ปิ่นลดาได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรก นับจากย่างเข้ามาในเขตคฤหาสน์ราชเกียรติกูร หากการออกไปในครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจเหมือนสองครั้งแรกที่เธอพยายามหนี แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
หญิงสาวทอดสายตาออกนอกรถที่แล่นบนถนนลาดยาง นานๆ ถึงจะมีรถแล่นสวนมาสักคัน ทิวทัศน์นั้นช่างดูงดงาม ปิ่นลดาเคยค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเมืองนี้ทันทีที่รู้ว่าจะต้องเดินทางมา และสิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เคยรู้จริงๆ“ชอบหรือเปล่า”“สวยดีค่ะ”“แถวนี้ยังเป็นนอกเมือง บ้านที่เราอยู่เรียกว่าเนินคุ้มหมอก มีหมอกคลุมหนาตาเพราะภูเขาล้อมรอบ เห็นชัดในช่วงหน้าหนาว ตอนนี้เป็นปลายฝนต้นหนาวพอดี ไม่นานเธอจะได้เห็นมัน แล้วจะรู้ว่าที่ฉันบอกไม่ไกลเกินจริง”ปิ่นลดาเหลือบมองคนพูด เห็นสีหน้ายิ้มๆ เหมือนคนกำลังอวดของถูกใจก็อดรู้สึกแปลกในท่าทีเขาไม่ได้ หากปนไปด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าแต่ก่อนจนรถแล่นเข้าเขตเมือง เห็นตึกสูงปลูกเป็นแนวกลืนกับทิวเขา รัชตะเบนสายตาตามคนที่เกาะหน้าต่างมองอย่างให้ความสนใจ“สวยจังเลยค่ะ เหมือนไม่ใช่เมืองไทย”“เชีย“ไม่ต้องการหรอก”“ฉันต้องการเธอฝ่ายเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร”เขาพูดกำกวม ทำเหมือนใจป้ำ แต่ดวงตาคมแวววามนั้นปิดความคิดไม่มิด หรืออาจตั้งใจให้หล่อนรู้ปิ่นลดาหน้าร้อนวูบ อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีทางชินกับเรื่องทำนองนี้กับเขา และดูว่าสองสามวันมานี้ รัชตะเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน เปิดเผยตัวตน เปลี่ยนท่าทีกับหล่อนแต่สำหรับหญิงสาวนอกจากความน่ากลัวของเขาจะไม่ลดลงจากเดิม แต่เธอกลับต้องกลัวใจตัวเองเพิ่มขึ้นรถแล่นบนถนนเลียบเขตเมืองเพื่อไปสู่เป้าหมายอันเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เมื่อมาถึงปิ่นลดาก็นึกทึ่งอีกหน ตึกใหญ่ที่ทันสมัยแทรกอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ รายล้อมด้วยผืนป่าได้อย่างกลมกลืนรัชตะจับมือหญิงสาว หลังจากสองคนก้าวลงจากตอนหลังของรถเมื่อแล่นมาจอดเทียบหน้าตึก ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในนั้น พยาบาลสองคนที่มายืนรอรับก็เดินนำไปขึ้นลิฟต์ แล้วตรงไปยังห้องหนึ่งที่มองยังไงก็เหมือนห้องรับรองในโรงแรมห้าดาวมากกว่าห้องตรวจในโรงพยาบาลไม่ถึงนาทีที่รอคอย ประตูห้องนั้นก็เปิดออก ร่างสูงเพรียวในเสื้อกาวน์สีขาวก็เข้ามา ปิ่นล
