“เธอเป็นผู้หญิงของเขา แล้วเคยเจอเขาหรือเปล่า รู้หรือว่าเขาเป็นคนยังไง” “ทำไมจะไม่รู้ ถึงเขาจะแก่ แต่ฉันชอบเขา คุณใหญ่ใจดี ไม่หยาบคายอย่างนาย จำไว้นะ อย่าบังอาจแตะต้องตัวฉันอีก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเขาให้สั่งคนจับนายยิงเป้า” หล่อนประกาศก้อง คนร่างใหญ่ถึงกับยืนจังงัง หากปิ่นลดาตีความไปว่าเขากำลังกลัวโทษที่หล่อนขู่ “อย่าตามมานะ ถ้าไม่อยากตาย” หล่อนถอยอีกสามก้าว ก่อนหันกายวิ่งหนี ร่างน้อยในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เห็นลางๆ ในคืนเดือนมืดจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง คนข้างหลังมองตาม ดวงตาคมหรี่ลง กระตุกยิ้มอย่างจอมวายร้าย อย่างนี้จะพึ่งเทคโนโลยีผลิตเลือดเนื้อเชื้อไขให้โง่ทำไม ก็หล่อนร่ำร้องอยากเป็นผู้หญิงของนายใหญ่ใจจะขาดแล้ว!
Lihat lebih banyak“คุณอย่าโกรธฉันเลย เรื่องของเจ้านาย คนทำงานอย่างฉันหรืออีกหลายคนในบ้านไม่กล้ายุ่งหรอก”“แม้ว่าเขาจะฆ่าแกงใครให้ตายต่อหน้าต่อตาใช่ไหม” ปิ่นลดาว่าเสียงแข็ง เห็นสาวใหญ่ชะงักจากหางตา ก่อนได้ยินเสียงตอบ“คุณใหญ่ไม่เคยทำร้ายใคร”ได้ยินชื่อคนคนนี้ ปิ่นลดามีปฏิกิริยาขึ้นมาทันควัน แม้ไม่ต้องทนเห็นเขาถึงสามวัน...แต่ความหวาดหวั่นก็ไม่ได้จางจากหัวใจ“เขาทำร้ายฉันแล้ว ศจีอย่าพูดปกป้องเขาให้ฉันได้ยินอีก ไม่งั้นจะไม่ให้เข้าบ้านหลังนี้” เสียงต่อว่าพาลๆ ทำให้ศจีหัวเราะออกมาได้ อย่างน้อยก็ผ่อนคลายบรรยากาศ“แล้วกันสิคุณ ถ้าฉันไม่มาทำงานในบ้านนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เด็กๆ ไปโรงเรียนกัน”พอมองอีกด้านของชีวิต ปิ่นลดาก็ทอดถอนใจ ปลงตกว่าจะหวังพึ่งใครไม่ได้อีก นอกจากตัวเธอเอง“ศจีมีลูกด้วยหรือ ไม่เห็นเคยพูดถึง”“มีสองคน อยู่กับตายายบนที่ราบด้านล่าง ใกล้เมือง ไปโรงเรียนสะดวก พอปิดเทอมก็มาอยู่ด้วย รับจ้างคุณใหญ่เก็บลูกพลับ ผลเบอร์รีในไร่ สนุกไป”แต่พอเล่า ก็ดันพาดพิงถึง
“ปล่อยนะ ปล่อยฉันลง”ปิ่นลดาดิ้นรน ยิ่งตกใจเมื่อเห็นว่าเป้าหมายของเขาเป็นห้องนอน ที่ที่เธอไม่อยากเฉียดใกล้เมื่อมีเขาอยู่ แต่พอรู้ว่าต่อต้านอย่างไรก็ไม่มีผล แถมเหตุการณ์เมื่อคืนยังตอกย้ำชัดเข้ามา ปิ่นลดาถึงกับร้องไห้โฮ“ไม่นะ อย่าทำฉันอีก ฉันกลัว ไม่เอา”ร่างน้อยถูกวางกลางเตียง เจ้าหล่อนรีบพลิกกาย กระถดหนี แต่ข้อเท้ากลมกลึงกลับถูกจับแน่น แล้วกระชากกลับ จนไถลลงนอนอย่างหมดท่ารัชตะรับรู้ถึงร่างกายสั่นเทาของเธอ ดวงหน้าทอความหวาดกลัว จนเขาต้องถอนหายใจ ไม่อยากบอกเลยว่าท่าทางของเจ้าหล่อนช่างสั่นคลอนจิตใจของเขาจริงๆ“ถ้าเธอไม่ดื้อ ฉันก็ไม่ทำอะไรเธอ” เขาบอก บางอย่างในสีหน้าและแววตาทำให้ปิ่นลดานิ่ง มองอย่างประเมิน...แต่เธอมีทางเลือกอื่นที่ไหนกันล่ะ นอกจากทำตามที่เขาว่า เผื่อตนจะรอด“เมื่อคืนเธอไม่ได้พักทั้งคืน” น้ำเสียงเขาโลมไล้ อย่างที่ปิ่นลดาเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ และยังทอดนุ่มนวล “วันนี้คงอ่อนเพลีย แถมเพิ่งยอมทานข้าว เธอไม่เป็นลมล้มพับก็บุญเท่าไหร่แล้ว ฉันไม่ทำอะไรเธอตอนนี้หรอก&rd
