แม้บนเวทีจะมีสาวงามถึงสองคนฟ้อนด้วยท่วงท่าลีลาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ตรึงสายตาของเปรมินทร์ให้มองตามทุกการร่ายรำของเธอ คนที่เขาเห็นเธอเป็นเหมือนนางฟ้านั่นเอง
หญิงสาวกำลังฟ้อนอย่างอ้อนช้อยงดงาม โดยมีมาลัยคล้องอยู่ในนิ้วของมือข้างหนึ่ง เปรมินทร์ไม่เคยรู้หรือสนใจเกี่ยวกับนาฎศิลป์ใดๆ ทว่าชายหนุ่มกลับรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังแสดงเรียกว่า ‘ฟ้อนมาลัย[1]’ จากเจ้าแม่ของเขาเอง เพราะท่านกระซิบกระซาบกับแม่เลี้ยงตั้งแต่มีการรำอวยพรวันเกิดในชุดแรกว่าเป็นมาธาวี หรือ สอง ลูกสาวคนเล็กรำเปิดงาน เขานั่งหลังผู้เป็นแม่จึงได้ยินชัด ซึ่งเจ้าแม่ของเขาก็ชมไม่ขาดปากว่ารำสวย มืออ่อน ตัวอ่อน หน้าตาก็สวยน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนางรำ เมื่อเพลงใหม่ดังขึ้นท่านก็อุทานชื่อการแสดงเบาๆ ด้วยความยินดี นั่นทำให้เขารู้ว่าการฟ้อนของนางฟ้าคนสวยชื่ออะไร
“หนูสองคนนี้ก็รำเก่งเชียว สวยทั้งคู่เลย แม่เลี้ยงจ้างมาจากที่ไหนคะ ฉันชอบ เผื่อมีงานจะได้ติดต่อบ้าง”
ชายหนุ่มเห็นเจ้าแม่ของเขาหันไปถามแม่เลี้ยงอีกครั้ง
“อุ๊ย...ไม่ได้จ้างมาจากที่ไหนหรอกค่ะเจ้า หนูสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกสองค่ะ เขาเรียนด้วยกัน ลูกสองก็พามาช่วยกันน่ะค่ะ”
“แต่คุณแม่ก็จ่ายเงินนะคะ ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมมาฟรีๆ หรอกค่ะเจ้า”
เสียงราบเรียบของสาวรูปร่างโปร่งระหงในชุดราตรีสวยหรูที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาดังแทรกขึ้น แม้พยายามไม่ให้ดูเสียมารยาทที่พูดแทรกผู้ใหญ่ ราวกับตั้งใจอธิบายกับเจ้าแม่ของเขา แต่เปรมินทร์จับได้ถึงน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจได้จากมาลินี ลูกสาวคนโตของพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตี
“แม่ก็ให้เป็นน้ำใจกัน ที่จริงเด็กๆ ก็จะไม่รับหรอก แต่แม่ขอให้รับไว้เอง”
แม่เลี้ยงมารตีหันมาพูดเสียงหวานกับลูกสาวแล้วหันไปยิ้มกับเจ้าแม่ของเขาที่พยักหน้าเข้าใจ ทำเอามาลินีกอดอกหน้านิ่งแต่เห็นชัดถึงความไม่พอใจ ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยชอบการแสดงของน้องสาวกับเพื่อนๆ นัก เพราะพ่อเลี้ยงศราก็พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ถึงลูกสาวคนเล็กอย่างภาคภูมิ ทุกคนต่างเห็นด้วยกับการแสดงที่งดงามอ่อนช้อยสมกับการเลี้ยงฉลองใหญ่ให้กับพ่อเลี้ยงยิ่งนัก
เมื่อจบการฟ้อนเสียงปรบมือดังอย่างกึกก้อง หนึ่งในนั้นก็มีเปรมินทร์ด้วย แม้ชายหนุ่มจะไม่เคยซึมซับความงดงามของการร่ายรำเลยสักครั้ง หากแต่ครั้งนี้เขากลับไม่มองไปทางอื่นได้เลย ทั้งยังรู้สึกได้ว่านี่เป็นการแสดงที่ตรึงตาตรึงใจอย่างมากมายกว่าครั้งไหน
พิธีการหลักบนเวทีใช้เวลาไม่นาน หลังจากพ่อเลี้ยงศรากล่าวขอบคุณแขกบนเวทีก็บรรเลงเพลงคลอบรรยากาศสลับกับนักร้องบ้างเล็กน้อย ส่วนแขกก็พูดคุยทานอาหารกันตามอัธยาศัย
“มาทางนี้เถอะค่ะพี่มินทร์ หนึ่งเห็นพี่มินทร์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวหนึ่งหาอะไรอร่อยๆ ให้ทานดีกว่านะคะ”
