ช่วงเวลาสองปีบางคนก็รู้สึกว่าผ่านไปเร็ว บางคนก็เหมือนจะแสนเชื่องช้า หากสำหรับเปรมินทร์แล้วเกิดขึ้นทั้งสองความรู้สึก ในเวลาที่สนุกสนาน ได้พบเจอเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ เปิดหูเปิดตาในสถานที่แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ทุกอย่างก็ดูจะผ่านไปรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดในงาน ต้องแก้ปัญหาและหาทางออกที่เหมาะสมเวลากลับขยับอย่างยากลำบาก จนแล้วจนรอดเปรมินทร์ก็ก้าวผ่านทุกอย่างมาได้โดยปราศจากความท้อหรือยอมแพ้ ขณะที่ต้องไปศึกษาการบริหารงานของธุรกิจกับผู้เป็นอาที่ออสเตรเลีย
ชายหนุ่มถูกคุณเฮนรี่เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก ทั้งที่เรียนจบถึงปริญญาเอก ทว่าเมื่อถึงเมืองไทยก็ต้องลงไปทำงานทุกอย่างในไร่ เรียนรู้ทุกจุด ทุกไร่ที่ครอบครัวมี รวมทั้งเหมืองพลอยที่เป็นมรดกตกทอดของเจ้าแม่อีกด้วย จนกระทั่งสามปีชายหนุ่มเข้าอกเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ทั้งยังผูกพันกับคนงานตั้งแต่ระดับล่างจนถึงผู้บริหารแล้ว แทนที่คุณเฮนรี่จะให้เขาได้ช่วยงานอย่างเต็มที่และริเริ่มการเพาะกล้วยไม้ ชายหนุ่มกลับถูกส่งไปฝึกเป็นผู้ช่วยอาของตนเองเสียก่อน เนื่องจากท่านอยากให้ลูกชายได้รู้จักการบริหารบริษัทที่อยู่ในระดับกลาง
หลังกลับมาเชียงรายอีกครั้ง เปรมินทร์ก็รับงานต่อจากผู้เป็นพ่อมารับผิดชอบ เรียกได้ว่าเกือบจะครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว มีเพียงเหมืองพลอยเท่านั้นที่คุณเฮนรี่ยังดูแลอยู่ ส่วนงานในไร่ ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ชา องุ่น สตรอเบอร์รี่ กุหลาบ รวมทั้งการเพาะกล้วยไม้ที่ชายหนุ่มเพิ่มเข้ามา เป็นหน้าที่ของเขาทั้งหมด ผลผลิตมีทั้งส่งขายภายในประเทศและส่งออกนอกประเทศ
การที่ต้องมุ่งมั่นเพื่อรับช่วงบริหารงานของครอบครัวทำให้เปรมินทร์ห่างหายจากเพื่อนฝูงพักใหญ่ เมื่องานเริ่มจะลงตัวแล้วถึงได้มีการนัดพบปะบ้าง ความสนิทสนมจึงยังคงเดิม และวันนี้ชายหนุ่มบังเอิญพบเพื่อนอีกคนโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า
ร่างสูงเพรียวกำยำก้าวเข้าไปวางมือตบลงบนไหล่ของคนที่สูงไล่เลี่ยกันกับตนเอง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ด้วยความยินดีระคนประหลาดใจ และเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาก็ทำหน้าแปลกใจเช่นกัน
“ไอ้กลาง”