“ศจีอย่าเพิ่งไป” เสียงเรียกนั้นทำให้คนที่ย่างเท้ามาถึงประตูครัวต้องหันกลับ “วันนี้อยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”“เอ่อ...” ศจีอึกอัก เพราะเห็นร่างสูงตรงของเจ้านายยืนกอดอกพิงผนัง ทอดมองออกนอกหน้าต่างเหมือนกำลังรอคนในห้องครัวอยู่“ฉันไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพัง หรือศจีจะไล่เขาให้ฉัน”“ตายแล้วคุณ อย่าพูดอย่างนี้นะ เดี๋ยวคุณใหญ่ได้ยิน” ศจีตกอกตกใจ ปรี่ไปหาคนบนเก้าอี้แล้วก้มหน้ากระซิบด้วยท่าทางกริ่งเกรง แต่มีหรือที่อีกคนจะรู้สึกเหมือนปิ่นลดาวางช้อน หยิบน้ำมาดื่ม หมดความอยากอาหารขึ้นมาดื้อๆ“ได้ยินแล้วเป็นไง เขาโหดร้ายขนาดจะฆ่าฉันกับศจีไหม”เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ แต่เห็นทางหางตาว่าศจีค่อยๆ ยืดกายแล้วเดินออกไป ปิ่นลดานิ่วหน้า เม้มริมฝีปากแน่นที่นี่ก็มีแต่คนของเขา จะหาใครที่เห็นใจเธอก็ไม่มีเลยสักคน“อิ่มแล้วใช่ไหม” เสียงห้าวทุ้มดังขึ้น แม้จะเป็นคำถามห้วนๆ แต่มีแววอ่อนโยนเจืออยู่...จนหล่อนยิ่งขัดใจที่รู้สึกว่ากระแสเสียงนั้นกำลังโลมไล้เข้าไปถึงหัวใจและจิตว
“คุณใหญ่”หลังจากหายตกใจก็เปลี่ยนมาเป็นอึกอักแทน เมื่อเจ้านายใหญ่ปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอเหลือบมองประตูห้องนอนอัตโนมัติ นึกห่วงคนข้างในครามครัน“ปิ่นลดาเป็นยังไง”“ดิฉันเพิ่งจัดอาหารให้ค่ะ กำลังจะเข้าไปดู เห็นเงียบเป็นชั่วโมง”แม้นึกขุ่นใจเมื่อภาพของปิ่นลดาในเช้านี้ผุดขึ้นมาในหัว แต่ศจีต้องรีบปัดออก เพราะถึงอย่างไร คนนี้ก็เป็นเจ้านายใหญ่ที่เธอไม่ควรทำให้เคืองใจ“งั้นไม่ต้อง ฉันเข้าไปดูเอง”รัชตะยกมือห้ามคนของตัวเอง ก่อนสาวเท้าตรงไปยังประตูห้องนอนที่เขาเพิ่งจากเมื่อตอนรุ่งสาง ผลักเข้าไปโดยไม่เสียเวลาเคาะ จากที่คาดจะเห็นแม่หน้านวลในภาพต่างๆ แต่ที่ปรากฏกลับไม่ใช่เลยรัชตะยืนนิ่งตรงช่องประตู มองสำรับอาหารที่จัดไว้บนโต๊ะกลางเตียงอย่างพร้อมทาน เบนสายตามายังโต๊ะไม้วางติดผนังใกล้ตู้เสื้อผ้า ทอดมองร่างบางที่ฟุบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เรือนผมยาวนุ่มเคลียอยู่กับพื้นโต๊ะ เมื่อกวาดมองต่อมา เห็นหล่อนในชุดรัดกุมด้วยเสื้อเข้ารูปและกางเกงยีนส์หัวใจแข็งกระด้างอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาค
ตะวันเริ่มบ่ายคล้อย หากร่างเล็กบางที่ดูอ่อนแอยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอน หลังจากเข้าห้องน้ำชำระคราบอันน่าขยะแขยงที่เปรอะเปื้อนอยู่กับเรือนกาย นานหลายสิบนาทีเธอถึงพาตัวเองออกมา แล้วพบว่าผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนใหม่ เตียงนอนถูกจัดให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เธอต้องการจะได้ในตอนนี้ปิ่นลดาไม่อยากเห็นหลักฐานหรือร่องรอยที่บอกว่าเมื่อคืนนี้ได้เกิดอะไรกับตน แม้อยากหลอกตัวเองว่าเป็นแค่ฝันร้าย แต่พอตื่นขึ้นมา ความเจ็บร้าวระบมยังปรากฏอยู่หล่อนหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แม้ร่างกายจะหิวและต้องการพัก หากความคิดยังคงวิ่งวนอยู่ในหัว ซ้ำความกลัวและหวาดระแวงยังส่งผลให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย“ผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าของคฤหาสน์ เป็นเจ้านายของทุกคนที่นี่”ปิ่นลดาพยายามทบทวน ดวงตาเบิกโพลงเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน แม้จะนำพาความเจ็บปวดเมื่อใบหน้าหล่อเหลาทว่าเหี้ยมเกรียมที่ยังติดตาได้ผุดซ้อนขึ้นมาในความคิด...แต่เธอต้องผ่านมันไปให้ได้นับจากคำสั่งของพ่อบุญธรรมที่บอกให้เธอเดินทางมายังเนินคุ้มหมอก เพื่อรับงานพี่เลี้ยงเด็กที่มีค่าจ
“ไงพี่ชาย เมื่อคืนหายไปไหนมา” เสียงทักดังขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อนกับกางเกงสแล็กสีดำก้าวลงจากบันไดสู่โถงด้านล่าง เขาปรายตามองนิดเดียว แล้วถามกลับ“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“เมื่อคืน หลังจากนายหายตัวไปแล้ว” รัชภาคย์หัวเราะอย่างยียวน เหล่มองใบหน้าหล่อเหลาที่ละม้ายตัวเอง ต่างกันก็เพียงบริเวณสันกรามประดับไรเคราเขียวจางที่เจ้าตัวคงจัดการจนเกลี้ยงเกลาอยู่ทุกเช้า แล้วยกมือลูบปลายคางตัวเองอย่างลืมตัว หนวดเคราขึ้นหนา...น่าจะได้เวลากำจัดมันแล้วกระมัง“แล้วเป็นไง ดีไหม” คนคาดคั้นถามออกเดินตามติดๆ เมื่อคนร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกันเดินไปยังระเบียงด้านข้าง ที่ประจำสำหรับรับอาหารเช้า “อะไรของนาย” รัชตะถอนหายใจให้รู้ว่ารำคาญคนที่ตามมานั่งฝั่งตรงข้ามเต็มทน แล้วคลี่หนังสือพิมพ์บนโต๊ะออกมาเตรียมจะอ่าน“อย่าทำไก๋ เมื่อคืนหายไปไหนมา อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้” หนุ่มผู้น้องยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี วางท่อนแขนล่ำสันบนโต๊ะทานอาหาร จ้องมองพี่ชายอย่างต้องการหาสิ่งผิดปกติ แล้วถามลองเชิง “ถ้าไม่ชอบ ส่งให้ฉันได้นะ”รัชตะเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมสีสนิมเหล็กที่ล้อมกรอบด้วยขนตาหนา ภายใต้คิ้วดกดำ ทอปร