แขนกำยำถูกคว้าหมับจากมาลินี เมื่อเจ้าปัทมาดาราอยากพบมาธาวีเพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เจอกัน เนื่องจากหญิงสาวต้องเตรียมตัวอยู่หลังเวทีตลอด แม่เลี้ยงมารตีบอกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคงออกมาไหว้ผู้ใหญ่
“เราไม่รอไปพร้อมน้องสองเหรอ น้องสองก็น่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกันนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
คำถามของเขาได้รับคำตอบแบบสะบัดๆ เปรมินทร์นึกระอา เจ้าแม่เคยพูดว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้เขาเป็นฝั่งเป็นฝากับลูกสาวคนใดคนหนึ่งของครอบครัวนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ตกลงกันอย่างจริงจัง แล้วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย แต่เขาไม่เคยมองสองสาวเป็นอย่างอื่นมากกว่าน้องสาว
ทว่าราวกับเป็นความซวยหรือโชคชะตาก็ไม่รู้ที่มักจะต้องได้เรียนที่เดียวกันกับมาลินีเสมอ ทั้งมัธยมและตอนไปเรียนต่ออเมริกาก็ยังอยู่ในรัฐเดียวกัน ทำให้อีกฝ่ายพบเจอขอความช่วยเหลือจากเขาบ่อยครั้งจนหลายคนเข้าใจว่ากำลังคบหากันอยู่ แถมมาดนางพญาของมาลินียังทำให้ไม่มีหนุ่มคนไหนเข้าหน้าติด เขาไม่แน่ใจว่าเธอสนใจการพูดคุยของผู้ใหญ่สักแค่ไหน แต่ก็สนิทสนมกับเขามากกว่าน้องสาว
“ยัยสองเขามีเพื่อนมาด้วย พี่มินทร์ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกค่ะ ยังไงพวกเขาก็หาทานกันได้ ไปกับหนึ่งดีกว่า หนึ่งก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน”
เปรมินทร์จำต้องไปพร้อมกับมาลินี เจ้าแม่ของเขากับพ่อไปนั่งโต๊ะสำหรับแขกวีไอพีและมีคนดูแลเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนานเพราะหญิงสาวปรึกษาเรื่องงานเลขาผู้ว่าที่เธอเพิ่งเข้าไปทำ หลังจากสอบตั้งแต่เรียนจบกลับมาใหม่ๆ มองผิวเผินคงไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่คุยเรื่องซีเรียส ราวกระหนุงกระหนิงกันเพียงสองคน กระทั่งครอบครัวของเขาจะกลับนั่นแหละชายหนุ่มจึงแยกตัวออกไป
เมื่อลาผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วพ่อกับเจ้าแม่เขาก็กลับรถที่มาส่งพ่อโดยมีคนขับรถให้ ส่วนตัวเขากลับคันที่ตนขับมาพร้อมเจ้าแม่เอง ทว่าก่อนจะขึ้นรถเปรมินทร์ก็ต้องหยุดนิ่ง แล้วเดินยังตรงพุ่มไม้ไม่ไกลนักเพราะมีเสียงเบาๆ ดังมาจากตรงนั้น เมื่อก้มลงสังเกตสายตาคมก็เห็นร่างเล็กขยุกขยิก เขาเพ่งมองแล้วรู้สึกคุ้นตา จึงเอื้อมมือไปจับมัน หากก็ลำบากสักหน่อยเพราะพุ่มไม้ดอกเตี้ยนี้มีหนาม พอจับขึ้นมาได้มันก็ร้องไม่หยุด เปรมินทร์พิศดูไปมาแล้วก็รู้ว่าตนเคยเห็นมันที่ไหน
เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของสาวสวยคนนั้น ตอนนี้เหมือนจะได้รับการชำระล้างความสกปรกเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีโคลนปะปนกับเลือดติดอยู่ส่วนขาและลำตัวของมันบ้าง สงสัยเจ้านี่คงเดินเล่นจนหลงมาติดอยู่ในพุ่มไม้นี่
ชายหนุ่มมองมันแล้วหันกลับไปด้านใน คนงานกำลังวุ่นวายกับงานเลี้ยง แม้ตอนนี้แขกเริ่มจะทยอยกลับกันแล้วก็ตาม หากเอามันไปส่งคืนเขาก็ไม่รู้ว่าจะฝากไว้กับใครดี จะให้ตามหาสาวใช้คนนั้นหรือนางรำคนสวยก็คงใช้เวลานาน
‘ก้อยยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะเอายังไงกับมันดี เอาขึ้นเครื่องกลับด้วยคงไม่ได้ แต่ถึงจะหาทางพามันไปด้วยได้ ที่หอก็ไม่ให้เลี้ยงสัตว์อยู่ดี’