ชายที่เปรมินทร์ทักเป็นหนุ่มผู้มีแววตาพราวระยับราวหนุ่มเจ้าเสน่ห์ การแต่งกายก็เรียบหรูภูมิฐาน ใบหน้าคมหล่อเหลา ผิวขาวอมชมพูดูผ่องกว่าเขาเล็กน้อย ปากบางมีเลือดฝาดอย่างสุขภาพดีจนเปรมินทร์มักจะแซวอีกฝ่ายบ่อยครั้ง เพราะดูเหมือนหนุ่มสำอางที่สนใจในเพศเดียวกันมากกว่าจะมองผู้หญิงสวยๆ หากคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนสาวๆ ที่ควงแทบจะเดือนละคนคงไม่มีใครเชื่อ และด้วยความที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ ทำให้เปรมินทร์รู้ดีว่าเพื่อนของเขาเป็นประเภทผู้ชายหน้าหวาน และตรงจุดนี้แหละที่หลอกล่อสาวๆ ได้ดีนัก เพราะพวกเธอมักจะไว้ใจคนหน้าตาดีอย่างหมอนี่
“อ้าว ไอ้มินทร์ มาได้ยังไงวะเนี่ย ฉันคิดว่านายจะปักหลักอยู่แต่เมืองเหนือแล้วก็บนดอยซะอีก ไม่คิดว่าจะลงมาถึงกรุงเทพฯ นี่ได้”
อีกฝ่ายทักกลับด้วยน้ำเสียงดีใจ แม้จะกัดบ้างตามประสาเพื่อนก็ตาม
“ก็ถ้าไม่ลงมาคงไม่ได้เจอหน้านาย เพื่อนๆ ขึ้นไปเที่ยวเหนือกันครั้งก่อนนายก็ไม่ได้ไปนี่หว่า พวกนั้นนอนกลิ้งเกลือกเมาอยู่บนภูตั้งสามวันสามคืนแน่ะ รู้ไหม”
คนฟังยิ้มน้อยๆ เพราะรู้ดีว่าเวลาเพื่อนฝูงเจอกันก็จะเป็นอย่างนี้ แถมการไปพักผ่อนในที่บรรยากาศดี อาหารที่พักพร้อมอย่างภูศรีจันด้วยแล้ว พวกนั้นก็คงสนุกเต็มคราบแน่นอน แม้จะอยากสังสรรค์กับเพื่อนแต่พออายุมากขึ้น ก็ต้องให้ความสำคัญกับงานและครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งช่วงนี้ตัวเขาไม่อาจปลีกไปไหนได้จริงๆ
“งานมีปัญหาว่ะ เลยต้องขอตัว”
น้ำเสียงของคนพูดดูไม่ดีนักทำให้เปรมินทร์ฉุกใจขึ้นมา จะว่าไปแล้วเขาก็ได้ยินมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ว่ารู้จากวงในเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวอีกฝ่ายที่มีปัญหา แม้แรกได้ยินเปรมินทร์จะไม่ค่อยเชื่อนัก เนื่องจากเพื่อนของเขาคือ หม่อมหลวงกิตติกร อรรถพันธ์พงศ์ ซึ่งเป็นทายาทคนรองของ หม่อมราชวงศ์พงศกร อรรถพันธ์พงศ์ กับคุณรุจีรัตน์ที่เป็นเจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดังในไทย ทั้งยังมีธุรกิจจิวเวลรี่ที่เปิดตัวอย่างอลังการโด่งดังทั่วประเทศเมื่อห้าปีก่อนอีกด้วย แต่มาเห็นท่าทางที่ดูโตกว่าเมื่อก่อนและเคร่งขรึม แถมหน้าตายังเครียดขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องงาน เปรมินทร์ก็คิดว่าเพื่อนเขาคงกำลังมีปัญหาจริงๆ
“ก่อนฉันจะไปออสเตรเลียนายก็เริ่มเข้าไปช่วยงานที่บ้าน หน้าตาตอนนั้นของนายดูสบายๆ ไม่เครียดขนาดนี้ แถมเมื่อวานฉันอ่านเห็นในหนังสือพิมพ์ด้วยว่าเสื้อผ้ากับจิวเวลรี่แบรนด์ของบ้านนาย ได้รับเลือกให้สนับสนุนการประกวดนางงามเวทีใหญ่เลยนี่นา ดูกำลังไปได้สวย ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่หว่า”
เปรมินทร์ลองเลียบเคียงไปเพราะไม่อยากโพล่งพูดตามตรงในสิ่งที่ได้ยินให้เพื่อนผิดใจกันขึ้นมาได้
“ก็...เครียดเรื่องนี้แหละ”
กิตติกรเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ ทั้งยังทำเหมือนไม่มีอะไรมากมาย ทั้งที่หน้าตาดูราวกับมีเรื่องให้ต้องคิด
“แต่ช่างเถอะ ทำงานก็ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่ ทำไมอยู่ๆ นายถึงมางานนี้ได้ล่ะ”
