของราชวงศ์ถังเต็มไปด้วยการเมืองและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันวุ่นวาย
เขามาที่นี่เพื่อสืบเรื่องนี้เหรอ?
เธอคิดในขณะที่จับจี้หยกแน่นขึ้น มันเริ่มร้อนเล็กน้อยในมือของเธอ
“ข้าขอสาบาน คุณหนูไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ! ท่านโปรดเห็นใจ นางเพิ่งรอดจากความตายมา” เสี่ยวหลานร้องขอพร้อมนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างอ้อนวอน
ซือหยูได้ยินเสียงเข่ากระทบพื้นไม้ เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เสี่ยวหลานเผชิญหน้ากับชายคนนี้แทนเธอ แต่เธอไม่ก็กล้าขยับตัวไปไหน การได้มาอยู่ที่นี่แบบที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้เธอหวาดกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ
เสียงของแม่ทัพเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดอีกครั้ง “ถ้านางยังไม่ฟื้น ข้าจะกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าปกป้องนางโดยรู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับกบฏ เจ้าจะไม่รอดเช่นกัน” น้ำเสียงของเขายังคงอบอุ่น แต่แฝงด้วยคำขู่ที่ทำให้
ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของอำนาจที่เขามี“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะรอคำตอบจากนางภายในสามวัน” เขาพูดประโยคสุดท้าย ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะห่างออกไป เสี่ยวหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ซือหยูรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้แน่ เพราะนี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น
สามวัน?
ฉันจะหาคำตอบอะไรให้เขาได้ล่ะ...
ซือหยูรอจนแน่ใจว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากไปแล้ว เธอจึงผลักผ้าม่านแล้วเดินออกมา “เสี่ยวหลาน เขาคือใคร”
เสี่ยวหลานหันมามองเธอด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่านแม่ทัพ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและความซื่อสัตย์ต่อราชสำนักเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้จักเขาจริง ๆ หรือ”
“ฉัน... จำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูไปพักผ่อนต่อเถอะนะเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ” ซือหยูส่ายหน้า “ฉันต้องออกไปจากที่นี่”
เสี่ยวหลานคว้ามือเธอไว้ “ไม่ได้เจ้าค่ะ! ถ้าท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านหนีไป...”
“ถ้าฉันอยู่ที่นี่ เขาจะฆ่าฉันแน่ ถ้าฉันตอบอะไรเขาไม่ได้!” ซือหยูตัดบท “ที่นี่มันไม่ปลอดภัยสำหรับฉัน”
เธอสะบัดมือออกจากเสี่ยวหลานแล้วเดินไปผลักประตูหลังออก ด้วยความเร่งรีบทำให้เธอสะดุดล้มลงบนพื้นดินชื้นจากฝนที่เพิ่งหยุดตก ชุดผ้าไหมสีครามเปื้อนโคลนเต็มไปหมด แต่เธอไม่สนใจ ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าสู่ป่ามืดที่ทอดยาวนอกเรือน
“คุณหนู!!”
เสียงของเสี่ยวหลานที่ตะโกนเรียกตามหลังกลายเป็นเพียงเสียงที่เลือนหายไปในสายลม
ซือหยูออกวิ่งโดยไม่หันหลังมองกลับไป แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเป็นกังวลนัก เพราะในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่เธอคิดคือหนีไปให้ไกลจากเรือนที่อยู่ อย่าให้ชายผู้นั้นตามหาเธอเจอ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้าอีกที
เธอวิ่งเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงตระหง่านที่ปิดกั้นแสงจันทร์ ทำให้สายตาของเธอมองเห็นอะไรได้ชัดเจนยากขึ้น มีเพียงเงาดำที่สั่นไหวไปตามลม เธอเริ่มแยกไม่ออกว่านั่นคือเงาไม้ สัตว์ป่า หรือมนุษย์กันแน่ เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินต่อไป แต่ชุดที่เธอกำลังสวมใส่ก็ทำให้เธอสะดุดรากไม้หลายครั้ง ชายผ้าพันขาจนเธอต้องฉีกมันทิ้ง
“ชุดอะไรกันเนี่ย วิ่งยังไงก็ล้ม!” เธอบ่น ขณะที่พยายามรักษาสมดุลให้กับร่างกายของตัวเองขณะวิ่ง
กรอบ...
แกรบ...
กรอบ...
แกรบ...
เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนซากใบไม้จากด้านหลังดังชัดขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอหันไปมองด้วยความหวาดระแวง สายตาของเธอเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก
มันตามมาแล้ว!
หัวใจของซือหยูเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกจากอก เธอรีบวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ทิศทาง จี้หยกในมือเริ่มร้อนขึ้น เธอยกขึ้นมามองเล็กน้อยจึงเห็นว่ามันส่องแสงสีเขียวสว่างออกมาเล็กน้อย แวบหนึ่งเธอรู้สึกได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาในหัวของเธอว่าให้ ‘ระวังข้างหลัง’ เธอหันไปมองด้วยความระแวง
ฉึก!!!
เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ ลูกธนูพุ่งมาปักที่ต้นไม้ข้างตัวเธอ ห่างจากศีรษะเพียงนิ้วเดียว ซือหยูกรีดร้องลั่น หยุดชะงักด้วยความตกใจ สามเงาดำโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นชายสามคนในชุดผ้าดำหยาบ ถือดาบสั้นและธนู ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
“หลินซือเยว่ เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว!” ชายคนแรกตะโกน น้ำเสียงหยาบกระด้างของเขาทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา
“ฉันไม่ใช่หลินซือเยว่!” เธอตะโกนกลับโดยสัญชาตญาณ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ชายทั้งสามหัวเราะเยาะ
“เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ขอแค่ตายก็พอ!” ชายคนที่สองพูด ขณะยกดาบขึ้นแล้วฟันลงมา
ฉันจะตายที่นี่จริง ๆ เหรอ
ซือหยูยกแขนป้องหน้าโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับหลับตาแน่น รอรับความเจ็บปวดที่กำลังมาถึง
ฮี้~!!!
แต่ก่อนที่ดาบจะถึงตัวเธอ เสียงม้ากรีดร้องก็ดังสนั่นป่า เสียงฝีเท้าม้าที่หนักแน่นพุ่งฝ่าพุ่มไม้มาด้วยความเร็วราวกับพายุ ชายทั้งสามหันไปมองด้วยความตกใจ และในพริบตานั้น เงาดำของชายในชุดเกราะสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นบนหลังม้า
จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มที่ตาแดงก่ำราวกับเพลิง เขาสูงสง่าในชุดเกราะที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าคมเข้มราวกับถูกสลักจากหิน ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือกและเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบหลวม ๆ ใต้หมวกเกราะ ปลายผมสยายตามลมขณะที่เขาควบม้ามาด้วยความเร็ว เขาดึงบังเหียนให้ม้าชะงักอย่างฉับพลัน ดึงดาบยาวจากฝักที่เอวด้วยมือขวา โลหะเย็นฉ่ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย เขามองโจรทั้งสามด้วยสายตาที่ไร้ความปราณี
“กล้าดีอย่างไรถึงบุกรุกเขตของข้า!” เสียงทุ้มของเขาดังก้องราวฟ้าคำราม
ไม่รอคำตอบ หย่งเฉินกระโดดลงจากม้าด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ดาบในมือของเขาฟันลงในเสี้ยววินาที ชายคนแรกที่ยกดาบใส่ซือหยูถึงกับกรีดร้องเมื่อแขนขวาของเขาขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายกระจายไปทั่วพื้นป่า เขาล้มลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด หย่งเฉินไม่หยุด เขาหมุนตัวด้วยความเร็วที่ตาแทบตามไม่ทัน ดาบในมือฟันเฉียงขึ้นตัดคอชายคนที่สอง เลือดแดงฉานสาดใส่ใบหน้าของเขา แต่หย่งเฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา รอยเลือดที่เปื้อนแก้มซ้ายของเขาทำให้ใบหน้าเย็นชาดูราวกับว่าเขาเป็นเทพสงครามที่มาจากนรก
“เจ้า... เจ้าคือใคร?!” ชายคนสุดท้ายตะโกนอย่างตื่นตระหนก ถอยหลังพร้อมยกธนูขึ้นเล็งด้วยมือที่สั่นเทา แต่หย่งเฉินไม่ตอบ เขาขว้างมีดสั้นจากเอวด้วยความแม่นยำราวกับสายฟ้า มีดพุ่งปักเข้าที่หน้าผากของโจรคนนั้นก่อนที่เขาจะปล่อยลูกธนูที่ดึงค้างไว้หลุดจากคันธนู มันพุ่งเฉไปปักที่พื้นห่างจากซือหยูเพียงคืบ เสียงร้องโหยหวนสุดท้ายของโจรดังขึ้นก่อนที่เขาจะล้มลงนิ่งบนพื้นป่า เลือดไหลนองเป็นวงกว้าง
ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ ซือหยูยืนตัวแข็งทื่อ มองร่างของโจรทั้งสามที่ล้มกองอยู่ด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บ เธอหายใจหอบ ขณะที่หย่งเฉินหันมามองเธอ เขาเช็ดเลือดจากใบหน้าด้วยหลังมืออย่างใจเย็น โลหะของเกราะที่เปื้อนเลือดสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายสีแดง
จาง ๆ เขาเก็บดาบเข้ากระบอกที่เอวด้วยท่าทางสงบราวกับเพิ่งตัดหญ้าเสร็จ ดวงตาที่เย็นเยือกจ้องมองเธอราวกับพยายามเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ“เจ้ามาทำอะไรที่นี่... เสี่ยวหลานบอกข้าว่าเจ้ายังไม่ฟื้น” เขาถาม น้ำเสียงทุ้มของเขามีน้ำหนักราวกับคำสั่ง
ซือหยูกลืนน้ำลายลงคอ เธอรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ สายตาของเขาที่จ้องมองมาช่างเย็นชายิ่งนัก
“ฉัน... ฉันแค่ออกมาเดนิเล่น แล้วก็หลงทางมา” เธอตอบไปมั่ว ๆ เพราะสมองของเธอยังสั่นคลอนจากฉากเมื่อครู่
เขาขมวดคิ้ว เดินเข้ามาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นโลหะจากเกราะและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ จากร่างกายของเขา ใบหน้าของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มุมปากและคิ้วซ้าย บ่งบอกถึงชีวิตที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน
“หลงทางงั้นรึ” เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ในป่านอกเมือง ด้วยชุดขาดวิ่นแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกเด็ก ๆ แบบนั้นหรือ”
เขายกดาบขึ้นจ่อที่คอของเธออีกครั้ง ปลายดาบที่ยังเปื้อนเลือดสัมผัสกับผิวของเธอ เธอสะดุ้งถอยหลังจนหลังชนต้นไม้ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด
“ฉันพูดจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” เธอตะโกน น้ำตาคลอตาด้วยความกลัว
เขามองเธอนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาเย็นชาแต่แฝงด้วยความสงสัย “โจรพวกนั้นเรียกเจ้าว่าหลินซือเยว่ แล้วข้าก็มั่นใจแม้ยามมืดมิดเพียงนี้ว่าเจ้าคือบุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลินเป็นแน่”
“แต่ฉันไม่ใช่หลินซือเย่ว!”