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หญิงสาวพูด เปรมินทร์ก็จ้องเจ้าตัวเล็กผอมเห็นกระดูกน่าเกลียดจนเขาถือได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดขึ้น
“แก...จะเรียกฉันว่าพี่หรือพ่อดีล่ะ”
[1] ฟ้อนมาลัย หรือลาวดวงดอกไม้ เป็นการแสดงที่นำมาจากการแสดงละครพันทางเรื่องพระยาผานอง ซึ่งกรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นแสดง ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งทำนองเพลงและบทร้องท่านผู้หญิงหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำฟ้อนชุดนี้ออกเป็นเพลงซุ้ม ซึ่งเป็นเพลงลาวชั้นเดียวปัจจุบันใช้แสดงในโอกาสงานมงคล หรืองานเบ็ดเตล็ดทั่วไป
=====
ช่วงเวลาสองปีบางคนก็รู้สึกว่าผ่านไปเร็ว บางคนก็เหมือนจะแสนเชื่องช้า หากสำหรับเปรมินทร์แล้วเกิดขึ้นทั้งสองความรู้สึก ในเวลาที่สนุกสนาน ได้พบเจอเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ เปิดหูเปิดตาในสถานที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ทุกอย่างก็ดูจะผ่านไปรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดในงาน ต้องแก้ปัญหาและหาทางออกที่เหมาะสมเวลากลับขยับอย่างยากลำบาก จนแล้วจนรอดเปรมินทร์ก็ก้าวผ่านทุกอย่างมาได้โดยปราศจากความท้อหรือยอมแพ้ ขณะที่ต้องไปศึกษาการบริหารงานของธุรกิจกับผู้เป็นอาที่ออสเตรเลียชายหนุ่มถูกคุณเฮนรี่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก ทั้งที่เรียนจบถึงปริญญาเอก ทว่าเมื่อถึงเมืองไทยก็ต้องลงไปทำงานทุกอย่างในไร่ เรียนรู้ทุกจุด ทุกไร่ที่ครอบครัวมี รวมทั้งเหมืองพลอยที่เป็นมรดกตกทอดของเจ้าแม่อีกด้วย จนกระทั่งสามปีชายหนุ่มเข้าอกเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ทั้งยังผูกพันกับคนงานตั้งแต่ระดับล่างจนถึงผู้บริหารแล้ว แทนที่คุณเฮนรี่จะให้เขาได้ช่วยงานอย่างเต็มที่และริเริ่มการเพาะกล้วยไม้ ชายหนุ่มกลับถูกส่งไปฝึกเป็นผู้ช่วยอาของตนเองเสียก่อน เนื่องจากท่านอยากให้ลูกชายได้รู้จักการบริหารบริษัทที่อยู่ในระดับกลางหลังกลับมาเชียงรายอีกครั้ง เปรมินทร
“นั่นไงน้องสาวฉัน”“ว่าไงนะ”เปรมินทร์ถามก่อนจะหันกลับไปจ้องบนเวทีอีกครั้งอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลาพร้อมเอ่ยต่อ“ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลย”“อ๋อ ไม่ใช่คนที่นายเคยเจอหรอก นี่น้องสาวคนเล็ก”“น้องสาวคนเล็กงั้นเหรอ”ชายหนุ่มหันมามองเพื่อนอีกครั้งแล้วถามย้ำ“คนไหน”ตอนนี้กิตติกรเองก็หันมามองเพื่อนเช่นกัน เขายิ้มกว้างขณะตอบ“คนซ้ายมือ คนที่อยู่ทางซ้ายมือของเราน่ะ”คำบอกของเพื่อนทำให้เปรมินทร์เหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างลืมตัว นางฟ้าคนนั้นคือน้องสาวคนเล็กของเพื่อนสนิทเขาเอง เขาได้รู้จักกิตติกรตอนเรียนที่อเมริกาแล้วอยู่คณะเดียวกัน การเป็นคนไทยด้วยกันทำให้ทั้งคู่ปรึกษาช่วยเหลือกันและกันระหว่างเรียนมาตลอด เปรมินทร์รู้เพียงว่ากิตติกรมาจากครอบครัวผู้ดีเก่าจากนามสกุลของเขาเท่านั้น ด้วยความที่ทั้งสองคบหากันด้วยใจมากกว่า ก็เลยไม่มีการพูดคุยหรือถามไถ่เกี่ยวกับประวัติครอบครัวของกันและกันมากนัก ต่างก็รู้เท่าที่อีกฝ่ายบอกหรือไม่ก็พูดขึ้นในบางครั้ง เขารู้ว่ากิตติกรมีพี่น้องนับรวมตัวเองด้วยกันสี่คน เป็นผู้ชายสองผู้หญิงสอง รายละเอียดอื่นเขาไม่สนใจ ก็เหมือนกับกิตติกรที่รู้แค่ว่าเปรมินทร์เป็นลูกชายคนเดียวของ