งานนี้เป็นงานสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยที่กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการต่างประเทศร่วมกันจัดขึ้นในศูนย์การแสดงใหญ่ใจกลางกรุง เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยหันมาสนใจความเป็นไทย ทั้งยังเพื่อสนับสนุนให้ชาวต่างชาติได้มาศึกษาวัฒนธรรมของไทยอีกด้วย ในงานมีนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นไทย ประวัติความเป็นมาแต่ละยุคสมัย วัฒนธรรมของแต่ละภาคแต่ละท้องถิ่น รวมถึงอาหารขึ้นชื่อจากทั่วประเทศไทย ส่วนบนเวทีใหญ่ก็จะมีการแสดงนาฏศิลป์ ไล่ตั้งแต่ การละเล่นแบบพื้นบ้าน นาฏศิลป์ท้องถิ่น วรรณคดี จนถึงการแสดงโขนจากกรมศิลปากร ซึ่งรายการต่างๆ มีแจกในแผ่นพับพร้อมแผนผังการแสดงงานทั้งหมดตั้งแต่ประตูทางเข้า ผู้ที่มาชมงานส่วนใหญ่หากไม่เป็นนักเรียนจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และโรงเรียนนานาชาติ ก็มีนักศึกษา ผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบความเป็นไทย คณะจากสถานทูตของประเทศอื่นๆ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็แปลกใจที่พบเจอกันและกันที่นี่
“มาแทนเจ้าแม่น่ะ ท่านเป็นกรรมการของสมาคมศิลปะท้องถิ่นที่เชียงรายที่มาจัดแสดงในงานนี้ด้วย แต่ท่านติดงานแต่งงานลูกสาวท่านรองผู้ว่าฯ ฉันมาธุระเรื่องงานท่านเลยบอกให้ฉันมาเป็นตัวแทนหน่อย คณะทำงานที่มาจะได้รู้ว่าท่านให้ความสำคัญกับงานนี้มาก นี่ก็เห็นว่ากำลังจะขึ้นแสดงบนเวทีนะ ฉันไปพบกับครูที่เป็นรุ่นน้องของเจ้าแม่มาเมื่อกี้ ท่านบอกให้ฉันมารอดู”
“อ๋อ”
อีกฝ่ายพนักหน้าเข้าใจ ก่อนจะพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะอารมณ์กลับเข้ามาในโหมดสนุกสนานเมื่อพูดคุยกับเพื่อนสนิท
“แค่แปลกใจที่เห็นคนที่ไม่เคยรู้จักความสวยงามของศิลปวัฒนธรรม หรือความงดงามของนาฏศิลป์มาก่อนอย่างนายในที่แบบนี้เท่านั้นเอง”
สมัยเรียนที่อเมริกาด้วยกันเปรมินทร์ปฏิเสธคำชวนไปดูการแสดง ไม่ว่าจะเป็น ละครเวที โอเปร่า หรือแม้กระทั่งนาฏศิลป์ของไทยที่ไปเปิดโชว์ที่นั่นเสมอชายหนุ่มบอกเพื่อนว่าขี้เกียจนั่งนิ่งๆ ดูอะไรที่เชื่องช้าเสียเวลา เขามักจะท่องเที่ยว เล่นกีฬา หรืออยู่กับสาวๆ
“ไอ้บ้า ฉันแค่ไม่ค่อยสนใจ ดูก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ฉันก็เป็นคนนะเว้ย ถึงจะไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไร แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนถึงกับดูไม่ได้สักหน่อย นายเถอะ หนุ่มสังคมที่สาวๆ ต่างก็ห้อมล้อมวันนี้ทำไมฉายเดี่ยวได้วะ แถมยังมางานที่ไม่น่าจะมีสาวๆ ไฮโซที่ไหนชวนนายมาแบบนี้ด้วย”
“ก็มากับน้องนี่หว่า จะควงสาวที่ไหนมาได้ล่ะ”
“น้อง?”