แต่สิ่งที่เธอร้องขอไม่เกิดขึ้น ซ้ำสิ่งนั้นยังเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ ความอุ่นร้อนชำแรกลงมา จนเธอสั่นสะท้านด้วยความซ่านเสียวและเจ็บปวด ปะปนกันไปหมด สุดท้ายของความทรมาน ปิ่นลดาผวากรีดร้องเมื่อความใหญ่โตถูกผลักดันเข้ามาจนลึกสุด ร่างกายเธอกำลังถูกฉีกร้าว ไม่อาจทนกับมันได้อีกแล้ว“ไม่ พอแล้ว เจ็บ...ไม่ไหวแล้ว ได้โปรด” กำปั้นน้อยระดมทุบบนไหลกำยำ ใบหน้าสวยแดงก่ำสะบัดไปมา สะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด “อย่า พอ ฮือๆ” ร่างกายกำลังถูกบางสิ่งตอกลิ่มเข้ามา ปิ่นลดาอยากหลุดพ้นจากมันเหลือเกิน“อย่าดิ้น ไม่งั้นเธอจะเจ็บกว่านี้” เสียงแหบพร่ากระซิบชิดหู หญิงสาวขนลุกซู่ด้วยความปั่นป่วนในช่องท้อง มือหนาเคลื่อนมากอบกุมอกอวบ บีบเคล้นเบาๆ จนเธอเริ่มผ่อนคลาย ความเสียวซ่านแทรกซึมทั่วทุกอณูเนื้อ สองมือหนาเฟ้นฟอนเต็มอารมณ์ หญิงสาวผวาเฮือก เรือนกายสั่นระริก แต่คราวนี้ด้วยความรู้สึกต่างจากเดิมใบหน้าคมเคลื่อนลงตรงซอกคอระหง ริมฝีปากได้รูปพรมจูบแผ่วเบา ปัดไล้ตามผิวอ่อน หากแค่หล่อนหลงตาม เรียวปากหยักก็ขบเม้ม ดูดดึงเต็มแรง จนได้ยินเสียงหวานครางในลำคอเขาเคลื่อนใบหน้าออกห่าง สายตาจับดวงหน้านวล เฝ้ามองอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของ
“งาน...งานอะไร” ปิ่นลดาถามเสียงขาดห้วง หล่อนจำเสียงตัวเองแทบไม่ได้ กระนั้นยังพยายามระงับความกลัวที่แล่นปราดทั่วกาย...เพื่อจะแก้ความเข้าใจผิด “ฉันมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่ไม่มี...ฉันไม่เห็นว่าที่นี่มีเด็ก แล้วฉันไม่ได้ทำงาน ถามใครก็ไม่มีคำตอบ ฉันเลยต้องถามหาคุณ”“ก่อนเธอจะได้เลี้ยงเด็ก เราต้องช่วยกันทำให้มีเด็กขึ้นมาก่อนยังไงล่ะ ปิ่นลดา และฉันคิดว่าเธอพร้อมแล้ว ถึงได้ไปหาฉัน”“ไม่ ไม่ใช่” หล่อนตะโกนก้องเมื่อรู้เจตนาเขา โผวิ่งอ้อมกำแพงหนาที่ขวางหน้าอยู่เพื่อตรงไปยังประตูที่ถูกปิดสนิทโดยที่ไม่ทันสังเกตหากว่าร่างบางเซถลากลับมาชนกำแพงเนื้อหนาหนั่นทั้งตัวด้วยแรงกระชากมหาศาล เธอดิ้นรนสุดแรงเพื่อจะหลุดพ้นจากปลอกเหล็กกล้าซึ่งกำลังรัดแน่นอยู่กลางลำตัว “ไม่ อย่า อย่าทำฉัน” เสียงร้องขอสลับกับเสียงหัวเราะห้าวที่บอกว่าเจ้าตัวสนุกกับการหยอกล้อเหยื่อให้หวั่นกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น ปิ่นลดาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเมื่อถูกผลักจนล้มบนเตียงนอน ก่อนร่างหนาจะคร่อมอยู่ด้านบน กำราบสองมือน้อยที่ทุบตีผลักไสเขา ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียว แล้วกดทับขึ้นเหนือศีรษะเธอก้อนสะอื้นวิ่งขึ้นจุกถึงลำคอ ปิ่นลดาดวงตาเหลือกลาน พย