“หากเจ้าไม่ใช่หลินซือเยว่ อย่างนั้นข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าคือผู้ใด และทำไมมันถึงตามล่าเจ้า”
ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของคำถามนั้น มันฟังดูจริงจังเกินกว่าที่เธอจะกล้าโกหก แต่เธอก็ไม่รู้จะตอบยังไงให้รอดพ้นคมดาบที่กำลังจ่ออยู่ที่คอของเธอไปได้ ไม่รู้ว่าการที่เธอเลือกพูดความจริงออกไป คนตรงหน้าจะยอมเชื่อเธอหรือไม่
“ฉัน... ฉันชื่อหลินซือหยู” เธอตัดสินใจพูดชื่อจริงของตัวเองออกไป
หย่งเฉินขมวดคิ้วลึก “หลินซือหยู? ชื่อแปลกประหลาด ไม่เคยได้ยินในเมืองหลวง”
เขาก้าวถอยหลัง มองเธอจากหัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ประเมิน “แต่ชุดของเจ้ามาจากตระกูลหลิน และโจรพวกนั้นต้องการชีวิตเจ้า ข้ากำลังสงสัยว่าเจ้ามีความลับอะไรที่อาจเกี่ยวข้องกับกบฏในเมืองหลวงหรือไม่”
“ฉันไม่มีอะไรความลับอะไรทั้งนั้น” ซือหยูโต้กลับ
“หึ!”
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ” เธอพยายามตั้งสติก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เสียดายที่นี่ไม่มีไวไฟ ไม่งั้นฉันคงจะหาทางกลับบ้านได้ง่ายหน่อย...”
หย่งเฉินมองเธอด้วยความงุนงง “ไวไฟ... คืออะไร เจ้าพูดภาษาอะไรกันแน่ หรือจริง ๆ แล้วเจ้าเป็นสายลับ” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสงสัยเป็นระแวง “ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะมัดเจ้าแล้วส่งไปให้ขุนนางในเมืองหลวงตัดสินชีวิตเจ้า”
ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากน้ำเสียงของเขา เธอมองดาบที่เพิ่งฆ่าคนสามคนในพริบตา และตระหนักว่าเธอไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ เธอไม่มีทางเลือกเลยต่างหาก
“ฉันไม่ใช่สายลับ! ฉันบอกคุณไปแล้วไง ฉันแค่... หลงทางมา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้ากระบอก “ดี! ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่ใช่ศัตรู ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า... หมายถึง... ยังไม่ฆ่า” เขาหันไปที่ม้าของเขา “แต่เจ้าจะต้องตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบให้รู้ว่าเจ้าเป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิน เพราะจี้หยกในมือของเจ้านั้นมันเป็นของตระกูลหลิน” เขาขึ้นม้าด้วยท่าทางสง่างาม หันมามองเธอ “ตามมา ถ้าเจ้าไม่ตามมา ข้าจะลากเจ้าไปเอง”
ซือหยูหันมองไปรอบป่ามืด ๆ และร่างโจรที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดิน เธอตัดสินใจก้าวตามเขาด้วยขาที่สั่นเทา เธอคิดเพียงแค่ว่าตามไปก็ยังดีกว่าโดนฆ่าตายอยู่ในป่านี่ก่อนจะบ่นพึมพำ “เขาเป็นใครกันแน่...”