เปรมินทร์ถามกลับด้วยใบหน้าฉงน เขารู้ว่าเพื่อนมีน้องสาว แต่คนที่เขาเคยเจอครั้งเดียวทักทายกันเล็กน้อย ตอนอีกฝ่ายไปเยี่ยมพี่ชายที่อเมริกาเพื่อท่องเที่ยวในช่วงปิดเทอม ดูไม่สนใจเรื่องแบบนี้ น้องสาวของกิตติกรเป็นสาวสวยเปรี้ยวฉูดฉาด แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมแฟชั่นจ๋า
“อืม”
“อย่างน้องนายเนี่ยนะมาทำอะไรที่นี่”
ด้วยความที่ซี้ปึ้กเปรมินทร์จึงกล้าพูดอย่างไม่ต้องเกรงใจ แล้วก็เห็นเพื่อนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมราวกับภาคภูมิใจโดยยังไม่ได้ตอบอะไร
ขณะนั้นการแสดงบนเวทีเปลี่ยนจากการละเล่นไปเป็นดนตรีในแบบร่ายรำ ปกติแล้วมันคงไม่สามารถเรียกความสนใจของเปรมินทร์ที่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ได้เลย หากไม่ใช่เพลงที่เขาจำได้ขึ้นใจทั้งที่เคยฟังและได้ชมมาเพียงครั้งเดียวตั้งแต่สองปีก่อน
แล้วร่างงดงามอ้อนแอ้นที่ก้าวออกมาช้าๆ พร้อมอากัปกิริยากรีดกรายที่อ่อนช้อยชวนจดจำอย่างต้องตาต้องใจ โดยมีพวงมาลัยที่เกี่ยวนิ้วในมือข้างหนึ่ง ก็ทำให้ตาคู่คมของเปรมินทร์ที่หันมองตามเสียงดนตรีตะลึง
ใบหน้าสวยราวนางสวรรค์ที่ชายหนุ่มไม่มีวันลืมนับตั้งแต่วันที่เขาอุ้มลูกสุนัขที่เคยอยู่ในอ้อมกอดของเธอกลับบ้าน ปรากฏขึ้นบนเวทีให้เขาได้เห็นอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง
เสียงดนตรีประกอบคำร้องที่ไพเราะ ทั้งการเยื้องย่างกรีดกรายที่พร้อมเพรียงงดงาม บวกกับใบหน้ารูปร่างอันหมดจดของสองนางรำทำให้ผู้คนต่างก็นั่งชมเงียบ รวมทั้งเปรมินทร์เองก็เช่นกัน ชายหนุ่มมองการร่ายรำของหญิงสาวที่สวยราวนางฟ้าในความทรงจำของตนอย่างไม่สามารถละสายตาได้เช่นครั้งก่อน หากแต่เมื่อได้ยินเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเปรมินทร์ก็มองมาที่กิตติกร
“นั่นไงน้องสาวฉัน”
=====
“นั่นไงน้องสาวฉัน”“ว่าไงนะ”เปรมินทร์ถามก่อนจะหันกลับไปจ้องบนเวทีอีกครั้งอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลาพร้อมเอ่ยต่อ“ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลย”“อ๋อ ไม่ใช่คนที่นายเคยเจอหรอก นี่น้องสาวคนเล็ก”“น้องสาวคนเล็กงั้นเหรอ”ชายหนุ่มหันมามองเพื่อนอีกครั้งแล้วถามย้ำ“คนไหน”ตอนนี้กิตติกรเองก็หันมามองเพื่อนเช่นกัน เขายิ้มกว้างขณะตอบ“คนซ้ายมือ คนที่อยู่ทางซ้ายมือของเราน่ะ”คำบอกของเพื่อนทำให้เปรมินทร์เหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างลืมตัว นางฟ้าคนนั้นคือน้องสาวคนเล็กของเพื่อนสนิทเขาเอง เขาได้รู้จักกิตติกรตอนเรียนที่อเมริกาแล้วอยู่คณะเดียวกัน การเป็นคนไทยด้วยกันทำให้ทั้งคู่ปรึกษาช่วยเหลือกันและกันระหว่างเรียนมาตลอด เปรมินทร์รู้เพียงว่ากิตติกรมาจากครอบครัวผู้ดีเก่าจากนามสกุลของเขาเท่านั้น ด้วยความที่ทั้งสองคบหากันด้วยใจมากกว่า ก็เลยไม่มีการพูดคุยหรือถามไถ่เกี่ยวกับประวัติครอบครัวของกันและกันมากนัก ต่างก็รู้เท่าที่อีกฝ่ายบอกหรือไม่ก็พูดขึ้นในบางครั้ง เขารู้ว่ากิตติกรมีพี่น้องนับรวมตัวเองด้วยกันสี่คน เป็นผู้ชายสองผู้หญิงสอง รายละเอียดอื่นเขาไม่สนใจ ก็เหมือนกับกิตติกรที่รู้แค่ว่าเปรมินทร์เป็นลูกชายคนเดียวของ