สายลมหนาวกระโชกแรง เสียดเสียงหวีดหวิวเป็นระยะ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่โอบล้อมบ้านปูนชั้นเดียวขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องรับแขก ขนาดช่างกะทัดรัดเหมาะเจาะกับการอยู่คนเดียวเสียจริง ปิ่นลดาคงอุ่นใจกว่านี้หากที่พักพิงแห่งใหม่จะมีเพื่อนบ้านในระยะสายตามองเห็น...ไม่ใช่ตั้งอยู่ชิดขอบกำแพงสูงที่ล้อมคฤหาสน์ใหญ่ที่เห็นดำทะมึนอยู่เบื้องหน้าคฤหาสน์ใหญ่โต หรูหรา ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวัน หากมืดสนิทในทุกค่ำคืนหญิงสาวเอื้อมปิดหน้าต่าง ปิดกั้นความหนาวเย็นและมืดสนิทของบรรยากาศด้านนอกที่จะแทรกผ่านเข้ามา แล้วมองหนังสือในมือจากแสงนวลของโคมไฟส่อง หนังสือเล่มเดียวที่ติดกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบ้านซึ่งสร้างความเพลิดเพลิน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาและลดทอนความหวาดหวั่นที่มักจู่โจมเข้ามายามความคิดระแวงผุดแทรก และเหมือนมันจะถี่ขึ้นในพักหลังอย่างที่เธอไม่อาจหักห้ามตัวเอง“งานพี่เลี้ยงเด็ก” เธอพึมพำกับตัวเอง ก้มมองร่องรอยการใช้งานอย่างหนักของหนังสือ ไล้มุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับ ใช้เรียวนิ้วคลี่มันออก แล้วปิดลง หยิบวางตรงโต๊ะหัวเตียง ปีนขึ้นเตียง ทอดกายนอน พยายามหลับตา กว่าชั่วโมงที่เธอจะหลับใหล ไม่ต่า
หากทั้งหมดนั้น มันเกิดเมื่อสิบกว่าวันก่อน ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนรู้สึกในเวลานี้ปิ่นลดาเดินทอดฝีเท้าเดินจากบ้านหลังเล็กสีฟ้าเรื่อยๆ จนมาถึงเขตสวนดอกไม้ด้านข้างคฤหาสน์ คะเนด้วยสายตาเฉพาะสวนดอกไม้แห่งนี้ก็น่าจะกินพื้นที่กว่าสองไร่ ทุกอย่างช่างงดงามและสมบูรณ์แบบ หากเธอรู้ว่ามันจะสร้างความประทับใจแต่แรกเห็นเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมันคือความเงียบสงัด เย็นชาและมืดมิด ไร้อิสระโดยสิ้นเชิงลูกจ้างที่ไหนกันถึงห้ามออกพ้นเขตรั้วบ้าน เราไม่ใช่นักโทษสักหน่อย ถึงจะจ้างด้วยค่าจ้างสูงลิบ แต่สิทธิพื้นฐานของลูกจ้างยังต้องมีเหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเจออย่างนี้ ไม่มีทางมาหรอก คนหน้าหวานมุ่ยหน้าลง เมื่อประจักษ์กับความจริงในข้อนี้ เธอกำลังจะหันกายกลับเมื่อรับรู้ว่าได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ด้านหน้าแล้ว เพราะศจีสาวใหญ่ร่างผอมบางที่เธอพูดคุยอยู่ทุกวันได้บอกเป็นเชิงห้ามเอาไว้หากว่าความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอต้องชะงักพลันคนร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์กระชับตัวกับเสื้อทีเชิ้ตสีน้ำเงินไว้ข้างใน สวมทับด้วยแจ๊กเกตสีน้ำตาลเนื้อหนาที่ดูน่าจะเหมาะสำหรับการบุกงานอยู่กลางแจ้งหรือลุยเข้าป่ามากกว่าเดินอยู่ใน