ในห้องนอนขนาดกลางของบ้านหลังใหญ่หรือเรียกวังน่าจะถูกกว่า มีร่างอ้อนแอ้นงดงามในชุดคลุมหลังอาบน้ำเดินไปเดินมา กระทั่งสวมเสื้อผ้าชุดกระโปรงผ้าพลิ้วยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูเรียบร้อย แล้วมาหยุดหน้ากระจกบานใหญ่สูงครึ่งตัวกรอบฉลุลายโบราณสวยวิจิตร แต่งเติมหน้าตาเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหนักไปที่ขั้นตอนการบำรุง จากนั้นก็รวบผมยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถักเปียหลวมๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจเดินเสียงเบาออกจากห้องเสียงตึงตังที่ได้ยินด้านล่างทำให้หญิงสาวทำหน้าฉงน ขณะเดียวกันใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามเอ่ยทัก“น้องก้อย จะไปไหนแต่เช้า”“ก้อยจะไปคุยเรื่องโรงเรียนกับเพื่อนค่ะพี่ปัฐ”หญิงสาวตอบ คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้ายุ่งไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน“พี่คิดว่ายกเลิกไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวนี้น้องก้อยดื้อ ไม่เชื่อพี่แล้วหรือไง”ปัฐวิกรพี่ชายคนโตของตระกูลอรรถพันธ์พงศ์ ตอนนี้เป็นหัวเรือใหญ่ของการบริหารงานทุกอย่างในครอบครัว ค่อนข้างนิ่งขรึม จริงจัง และเหตุมีผล สิ่งใดที่เขาเห็นว่าไม่เหมาะสมน้องทุกคนก็มักจะเชื่อฟัง ทว่าคราวนี้น้องน้อยกลับยังฝืนทำตามใจตัวเอง ทำให้พี่ชายถึงกับขุ่นใจ“โธ่...พี่ปั
“อะไรนะ”เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”“นายกลาง”ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ“จริงเหรอหนูก้อย”คุณชายถามสั้นๆกัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ“ค่ะคุณพ่อ”“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกน
รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”“ครับ”ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พ
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให
“ฉันไม่ต้องการให้คุณมาช่วย มาดูแล ปล่อยนะ ฉันไม่กลับ ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ปล่อยฉันให้ตายเหมือนที่ปล่อยมอมแมมไปเลย”หนทางของคนที่จนมุมคือหันไปทุบตีต่อว่าอีกฝ่าย ขณะที่เขาพาเธอลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงสั่นเครือกับตากลมโตวาววับที่แดงเรื่อทำให้เปรมินทร์จับได้ว่าภรรยาโกรธตัวเองด้วยเรื่องอะไร เขาปรายตาไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขก“นายขับรถนะ”เปรมินทร์บอกกิตติกรแล้วพาร่างบอบบางเดินออกไปทันที ไม่สนใจเพื่อนสาวของเธอสองคนที่ได้ยินเสียงโวยวายแล้ววิ่งตามลงมา“ก้อย”สองสาวเรียกพร้อมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้กิตติกรมองสองสาวแล้วยักไหล่ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนออกไปร่างสูงใหญ่พากัญญานันมาถึงรถ กดรีโมตก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านหลังทั้งที่ยังอุ้มร่างบอบบางอยู่ วางเธอบนตักแกร่ง โอบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย“ก้อยงอนผมเรื่องนี้?”เขาก้มลงถาม แล้วเมื่อเห็นเพื่อนขึ้นไปนั่งหน้าพวงมาลัยก็โยนกุญแจรถให้“ฉันไม่ได้งอน”กัญญานันเถียงกลับขณะหันไปสบตาพี่ชายอย่างร้องขอ“ขึ้นภู”เปรมินทร์บอกเพื่อนสั้นๆ ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมผลักเขาพัลวัน เท้าก็ขยับดิ้นจนข้างที่เจ็บไปโดนที่นั่