ในห้องนอนขนาดกลางของบ้านหลังใหญ่หรือเรียกวังน่าจะถูกกว่า มีร่างอ้อนแอ้นงดงามในชุดคลุมหลังอาบน้ำเดินไปเดินมา กระทั่งสวมเสื้อผ้าชุดกระโปรงผ้าพลิ้วยาวเหนือเข่าเล็กน้อยดูเรียบร้อย แล้วมาหยุดหน้ากระจกบานใหญ่สูงครึ่งตัวกรอบฉลุลายโบราณสวยวิจิตร แต่งเติมหน้าตาเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหนักไปที่ขั้นตอนการบำรุง จากนั้นก็รวบผมยาวสลวยเกือบถึงกลางหลังถักเปียหลวมๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจเดินเสียงเบาออกจากห้องเสียงตึงตังที่ได้ยินด้านล่างทำให้หญิงสาวทำหน้าฉงน ขณะเดียวกันใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามเอ่ยทัก“น้องก้อย จะไปไหนแต่เช้า”“ก้อยจะไปคุยเรื่องโรงเรียนกับเพื่อนค่ะพี่ปัฐ”หญิงสาวตอบ คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้ายุ่งไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน“พี่คิดว่ายกเลิกไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวนี้น้องก้อยดื้อ ไม่เชื่อพี่แล้วหรือไง”ปัฐวิกรพี่ชายคนโตของตระกูลอรรถพันธ์พงศ์ ตอนนี้เป็นหัวเรือใหญ่ของการบริหารงานทุกอย่างในครอบครัว ค่อนข้างนิ่งขรึม จริงจัง และเหตุมีผล สิ่งใดที่เขาเห็นว่าไม่เหมาะสมน้องทุกคนก็มักจะเชื่อฟัง ทว่าคราวนี้น้องน้อยกลับยังฝืนทำตามใจตัวเอง ทำให้พี่ชายถึงกับขุ่นใจ“โธ่...พี่ปั
“อะไรนะ”เสียงคุณรุจีรัตน์แหลมขึ้น หากก็ยังเบาอยู่“น้องไม่ชอบงานของครอบครัว ผมว่าเราไม่ควรบังคับนะครับ ยังไงก็มีผมกับพี่ปัฐทำอยู่แล้ว แล้วอีกไม่นานพอน้องนางจบโทกลับมา ก็จะมาทำงานด้านดีไซน์ให้เราอยู่แล้วด้วย ถึงน้องก้อยไม่ทำ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”“นายกลาง”ปัฐวิกรปรามน้องชาย หากแต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดพูด“น้องก้อยชอบนาฏศิลป์ ให้น้องไปทำงานที่น้องรักเถอะนะครับ แค่ผมกับพี่ปัฐต้องทิ้งงานของตัวเองมาช่วยที่บ้านก็พอแล้ว อย่าฝืนใจน้องเลยนะครับ”คุณรุจีรัตน์หันไปมองลูกสาวคนเล็กน้อยสีหน้าไม่พอใจ หากก็ไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีความสามารถด้านแฟชั่นเช่นลัลนา ส่วนคุณชายพงศกรมองนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเริ่มน้ำตาคลอ“จริงเหรอหนูก้อย”คุณชายถามสั้นๆกัญญานันมองผู้เป็นพ่อตรงๆ พร้อมกับพยักหน้าและรับคำเบาๆ“ค่ะคุณพ่อ”“ถึงจะไม่ชอบ แต่จะบอกว่าไม่อยากทำมันก็ไม่ถูกนะคะคุณชาย เพราะยังไงนี่ก็เป็นงานของทางบ้าน แล้วครอบครัวเราก็กำลังแย่ จะมีเงินที่ไหนให้ยายก้อยเอาไปลงทุนเปิดโรงเรียนกับเพื่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปรอดไหม สมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องพวกน