“ช่างเถอะ แกจะรู้หรือไม่รู้มีค่าเท่ากัน” นายวัฒนะบอกปัด ภรรยาก็ไม่เซ้าซี้ถาม ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการและหมายตามานาน เรื่องอื่นก็ไม่น่าสนใจอีก…แต่ยังมีอีกอย่างที่สงสัยอยู่“แล้วเงินล่ะคะ เงินที่เราเอาของคุณรัชภาคย์มา ป่านนี้รวมดอกเบี้ยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคืนเขายังไง”“ไม่ต้องคืน เราล้างหนี้ไปแล้ว”“เมื่อไหร่คะ คุณเอาเงินที่ไหนไปคืน ฉันจำได้ว่าที่หยิบยืมเขาส่งให้ยายแหววเรียนต่อตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาที่ต่างประเทศมันก้อนใหญ่มาก ไหนเงินที่คุณเอาไปไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเมื่อ 2-3 ปีก่อนอีก คุณเอาเงินตั้งมากมายมาจากไหน” “ไม่ต้องสงสัยหรอก คุณรู้แค่ว่าผมหาเงินพวกนั้นมาได้ ไม่ได้คดโกงจี้ปล้นใครก็พอ เจ้าของเงินเต็มใจให้เรา แลกกับของที่ผมส่งไป จากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของผมกับคุณ หนี้ที่ส่งเสียยายแหววก็เคลียร์แล้วเหมือนกัน”“ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องการรู้ ฉันไว้ใจคุณ ส่วนบ้าน ฉันจะเริ่มเคลียร์ของออกตั้งแต่พรุ่งนี้” ดวงหน้าอูมอิ่มของหญิงวัยกลางคนดูเบิกบาน หากเป็นครู่ก็เปลี่ยนเป็นระแวงขึ้นอีก “แล้วแน่ใจนะว่าคุณรัชภาคย์ไม่ตามมาทวงหนี้คุณ พูดก็พูดเถอะ ฉันกลัวเขาจริงๆ ดูป่าเถื่อนช
ปิ่นลดาครางกับตัวเอง นอกจากหลงมาอยู่ในที่แปลกประหลาด แต่ละคนที่หล่อนเจอก็เหมือนหลุดจากโลกที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยศจีไม่ต่อล้อต่อเถียง หิ้วปิ่นโตเดินไปในห้องครัว คงจะจัดอาหารให้เธออย่างที่เคยทำนี่เป็นหน้าที่ของศจีใช่ไหม ใครเป็นคนสั่งมา หรือจะเป็นคุณใหญ่คนนั้น“ฉันอยากพบคุณใหญ่ค่ะ” ปิ่นลดาต้องพูดซ้ำถึงสามครั้งกับคนสามคนในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเดินมายังคฤหาสน์ใหญ่ คนแรกที่เจอเมื่อเข้ามาถึงเขตต้องห้ามตามที่ศจีเคยบอก เธอเห็นผู้ชายที่คงเป็นคนสวนง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ที่เคยเผลอเดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพอสังเกตใกล้ ปิ่นลดาก็นึกทึ่งว่าแท้จริงนอกจากไม้ดอกและไม้ประดับที่พอคุ้นตาแล้ว ยังมีพืชผักต่างๆ ปลูกเป็นแปลงยาว ดูเป็นระเบียบ สวยงามไม่ต่างกันหากว่ารายแรกนั้น เมื่อเธอถามก็ต้องอารมณ์เสียสุดฤทธิ์ นอกจากเธอจะถูกมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วถูกเดินหนีอีกต่างหากมันน่าหงุดหงิดนักเชียว หญิงสาวถึงฮึดมาถึงหน้าระเบียงคฤหาสน์ คราวนี้เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เห็นเธอแล้วทำหน้างุนงง ก่อนเดินมาถามอย่างลังเล และปิ่นลดาก็ต้องพูดประโยคนั้นเป็นครั้งที่สองผลที่ได้นั่นหรือ...เลวร้ายไม่ต่างกับรายแรก...จะด
พวงทิพย์เดินกลับเข้าโถงคฤหาสน์ด้วยอาการคอแข็งจัด เธอไม่สบอารมณ์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่คนที่คุณใหญ่เลือกมาดูจะหัวแข็งไม่น้อย เธอหวั่นว่าสิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ง่าย มันอาจไม่ใช่เสียแล้ว“เป็นอะไรคุณทิพย์ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ” เสียงห้าวทุ้มดังจากคนร่างสูงตรงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำทำให้เจ้าตัวยิ่งดูแข็งแกร่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ถึงกับสะดุ้ง