“ฉันพาเธอเดินชมไร่ เห็นว่าอยากเดินนักไม่ใช่หรือ” คำตอบของเขาทำให้เธอต้องอุทานอย่างไม่อยากเชื่อหู“อะไรนะ นี่ฉันไม่ได้เดินกลับเหรอ”“ใช่ แล้วยังไง หรือตอนนี้อยากกลับแล้ว ฉันจะพาไป”“บ้าที่สุด ทำไมต้องทำอย่างนี้ คุณไม่ต้องพาฉันไปแล้ว ฉันจะกลับของฉันเอง” ปิ่นลดาแทบกระทืบเท้า ลืมสิ้นความกลัว นึกอยากให้ตนตัวโตกว่านี้สักเท่า จะได้จับคนป่าเถื่อนทุ่มให้แขนขาหักเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกให้เดินวนอย่างไม่รู้ทิศทาง หญิงสาวจึงตัดสินใจหันไปทางหนึ่งซึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นทางกลับบ้านหลังสีฟ้า เมื่อหนีไม่ได้ กลับไปตั้งหลักจะเป็นไรไป ดีกว่าทนอยู่กับผู้ชายบ้ากลางป่ากลางเขาหากต้นแขนกลมกลึงก็ถูกคว้ากระชับแน่น หล่อนเกือบออกแรงดิ้นอีกรอบ แต่เห็นเขาชี้ไปทางตรงกันข้าม เมื่อมองตามจึงเห็นคฤหาสน์เป็นเงาทะมึนอยู่ไกลๆหญิงสาวสะบัดแขนออก เชิดหน้าเดินโดยไม่รอให้ใครส่องไฟนำทาง เพราะตอนนี้รู้ทิศทางของตัวเองแล้วเสียงหัวเราะดังจากด้านหลัง ปิ่นลดาคอแข็ง ไม่ยอมเสียสายตาหันมอง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นึกแช่งชักหักกระดูกคนบ้าบอไปตลอดทางเขาเดินมาส่งถึงบ้านหลังสีฟ้าที่มีคนของเขายืนรออยู่ก่อน พร้อมกับกระเป๋าของปิ่นลดา หญิงสาวปรี่ไ
สายลมหนาวกระโชกแรง เสียดเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่โอบล้อมบ้านปูนชั้นเดียวขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องรับแขก ขนาดช่างกะทัดรัดเหมาะเจาะกับการอยู่คนเดียวเสียจริง ปิ่นลดาคงอุ่นใจกว่านี้หากที่พักพิงแห่งใหม่จะมีเพื่อนบ้านในระยะสายตามองเห็น...ไม่ใช่ตั้งอยู่ชิดขอบกำแพงสูงที่ล้อมคฤหาสน์ใหญ่ที่เห็นดำทะมึนอยู่เบื้องหน้าคฤหาสน์ใหญ่โต หรูหรา ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวัน หากมืดสนิทในทุกค่ำคืนหญิงสาวเอื้อมปิดหน้าต่าง ปิดกั้นความหนาวเย็นและมืดสนิทของบรรยากาศด้านนอกที่จะแทรกผ่านเข้ามา แล้วมองหนังสือในมือจากแสงนวลของโคมไฟส่อง หนังสือเล่มเดียวที่ติดกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบ้านซึ่งสร้างความเพลิดเพลิน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาและลดทอนความหวาดหวั่นที่มักจู่โจมเข้ามายามความคิดระแวงผุดแทรก และเหมือนมันจะถี่ขึ้นในพักหลังอย่างที่เธอไม่อาจหักห้ามตัวเอง“งานพี่เลี้ยงเด็ก” เธอพึมพำกับตัวเอง ก้มมองร่องรอยการใช้งานอย่างหนักของหนังสือ ไล้มุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับ ใช้เรียวนิ้วคลี่มันออก แล้วปิดลง หยิบวางตรงโต๊ะหัวเตียง ปีนขึ้นเตียง ทอดกายนอน พยายามหลับตา กว่าชั่วโมงที่เธอจะหลับใหล ไม่ต่า...
Komen