เด็กๆ ทยอยกันกลับบ้านโดยมีผู้ปกครองมารับหลังจากหมดชั่วโมงสุดท้ายของช่วงบ่ายซึ่งสอนหลังเลิกเรียน สองหนุ่มลงจากรถแล้วเดินลิ่วสวนทางเข้าไป ด้านหน้าถัดจากประตูมีเคานเตอร์ต้อนรับอยู่ พนักงานกำลังยืนส่งผู้ปกครองกับเด็กๆ เมื่อเห็นสองหนุ่มก็ทำหน้างุนงง แต่เปรมินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน“ก้อยมาที่นี่ใช่ไหม อยู่ไหน”“เอ่อ...”สาวพนักงานอึกอัก ทำให้เปรมินทร์ยิ่งหงุดหงิด รู้ว่าเธอไม่รู้จักเขา เพราะหลังจากวันทำบุญเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีก“ผมเป็นพี่สาวน้องก้อย กัญญานันน่ะ แล้วนี่สามีเขา น้องก้อยอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”กิตติกรที่ใจเย็นกว่าอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เธอเพิ่งเคยได้พบคุณกัญญานันหุ้นส่วนอีกคนของที่นี่วันนี้เอง และไม่เคยเจอสามีหรือพี่น้องเจ้านายมาก่อน“ใช่ค่ะ”“แล้วอยู่ไหน”เปรมินทร์ย้ำเสียงดุ“คุณสองกับคุณปรางลงมาส่งเด็กๆ เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่น่ะค่ะ คุณกัญญาไม่ได้ลงมาด้วย ฉันคิดว่าอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นสาม เพราะขาเธอยังเจ็บอยู่”แม้ว่าพนักงานสาวจะพูดจนจบประโยคทว่าเปรมินทร์ไม่ได้รอฟัง เขาพุ่งตัวเข้าไปด้านในตั้งแต่ได้ยินว่าชั้นสามแล้ว กิตติกรเอ่ยขอบคุณ ยิ้มให้อีกฝ่ายขำๆ แล้วก้าวตามไป สองห
“หึ...เสียหาย คุณเสียอะไรยังไง ช่วยแจงมาให้ฟังหน่อยสิ”คนถูกสวนหน้าชา เธอคิดว่าเปรมินทร์จะไม่กล้าพูด แต่เขากลับมาท้าเธอให้พูดแทน“ผมไม่อยากพูดถึงให้มันเสียปาก เพราะยังไงคุณก็เป็นพี่สาวเมียผม อยากจะใส่ไคล้ยังไงก็เชิญ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า...”ในห้องยังคงมีแต่ความเงียบครอบคลุม เปรมินทร์หันไปยื่นข้อเสนอกับคุณชายพงศกรด้วยท่าทางที่แสนมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือกว่า“ถ้าคิดจะให้ผมเลิกกับก้อย ผมจะถอนหุ้นออกจากร้านที่ไอ้กลางจะมาเปิดสาขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ยกเลิกสัญญาคู่ค้า ต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ ผมยอม แต่ไปลองคิดดูดีๆ นะครับ ว่าผลกระทบที่ตามมาของใครจะมากกว่ากัน การขาดทุนระยะยาวที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาอยู่จะเป็นยังไง”ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าของลัลนาชั่วแวบก่อนจะเมินไปทางอื่น“เอาล่ะ วันนี้ผมว่าเชิญทุกคนไปพักที่โรงแรมดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจคนไข้สักเท่าไร กลาง...นายพาคุณน้าทั้งสองคุณกับน้องนายกลับไปก่อนเถอะ ฉันจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยแล้ว”เมื่อเอ่ยเชิญอย่างเสียมารยาทแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ทิ้งให้คุณชายพงศกรถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ลัลนากัดฟันแน่