ดูน่าตลกในสายตาคนมอง หากใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มด้วยการผสมอย่างลงตัวของเลือดตะวันตกและตะวันออกนั้นแค่แย้มขบขันนิดเดียว ก่อนเลือนหาย กลายเป็นสีหน้าแห่งความเรียบเฉยเหมือนเดิม“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณใหญ่บอกเรียกดิฉัน ต้องการอะไรหรือคะ”“ไม่มีหรอก แต่คุณทิพย์เดินหน้าเครียดเข้าบ้าน คิดว่าจะมีปัญหาแก้ไม่ตก ฉันจะได้ช่วย” เจ้าของคำพูดหยอกเล่นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเดินนำไปทางระเบียงด้านข้างของคฤหาสน์ซึ่งดูเป็นสัดส่วนพอควร ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร“อุ๊ย! คุณใหญ่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ที่คิดๆ อยู่ก็เป็นเรื่องคุณใหญ่ทั้งนั้น”“คิดเรื่องของฉัน...บอก
“ไม่...ไม่มี ฉันกลับละ”“งั้นเชิญ กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกยิ่งดี ฉันเบื่อหน้าคนขี้ขลาด ไม่มีหัวใจอย่างศจีเต็มทีแล้ว” คนไล่สะบัดหน้าพรืดเข้าบ้าน ท้ายเสียงเครืออย่างระงับไม่อยู่สองเท้าพาร่างบางเข้าห้องนอน แทนที่จะตรงไปยังห้องครัว เพราะความหิวมันหายไปหมดแล้ว กระแทกกายนั่งบนเตียง แล้วพ่นถ้อยคำระบายอารมณ์“เหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง ลึกลับ ทึมทื่อ เป็นผีดิบกันทั้งบ้าน ถามอะไรไม่รู้เรื่องสักคน”ใกล้ค่ำ รัชตะกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูร บ้านที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงมารดาชาวแคนาดาที่จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน เขามีความทรงจำดีๆ กับมารดา แถมด้วยญาติสนิททางนั้น และยิ่งมากขึ้นเป็นทวีเมื่อเทียบกับญาติทางฝั่งบิดา บิดาถือกำเนิดในราชสกุลชั้นสูงของเมืองไทย แต่ถูกขับไล่ทั้งครอบครัวเพราะเลือกแต่งงานกับมารดาที่เป็นชาวต่างชาติ แทนที่จะเป็นคนสายสกุลใกล้ชิดกันที่ถูกวางตัวไว้เพื่อจะหนุนงานด้านการทูต มันคือความผิดที่รัชตะไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยิ่งหาข้อมูลหลายด้านก็ทำให้มั่นใจว่าอยู่ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เพราะไม่มีทางเลยที่เขาหรือคนอื่นจะรับรู้ถึงความจริงจากเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนั้น แม้ ‘พ่
คนร่างอรชรนอนคว่ำหน้า สายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เธออ่านซ้ำ เป็นรอบที่สาม จนเกินชั่วโมงจึงพลิกกายหงาย แล้วทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย“เบื่อจนเครียด ใกล้จะบ้าแล้วนะ รับรองเถอะ ฉันบ้าเมื่อไหร่ ลุงได้สังเวยความบ้าของฉันเป็นคนแรกแน่ ลุงคุณใหญ่แห่งบ้านผีดิบ!”ท้ายเสียงกระแทกขุ่นมัว นึกภาพชายชราผมขาวโพลนทั้งหัว หากเรือนกายยังกำยำล่ำสัน มีรัศมีสีเทาแผ่ออกมา...