รถโฟร์วีลสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้หลังใหญ่แบบผสมผสานทั้งความคลาสสิกคละเคล้าความโมเดิร์นแบบคันทรีได้อย่างลงตัวสวยงาม ร่างสูงกำยำของเปรมินทร์ลงจากรถ ผิวที่เป็นสีแทนขึ้นมาทำให้ดูดุเข้มขึ้น น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ทั้งความหล่อเหลาก็ยังล้นเหลือ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากดูแลขั้นตอนผลิตไวน์จากองุ่นล็อตใหม่ที่เพิ่งตัดมาเมื่อช่วงเช้าหลังปล่อยทิ้งให้แห้งคาต้นมาสองเดือน เพื่อจะได้รสหวานตามที่ต้องการ เป็นไวน์แบบหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นผลผลิตส่งออกราคาดีอีกอย่างของไร่ภูศรีจัน ขณะเดินเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าปัทมาดาราซึ่งออกมาจากห้องครัวเห็นลูกชายคนพอดีก็เอ่ยขึ้น“วันพรุ่งนี้มินทร์ไปเชียงใหม่กับแม่หน่อยนะลูก”“ครับ”ชายหนุ่มรับปากโดยไม่ซักถามอะไรต่อ แต่ดูเหมือนเจ้าปัทมาดาราอยากเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยออกมาเองทำให้เขาต้องหยุดเท้าฟังต่อ“แม่จะไปเจอเพื่อนเก่า เห็นว่าเขามีลูกสาวด้วยนะ เพื่อนแม่สมัยเรียนสวยมากเลย ลูกสาวคงไม่ทิ้งแม่ ลองไปดูตัวหน่อยนะตามินทร์”คนเป็นลูกอึ้งไป คุณเฮนรี่ที่กำลังลงบันไดมาจากข้างบนหัวเราะเสียงดัง เขากลับมาถึงก่อนลูกและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว“อึ้งเชียวนะไอ้เสือ เจ้าแค่พ
คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่มไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให
“ฉันไม่ต้องการให้คุณมาช่วย มาดูแล ปล่อยนะ ฉันไม่กลับ ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ปล่อยฉันให้ตายเหมือนที่ปล่อยมอมแมมไปเลย”หนทางของคนที่จนมุมคือหันไปทุบตีต่อว่าอีกฝ่าย ขณะที่เขาพาเธอลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงสั่นเครือกับตากลมโตวาววับที่แดงเรื่อทำให้เปรมินทร์จับได้ว่าภรรยาโกรธตัวเองด้วยเรื่องอะไร เขาปรายตาไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขก“นายขับรถนะ”เปรมินทร์บอกกิตติกรแล้วพาร่างบอบบางเดินออกไปทันที ไม่สนใจเพื่อนสาวของเธอสองคนที่ได้ยินเสียงโวยวายแล้ววิ่งตามลงมา“ก้อย”สองสาวเรียกพร้อมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้กิตติกรมองสองสาวแล้วยักไหล่ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนออกไปร่างสูงใหญ่พากัญญานันมาถึงรถ กดรีโมตก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านหลังทั้งที่ยังอุ้มร่างบอบบางอยู่ วางเธอบนตักแกร่ง โอบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย“ก้อยงอนผมเรื่องนี้?”เขาก้มลงถาม แล้วเมื่อเห็นเพื่อนขึ้นไปนั่งหน้าพวงมาลัยก็โยนกุญแจรถให้“ฉันไม่ได้งอน”กัญญานันเถียงกลับขณะหันไปสบตาพี่ชายอย่างร้องขอ“ขึ้นภู”เปรมินทร์บอกเพื่อนสั้นๆ ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมผลักเขาพัลวัน เท้าก็ขยับดิ้นจนข้างที่เจ็บไปโดนที่นั่