หลินซือหยูก้าวตามจ้าวหย่งเฉินด้วยขาที่สั่นเทา ป่ามืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินชื้นและคาวเลือดจากร่างโจรสามคนที่ล้มกองอยู่ด้านหลังยังคงติดอยู่ในจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังก้องในความเงียบ เธอมองไปที่แผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีดำของเขา เกราะที่เปื้อนเลือดแห้งกรังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายจาง ๆ เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เมื่อครู่ตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบว่าเจ้าเป็นใครมันไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันร้อนผ่าวแต่เธอไม่กล้าปล่อยมันทิ้ง เพราะมันทำให้เธอยังพอที่จะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง“เร็วเข้า ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตถึงรุ่งเช้า” หย่งเฉินพูดโดยไม่หันมามอง น้ำเสียงทุ้มของเขายังคงแฝงด้วยความอบอุ่นที่ขัดแย้งกับความน่าเกรงขามซือหยูรีบเร่งฝีเท้า แม้ว่าชุดผ้าไหมที่ขาดวิ่นของเธอจะพันขาให้รำคาญ เธอสะดุดรากไม้เล็ก ๆ จนเผลอส่งเสียงร้องออกมา แต่หย่งเฉินก็ไม่แม้แต่จะหยุดรอหรือหันมามอง เขาควบม้าต่อไปราวกับไม่สนใจว่าเธอจะตามทันหรือไม่เขาไม่มีความเมตตาบ้างเลยเหรอเนี่ย...เธอคิดในขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจที่หอบเหนื่อยหลังจากเดินไปได้ราว
หลินซือหยูนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ไม้หยาบ ๆ ในเต็นท์ของจ้าวหย่งเฉิน มีดสั้นที่เขาปักทิ้งไว้บนโต๊ะยังคงสั่นเล็กน้อยจากแรงกระแทก เสียงฝีเท้าของหย่งเฉินที่เดินออกไปก้องอยู่ในหัวของเธอ ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอในตอนนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าเธอทหารร่างสูงในชุดเกราะสีเทา ถือหอกยาว ที่ได้รับหน้าที่ยืนเฝ้าเธอ มองเธอด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันยังคงร้อนผ่าวราวกับมีชีวิต เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ฉันต้องหาทางรอดจากที่นี่ให้ได้”แม้ลึก ๆ เธอจะรู้ดีว่าในโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ การหนีอาจหมายถึงความตายก็ตาม...แสงตะเกียงในเต็นท์สั่นไหวตามลมที่พัดผ่านผ้าใบ เสียงทหารนอกค่ายเริ่มเงียบลงเมื่อเวลาค่ำคืนคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ ซือหยูพยายามนึกถึงสิ่งที่หย่งเฉินพูดขบวนการกบฏ ตระกูลหลิน และหลินซือเยว่ที่ถูกวางยาพิษ “ถ้าฉันอยู่ในร่างของเธอจริง ๆ แล้วเธอรู้ความลับอะไรบางอย่าง... ฉันจะหาคำตอบได้จากที่ไหนนะ” เธอคิด ขณะที่มองไปที่ทหารเฝ้ายามแล้วพยายามถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “นี่คุณ! ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตระกูลหลินทำอะไรผิด”“
เสียงความวุ่นวายภายนอกสงบลงแล้ว เป็นค่ำคืนที่ทำให้หลินซือหยูจดจำไม่ลืม จากที่เคยร่ำเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเกี่ยวกับสงครามในวิชาประวัติศาสตร์ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเธอจะได้มาอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริงแบบนี้ความสงบมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ที่มอบความหนาวเย็นลอยเข้ามาสัมผัสผิวกายของเธอที่กำลังหลับไหลอยู่ในเต็นท์ท่ามกลางกลิ่นควันไฟและคราบเลือดแห้งกรังจากเหตุการณ์โจรบุกเมื่อคืน เธอนอนหลับบนเสื่อผ้าที่หย่งเฉินจัดให้ เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมานอกเต็นท์ดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านผ้าใบเต็นท์ เธอรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่นอนหลับมาตลอดคืน เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ร่างกายยังคงหนักอึ้งเพราะความเหนื่อยล้าจากการหนีและการเผชิญหน้ากับอันตรายเมื่อคืนนี้“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้งซือหยูยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปเห็นเขายืนอยู่ที่ปากเต็นท์ ชุดเกราะของเขายังเปื้อนคราบเลือดแห้งจากคืนก่อน ใบหน้าคมเข้มของเขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงเย็นชาและเฉียบคม“มอร์นิ่งค่ะ” เธอเอ่ยทัก“มอ... มอร์นิ่ง? เจ้าพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว ภาษาของเจ้ามันพิกลนัก ข้าไม่เคยได้ย
แผ่นหลังของหลินซือหยูรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าขณะที่นั่งบนเกวียนที่เคลื่อนผ่านถนนฝุ่นแดงไปยังเมืองหลวง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องเป็นจังหวะประสานกับเสียงล้อเกวียนที่ดังกรอบแกรบ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มนำหน้า ชุดเกราะของเขายังคงสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับแบกรับภาระหนักเอาไว้ตลอดเวลา“หยุดพักตั้งค่ายข้างหน้า!” หย่งเฉินตะโกนสั่งทหารที่ขี่ตามหลัง เสียงของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขาม ทหารทั้งหมดพยักหน้าและเริ่มตั้งแคมป์ชั่วคราวเมื่อเดินมาถึงบริเวณลำธารเล็ก ๆ ค่ายนี้มีเพียงเต็นท์ผ้าสีเทาสองสามหลัง กองไฟถูกจุดขึ้น กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูกของซือหยู“นี่มันเหมือนที่เราเห็นในหนังพีเรียดเลย” เธอพูดกับตัวเอง ขณะที่ลงจากเกวียนด้วยความช่วยเหลือจากทหาร“เจ้าว่าอะไรนะ” หย่งเฉินเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าสงสัยซือหยูสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกคนจะได้ยินที่เธอพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่ได้พูดอะไรนะ”“เจ้ากำลังปิดบังข้า” เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้ากระซิบอะไรกับตัวเอง”“ปะ... เปล่า! ไ
เกวียนของซือหยูเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งผ่านอากาศที่ค่อนข้างเย็นในป่าที่ยังคงเงียบสงัด ใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนลง เสียงม้าก้าวเท้าดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงใบไม้แห้งที่ดังกรอบ แกรบใต้ล้อเกวียน เธอมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่อยู่บนหลังม้าหน้าขบวน ชุดเกราะของเขายังสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เขาหันมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง“ระวัง” หย่งเฉินพูดกับทหารที่ขี่ตามหลัง “เรากำลังเข้าใกล้เขตที่โจรขององค์ชายสามมักซุ่มโจมตี จงระมัดระวังให้ดี อย่าประมาท” เสียงสั่งของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขามเช่นเดิมทหารทั้งหมดพยักหน้า ขึงสายธนูและจับดาบแน่น ซือหยูยกมือขึ้นมาจับจี้หยกที่ห้อยคอแน่นขึ้น มันเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อยวูบ!ภาพเหตุการณ์หนึ่งวาบเข้ามาในหัวของเธอ‘ชายในชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางควันไฟ ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา ที่มุมปากของเขามีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่’ “นั่น... องค์ชายสามเหรอ...” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ภาพนั้นหายไป“เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?” หย่งเฉินหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัยซือหยูส่ายหน้า “เปล่า... ฉันแค่รู้สึกไม่ค่
แสงจันทร์ยามค่ำคืนลอดผ่านผ้าใบบาง ๆ สาดเข้ามาในเต็นท์ที่กางตั้งภายในค่ายพักชั่วคราว เสียงลมพัดผ่านใบไม้แห้งด้านนอกดังเป็นจังหวะ แม้ว่าในคืนนี้จะดูสงบกว่าคืนที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้หย่งเฉินและซือหยูหลับได้ไม่สนิทนักเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ซือหยูย้อนเวลากลับมาอยู่ในอดีตแล้วฝัน มันดูเป็นภาพฝันที่ค่อนข้างคุ้นเคย เธอเห็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีครามยืนอยู่ในเรือนเก่า เธอค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นบ่อย ๆ จากจี้หยกนั้นต้องเป็นหลินซือเยว่ตัวจริงอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้ภาพที่เธอเห็นนั้นทำให้รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะใบหน้าของซือเยว่ซีดเผือดกว่าปกติ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอถือจดหมายลับในมือ ตัวอักษรจีนโบราณจาง ๆ บนกระดาษระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และสัญลักษณ์หยดน้ำล้อมรอบด้วยลายเมฆสีแดง ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลหลิน หญิงสาวนั้นร้องไห้ก่อนจะซ่อนจดหมายไว้ใต้พื้นไม้ในห้อง“นี่มันอะไรกัน?” ซือหยูเอ่ยพูดในฝัน แต่หญิงสาวคนนั้นไม่ตอบ เธอหันไปมองรอบ ๆ และเห็นเงาของชายในชุดดำยืนอยู่มุมเรือน ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา“หลินซือเยว่ เจ้าคิดว่าจะซ่อนความลับนี้ได้หรือ” เสียงทุ้ม
เป็นคืนแรกที่หลินซือหยูได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอนจริง ๆ เสียที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบันแต่มันก็เป็นหลักเป็นแหล่ง และรู้สึกปลอดภัยกว่านอนอยู่ในป่ามากทีเดียว มันเป็นห้องพักที่อยู่ในเรือนของแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในเมืองหลวงฉางอาน เขาพาเธอมาพักผ่อนที่นี่หลังจากที่เสร็จธุระจากเรือนใหญ่ตระกูลหลินโดยปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่เรือนหลังนี้มากนัก เพราะต้องออกเดินทางลาดตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร เพื่อดูแลความเรียบร้อยตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงเคยชินกับการนอนในเต็นท์ตามค่ายพักชั่วคราวมากกว่าแสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่พัดผ่านเข้ามาภายใน ความเงียบทำให้ซือหยูได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินไปมาด้านนอกดังเป็นจังหวะ แต่กลับดูคล้ายเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ใกล้แตกสลาย เธอมองไปที่จดหมายลับบนโต๊ะไม้หยาบ ๆ ตัวอักษรจีนโบราณระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และรายชื่อขุนนางที่สมคบกับเขาด้วยหมึกสีแดงจาง ๆ ราวกับเลือดที่แห้งกรังนี่คือหลักฐานที่หย่งเฉินต้องการ... แต่ถ้าองค์ชายสามรู้ว่าฉันมีมันล่ะความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ในชั่วขณะนั