และเมื่อภาพนั้นชัดขึ้นปิ่นลดากลับนึกขันปนสมเพช“คงมีเมียเด็กซุกไว้ในคฤหาสน์ พอมีลูก เลยต้องซุกต่อ จะจ้างพี่เลี้ยงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ แก่แล้วไม่เจียมตัว ทำเราเดือดร้อนไปด้วย” หล่อนว่าใส่อารมณ์ พยายามสูดลมหายใจลึก บรรเทาอารมณ์เดือดพล่าน แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงต่อว่าฝากฟ้าลม “ถ้าลุงอยู่ส่วนลุง ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฉีกอกลุง ตัณหาหน้ามืดของลุงทำฉันเดือดร้อน ลุงกำลังคุกคามชีวิตอันสงบสุขของฉันอยู่ เข้าใจไหม”เจ้าหล่อนทุบกำปั้นลงกับที่นอน พ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างเคืองแค้น การถูกกักขังให้อยู่ในบ้านหลังเล็ก โดยมีคนคุมคอยส่งอาหารเช้าเที่ยงเย็น จะติดต่อใครก็ไม่ได้ การจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เป็นอันไม่ต้องคิดฝันถึงขนาดนี้ ใครจะ
“ไม่ต้องการหรอก”“ฉันต้องการเธอฝ่ายเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร”เขาพูดกำกวม ทำเหมือนใจป้ำ แต่ดวงตาคมแวววามนั้นปิดความคิดไม่มิด หรืออาจตั้งใจให้หล่อนรู้ปิ่นลดาหน้าร้อนวูบ อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีทางชินกับเรื่องทำนองนี้กับเขา และดูว่าสองสามวันมานี้ รัชตะเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน เปิดเผยตัวตน เปลี่ยนท่าทีกับหล่อนแต่สำหรับหญิงสาวนอกจากความน่ากลัวของเขาจะไม่ลดลงจากเดิม แต่เธอกลับต้องกลัวใจตัวเองเพิ่มขึ้นรถแล่นบนถนนเลียบเขตเมืองเพื่อไปสู่เป้าหมายอันเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เมื่อมาถึงปิ่นลดาก็นึกทึ่งอีกหน ตึกใหญ่ที่ทันสมัยแทรกอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ รายล้อมด้วยผืนป่าได้อย่างกลมกลืนรัชตะจับมือหญิงสาว หลังจากสองคนก้าวลงจากตอนหลังของรถเมื่อแล่นมาจอดเทียบหน้าตึก ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในนั้น พยาบาลสองคนที่มายืนรอรับก็เดินนำไปขึ้นลิฟต์ แล้วตรงไปยังห้องหนึ่งที่มองยังไงก็เหมือนห้องรับรองในโรงแรมห้าดาวมากกว่าห้องตรวจในโรงพยาบาลไม่ถึงนาทีที่รอคอย ประตูห้องนั้นก็เปิดออก ร่างสูงเพรียวในเสื้อกาวน์สีขาวก็เข้ามา ปิ่นล
ปิ่นลดาได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรก นับจากย่างเข้ามาในเขตคฤหาสน์ราชเกียรติกูร หากการออกไปในครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจเหมือนสองครั้งแรกที่เธอพยายามหนี แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าหญิงสาวทอดสายตาออกนอกรถที่แล่นบนถนนลาดยาง นานๆ ถึงจะมีรถแล่นสวนมาสักคัน ทิวทัศน์นั้นช่างดูงดงาม ปิ่นลดาเคยค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเมืองนี้ทันทีที่รู้ว่าจะต้องเดินทางมา และสิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เคยรู้จริงๆ“ชอบหรือเปล่า”“สวยดีค่ะ”“แถวนี้ยังเป็นนอกเมือง