เด็กๆ ทยอยกันกลับบ้านโดยมีผู้ปกครองมารับหลังจากหมดชั่วโมงสุดท้ายของช่วงบ่ายซึ่งสอนหลังเลิกเรียน สองหนุ่มลงจากรถแล้วเดินลิ่วสวนทางเข้าไป ด้านหน้าถัดจากประตูมีเคานเตอร์ต้อนรับอยู่ พนักงานกำลังยืนส่งผู้ปกครองกับเด็กๆ เมื่อเห็นสองหนุ่มก็ทำหน้างุนงง แต่เปรมินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน“ก้อยมาที่นี่ใช่ไหม อยู่ไหน”“เอ่อ...”สาวพนักงานอึกอัก ทำให้เปรมินทร์ยิ่งหงุดหงิด รู้ว่าเธอไม่รู้จักเขา เพราะหลังจากวันทำบุญเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีก“ผมเป็นพี่สาวน้องก้อย กัญญานันน่ะ แล้วนี่สามีเขา น้องก้อยอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”กิตติกรที่ใจเย็นกว่าอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เธอเพิ่งเคยได้พบคุณกัญญานันหุ้นส่วนอีกคนของที่นี่วันนี้เอง และไม่เคยเจอสามีหรือพี่น้องเจ้านายมาก่อน“ใช่ค่ะ”“แล้วอยู่ไหน”เปรมินทร์ย้ำเสียงดุ“คุณสองกับคุณปรางลงมาส่งเด็กๆ เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่น่ะค่ะ คุณกัญญาไม่ได้ลงมาด้วย ฉันคิดว่าอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นสาม เพราะขาเธอยังเจ็บอยู่”แม้ว่าพนักงานสาวจะพูดจนจบประโยคทว่าเปรมินทร์ไม่ได้รอฟัง เขาพุ่งตัวเข้าไปด้านในตั้งแต่ได้ยินว่าชั้นสามแล้ว กิตติกรเอ่ยขอบคุณ ยิ้มให้อีกฝ่ายขำๆ แล้วก้าวตามไป สองห
“หึ...เสียหาย คุณเสียอะไรยังไง ช่วยแจงมาให้ฟังหน่อยสิ”คนถูกสวนหน้าชา เธอคิดว่าเปรมินทร์จะไม่กล้าพูด แต่เขากลับมาท้าเธอให้พูดแทน“ผมไม่อยากพูดถึงให้มันเสียปาก เพราะยังไงคุณก็เป็นพี่สาวเมียผม อยากจะใส่ไคล้ยังไงก็เชิญ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า...”ในห้องยังคงมีแต่ความเงียบครอบคลุม เปรมินทร์หันไปยื่นข้อเสนอกับคุณชายพงศกรด้วยท่าทางที่แสนมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือกว่า“ถ้าคิดจะให้ผมเลิกกับก้อย ผมจะถอนหุ้นออกจากร้านที่ไอ้กลางจะมาเปิดสาขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ยกเลิกสัญญาคู่ค้า ต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ ผมยอม แต่ไปลองคิดดูดีๆ นะครับ ว่าผลกระทบที่ตามมาของใครจะมากกว่ากัน การขาดทุนระยะยาวที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาอยู่จะเป็นยังไง”ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าของลัลนาชั่วแวบก่อนจะเมินไปทางอื่น“เอาล่ะ วันนี้ผมว่าเชิญทุกคนไปพักที่โรงแรมดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจคนไข้สักเท่าไร กลาง...นายพาคุณน้าทั้งสองคุณกับน้องนายกลับไปก่อนเถอะ ฉันจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยแล้ว”เมื่อเอ่ยเชิญอย่างเสียมารยาทแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ทิ้งให้คุณชายพงศกรถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ลัลนากัดฟันแน่