ซู่ๆๆสายฝนโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเช้ามืด มันช่างน่าแปลก ปกติแล้วช่วงฤดูร้อนแบบนี้มักไม่ค่อยมีฝนตกลงมาสักเท่าไหร่ แต่ปีนี้สภาพอากาศดูแปรปรวนกว่าที่ผ่าน ๆ มา ท้องฟ้าทั้งผืนเป็นสีเทาหม่นขมุกขมัวเหนือเมืองหลวงในวันนี้ดูราวกับเป็นผ้าม่านที่กำลังปิดบังบางสิ่งเอาไว้เป็นวันที่ไม่สดใสเอาเสียเลย...หลินซือหยูคิดพลางยืนนิ่งอยู่หน้าตึกสูงของมหาวิทยาลัย เธอเปียกฝนเล็กน้อย มือกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วซีด เพราะเธอเพิ่งได้รับข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษามาหมาด ๆถ้าคุณยังส่งงานวิจัยไม่ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ผมจะตัดคุณออกจากรายชื่อนักศึกษา ผมยืดเวลามาให้คุณมากเกินไปแล้วคำขู่ที่แสนเย็นชานั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ อากาศชื้น ๆ จากฝนไหลซึมเข้าเต็มปอด แต่ไม่ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ่งเจอสภาพอากาศแบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกดิ่งไปกันใหญ่“ทำไมชีวิตฉันถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้เนี่ย!!” ซือหยูพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอหน่วยที่ดวงตาทั้งสองข้างเธอในวัยยี่สิบห้าปีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีค่าเลยสักครั้ง ครอบครัวก็แตกแยก เพื่อนก็มีน้อย แถมการเรียนก็ดันกลายเป็นโซ่ตรวน
เป็นคืนแรกที่หลินซือหยูได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอนจริง ๆ เสียที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบันแต่มันก็เป็นหลักเป็นแหล่ง และรู้สึกปลอดภัยกว่านอนอยู่ในป่ามากทีเดียว มันเป็นห้องพักที่อยู่ในเรือนของแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในเมืองหลวงฉางอาน เขาพาเธอมาพักผ่อนที่นี่หลังจากที่เสร็จธุระจากเรือนใหญ่ตระกูลหลินโดยปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่เรือนหลังนี้มากนัก เพราะต้องออกเดินทางลาดตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร เพื่อดูแลความเรียบร้อยตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงเคยชินกับการนอนในเต็นท์ตามค่ายพักชั่วคราวมากกว่าแสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่พัดผ่านเข้ามาภายใน ความเงียบทำให้ซือหยูได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินไปมาด้านนอกดังเป็นจังหวะ แต่กลับดูคล้ายเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ใกล้แตกสลาย เธอมองไปที่จดหมายลับบนโต๊ะไม้หยาบ ๆ ตัวอักษรจีนโบราณระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และรายชื่อขุนนางที่สมคบกับเขาด้วยหมึกสีแดงจาง ๆ ราวกับเลือดที่แห้งกรังนี่คือหลักฐานที่หย่งเฉินต้องการ... แต่ถ้าองค์ชายสามรู้ว่าฉันมีมันล่ะความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ในชั่วขณะนั
แสงจันทร์ยามค่ำคืนลอดผ่านผ้าใบบาง ๆ สาดเข้ามาในเต็นท์ที่กางตั้งภายในค่ายพักชั่วคราว เสียงลมพัดผ่านใบไม้แห้งด้านนอกดังเป็นจังหวะ แม้ว่าในคืนนี้จะดูสงบกว่าคืนที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้หย่งเฉินและซือหยูหลับได้ไม่สนิทนักเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ซือหยูย้อนเวลากลับมาอยู่ในอดีตแล้วฝัน มันดูเป็นภาพฝันที่ค่อนข้างคุ้นเคย เธอเห็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีครามยืนอยู่ในเรือนเก่า เธอค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นบ่อย ๆ จากจี้หยกนั้นต้องเป็นหลินซือเยว่ตัวจริงอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้ภาพที่เธอเห็นนั้นทำให้รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะใบหน้าของซือเยว่ซีดเผือดกว่าปกติ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอถือจดหมายลับในมือ ตัวอักษรจีนโบราณจาง ๆ บนกระดาษระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และสัญลักษณ์หยดน้ำล้อมรอบด้วยลายเมฆสีแดง ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลหลิน หญิงสาวนั้นร้องไห้ก่อนจะซ่อนจดหมายไว้ใต้พื้นไม้ในห้อง“นี่มันอะไรกัน?” ซือหยูเอ่ยพูดในฝัน แต่หญิงสาวคนนั้นไม่ตอบ เธอหันไปมองรอบ ๆ และเห็นเงาของชายในชุดดำยืนอยู่มุมเรือน ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา“หลินซือเยว่ เจ้าคิดว่าจะซ่อนความลับนี้ได้หรือ” เสียงทุ้ม
เกวียนของซือหยูเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งผ่านอากาศที่ค่อนข้างเย็นในป่าที่ยังคงเงียบสงัด ใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนลง เสียงม้าก้าวเท้าดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงใบไม้แห้งที่ดังกรอบ แกรบใต้ล้อเกวียน เธอมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่อยู่บนหลังม้าหน้าขบวน ชุดเกราะของเขายังสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เขาหันมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง“ระวัง” หย่งเฉินพูดกับทหารที่ขี่ตามหลัง “เรากำลังเข้าใกล้เขตที่โจรขององค์ชายสามมักซุ่มโจมตี จงระมัดระวังให้ดี อย่าประมาท” เสียงสั่งของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขามเช่นเดิมทหารทั้งหมดพยักหน้า ขึงสายธนูและจับดาบแน่น ซือหยูยกมือขึ้นมาจับจี้หยกที่ห้อยคอแน่นขึ้น มันเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อยวูบ!ภาพเหตุการณ์หนึ่งวาบเข้ามาในหัวของเธอ‘ชายในชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางควันไฟ ใบหน้าคมเข้มของเขามีรอยยิ้มเย็นชา ที่มุมปากของเขามีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่’ “นั่น... องค์ชายสามเหรอ...” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ภาพนั้นหายไป“เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?” หย่งเฉินหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัยซือหยูส่ายหน้า “เปล่า... ฉันแค่รู้สึกไม่ค่
แผ่นหลังของหลินซือหยูรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าขณะที่นั่งบนเกวียนที่เคลื่อนผ่านถนนฝุ่นแดงไปยังเมืองหลวง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องเป็นจังหวะประสานกับเสียงล้อเกวียนที่ดังกรอบแกรบ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มนำหน้า ชุดเกราะของเขายังคงสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับแบกรับภาระหนักเอาไว้ตลอดเวลา“หยุดพักตั้งค่ายข้างหน้า!” หย่งเฉินตะโกนสั่งทหารที่ขี่ตามหลัง เสียงของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขาม ทหารทั้งหมดพยักหน้าและเริ่มตั้งแคมป์ชั่วคราวเมื่อเดินมาถึงบริเวณลำธารเล็ก ๆ ค่ายนี้มีเพียงเต็นท์ผ้าสีเทาสองสามหลัง กองไฟถูกจุดขึ้น กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูกของซือหยู“นี่มันเหมือนที่เราเห็นในหนังพีเรียดเลย” เธอพูดกับตัวเอง ขณะที่ลงจากเกวียนด้วยความช่วยเหลือจากทหาร“เจ้าว่าอะไรนะ” หย่งเฉินเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าสงสัยซือหยูสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกคนจะได้ยินที่เธอพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่ได้พูดอะไรนะ”“เจ้ากำลังปิดบังข้า” เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้ากระซิบอะไรกับตัวเอง”“ปะ... เปล่า! ไ
เสียงความวุ่นวายภายนอกสงบลงแล้ว เป็นค่ำคืนที่ทำให้หลินซือหยูจดจำไม่ลืม จากที่เคยร่ำเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเกี่ยวกับสงครามในวิชาประวัติศาสตร์ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเธอจะได้มาอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริงแบบนี้ความสงบมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ที่มอบความหนาวเย็นลอยเข้ามาสัมผัสผิวกายของเธอที่กำลังหลับไหลอยู่ในเต็นท์ท่ามกลางกลิ่นควันไฟและคราบเลือดแห้งกรังจากเหตุการณ์โจรบุกเมื่อคืน เธอนอนหลับบนเสื่อผ้าที่หย่งเฉินจัดให้ เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมานอกเต็นท์ดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านผ้าใบเต็นท์ เธอรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่นอนหลับมาตลอดคืน เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ร่างกายยังคงหนักอึ้งเพราะความเหนื่อยล้าจากการหนีและการเผชิญหน้ากับอันตรายเมื่อคืนนี้“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้งซือหยูยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปเห็นเขายืนอยู่ที่ปากเต็นท์ ชุดเกราะของเขายังเปื้อนคราบเลือดแห้งจากคืนก่อน ใบหน้าคมเข้มของเขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงเย็นชาและเฉียบคม“มอร์นิ่งค่ะ” เธอเอ่ยทัก“มอ... มอร์นิ่ง? เจ้าพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว ภาษาของเจ้ามันพิกลนัก ข้าไม่เคยได้ย
หลินซือหยูนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ไม้หยาบ ๆ ในเต็นท์ของจ้าวหย่งเฉิน มีดสั้นที่เขาปักทิ้งไว้บนโต๊ะยังคงสั่นเล็กน้อยจากแรงกระแทก เสียงฝีเท้าของหย่งเฉินที่เดินออกไปก้องอยู่ในหัวของเธอ ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอในตอนนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าเธอทหารร่างสูงในชุดเกราะสีเทา ถือหอกยาว ที่ได้รับหน้าที่ยืนเฝ้าเธอ มองเธอด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันยังคงร้อนผ่าวราวกับมีชีวิต เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ฉันต้องหาทางรอดจากที่นี่ให้ได้”แม้ลึก ๆ เธอจะรู้ดีว่าในโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ การหนีอาจหมายถึงความตายก็ตาม...แสงตะเกียงในเต็นท์สั่นไหวตามลมที่พัดผ่านผ้าใบ เสียงทหารนอกค่ายเริ่มเงียบลงเมื่อเวลาค่ำคืนคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ ซือหยูพยายามนึกถึงสิ่งที่หย่งเฉินพูดขบวนการกบฏ ตระกูลหลิน และหลินซือเยว่ที่ถูกวางยาพิษ “ถ้าฉันอยู่ในร่างของเธอจริง ๆ แล้วเธอรู้ความลับอะไรบางอย่าง... ฉันจะหาคำตอบได้จากที่ไหนนะ” เธอคิด ขณะที่มองไปที่ทหารเฝ้ายามแล้วพยายามถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “นี่คุณ! ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตระกูลหลินทำอะไรผิด”“
หลินซือหยูก้าวตามจ้าวหย่งเฉินด้วยขาที่สั่นเทา ป่ามืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินชื้นและคาวเลือดจากร่างโจรสามคนที่ล้มกองอยู่ด้านหลังยังคงติดอยู่ในจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังก้องในความเงียบ เธอมองไปที่แผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีดำของเขา เกราะที่เปื้อนเลือดแห้งกรังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายจาง ๆ เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เมื่อครู่ตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบว่าเจ้าเป็นใครมันไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันร้อนผ่าวแต่เธอไม่กล้าปล่อยมันทิ้ง เพราะมันทำให้เธอยังพอที่จะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง“เร็วเข้า ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตถึงรุ่งเช้า” หย่งเฉินพูดโดยไม่หันมามอง น้ำเสียงทุ้มของเขายังคงแฝงด้วยความอบอุ่นที่ขัดแย้งกับความน่าเกรงขามซือหยูรีบเร่งฝีเท้า แม้ว่าชุดผ้าไหมที่ขาดวิ่นของเธอจะพันขาให้รำคาญ เธอสะดุดรากไม้เล็ก ๆ จนเผลอส่งเสียงร้องออกมา แต่หย่งเฉินก็ไม่แม้แต่จะหยุดรอหรือหันมามอง เขาควบม้าต่อไปราวกับไม่สนใจว่าเธอจะตามทันหรือไม่เขาไม่มีความเมตตาบ้างเลยเหรอเนี่ย...เธอคิดในขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจที่หอบเหนื่อยหลังจากเดินไปได้ราว
หลินซือหยูรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวในลำคอขณะที่เธอถูกเสี่ยวหลานดันหลังให้ไปซ่อนตัวหลังม่านผ้าสีครามหนาที่ยื่นลงจากเพดาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันหนักแน่นราวกับจังหวะกลองศึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ“อย่าส่งเสียงนะเจ้าคะ!” เสี่ยวหลานยกมือขึ้นปิดปากเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซือหยูสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาในทันที ถ้าหากบุคคลนี้เป็นคนที่หมายจะเอาชีวิตหลินซือเยว่ ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหาคำตอบว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง“ฉันต้องหนี!” ซือหยูพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางสะบัดมือเสี่ยวหลานออก คว้าจี้หยกจากโต๊ะข้างเตียงที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้หลังจากกำไว้ในมือมาตลอดแล้วมองไปที่ประตูหลังก๊อก ๆ ๆซือหยูและเสี่ยวหลานหน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูไม่ทันแล้ว...ซือหยูนึกในใจ สลับมองที่ประตูด้านหลังกับประตูด้านหน้าด้วยความตระหนก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธอ ในวินาทีนั้นก่อนจะสายเกินไปเสี่ยวหลานจึงรีบผลักให้เจ้านายของตนเข้าไปหลบอยู่
หลินซือหยูรู้สึกถึงอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับขณะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่า ๆ สาดลงมาบนใบหน้าของเธอ อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรปนดินและกลิ่นไม้ไหม้จาง ๆ ที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่น เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ร่างกายหนักอึ้งราวกับแบกก้อนหิน เธอมองลงไปที่มือของตัวเอง และสิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ“นี่มัน... มือของใครเนี่ย!?” เธออุทานออกมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้เธอได้ยินเสียงพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอว่ามันไม่ใช่เสียงของตัวเอง เพราะน้ำเสียงนี้มันค่อนข้างบาง อ่อนหวาน และมีสำเนียงแปลก ๆ ที่เธอไม่เคยได้ยินจากตัวเองมาก่อนมือคู่นี้ที่เธอเห็นมันเรียวเล็ก ผิวก็ขาวเนียนเกินกว่ามือของเธอที่เคยหยาบกร้านจากการจดเลคเชอร์และพิมพ์งาน เธอพลิกฝ่ามือดู มีรอยแผลบาง ๆ ที่ข้อมือซ้าย ซึ่งเธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยมีรอยนี้ในชีวิตจริง เธอลองกดที่แผลนั้นดูเบา ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที“นี่ไม่ใช่ฝันแน่ ๆ” เธอพึมพำขณะที่สมองเริ่มตื่นตัวเต็มที่เธอหันมองไปรอบห้อง ห้องนอนที่เธอนอนอยู่นั้นเป็นห้องไม้เก่า ๆ เหมือนกับที่เธอเคยเห็นในละครย้อนยุค เตียงที่เธอนั่งอยู่ปูด้วย