บ้านที่เราอยู่เรียกว่าเนินคุ้มหมอก มีหมอกคลุมหนาตาเพราะภูเขาล้อมรอบ เห็นชัดในช่วงหน้าหนาว ตอนนี้เป็นปลายฝนต้นหนาวพอดี ไม่นานเธอจะได้เห็นมัน แล้วจะรู้ว่าที่ฉันบอกไม่ไกลเกินจริง”ปิ่นลดาเหลือบมองคนพูด เห็นสีหน้ายิ้มๆ เหมือนคนกำลังอวดของถูกใจก็อดรู้สึกแปลกในท่าทีเขาไม่ได้ หากปนไปด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าแต่ก่อนจนรถแล่นเข้าเขตเมือง เห็นตึกสูงปลูกเป็นแนวกลืนกับทิวเขา รัชตะเบนสายตาตามคนที่เกาะหน้าต่างมองอย่างให้ความสนใจ“สวยจังเลยค่ะ เหมือนไม่ใช่เมืองไทย”“เชีย
“แล้วจะทำอะไร นี่ยังเช้ามืดอยู่”“คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก ฉันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ”“เช่น...” เขาถาม เห็นท่าทางเหลียวมองรอบกายแล้วกลับมาทำท่าอ้ำอึ้งของเธอก็หัวเราะขึ้น ความอ่อนโยนกำลังเกาะหนึบในหัวใจเขารัชตะจูงมือหญิงสาวพาไปยังมุมหนึ่งของห้องที่หล่อนเพิ่งเห็นว่าเป็นมุมพักผ่อนอย่างดี มีทั้งทีวีและตู้หนังสือติดผนังขนาดย่อม“อยู่ในนี้แล้วกัน เบื่อหรือง่วงเมื่อไหร่ก็ตามมา”จัดการให้เธอเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับไปยังเตียงนอนนุ่มกว้าง ปล่อยคนร่างบางให้มองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย สุดท้ายทั้งทีวีและหนังสือที่คิดว่าจะสนใจกลับไม่สามารถจูงใจเธอได้เลย เมื่ออยู่ตามลำพัง ความเงียบก็ทำให้ความรู้สึกเธอเปลี่ยนไปปิ่นลดาซุกตัวบนโซฟา เหลือบมองคนที่นอนบนเตียงเหมือนไม่สนใจเธอ ยกมือปาดน้ำตาแล้วนอนขดตัวบนโซฟาบ้างหญิงสาวหลับตา เธอไม่เข้าใจตัวเอง หงุดหงิดกับอาการที่กำลังเป็น บางทีเหมือนเรียกร้องความสนใจจากเขา หล่อนรู้สึกตัวดี แต่ถ้าไม่ทำ เธอก็ถูกความโหยหาโถมเข้าใส่ ปิ่นลดาไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกว่าทุกคนในโลกใบนี้หันหลัง
คนตัวใหญ่ปลอบด้วยสีหน้าร้อนรนเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ยากจะรับมือ ก่อนลุกจากเตียง เดินลิ่วไปทางประตู จากนั้นปิ่นลดาก็ได้ยินเขาสั่งคนรับใช้เสียงเข้มอย่างที่เธอต้องหยุดฟังแล้วประเมินค่ำคืนนั้นปิ่นลดาเจอสถานการณ์ที่เดาไว้ก่อนแล้ว การจะขยับตัวไปทางไหน โดยไม่มีสายตาเขาจับมอง เป็นอันว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน“ในไร่ยังมีผลไม้อีกหลายอย่าง นอกจากลูกพลับ”รัชตะบอก ย้ำเสียงในตอนท้ายเหมือนยังติดใจที่กว่าหล่อนจะยอมกินก็วุ่นกันทั้งบ้าน‘ฉันจะกินที่เก็บใหม่จากต้น แต่ในจานนี้ไม่ใช่ ฉันรู้ว่าไม่ใช่’ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนรู้ได้อย่างไร แม้แต่รัชตะ แต่เมื่อมันเป็นจริงตามหล่อนว่า ผลไม้เหล่านี้ถูกเก็บมาไว้ในครัวตั้งแต่เมื่อวาน สำหรับคนปกติถือว่ายังเป็นผลไม้สดใหม่ แต่ไม่นับรวมถึงคนท้องคนนี้‘ไปบอกนายปั้นให้ไปเก็บมาใหม่’รัชตะสั่งเด็กทันทีอย่างต้องการเอาใจเธอ แต่แล้วกลับต้องอึ้ง‘ฉันไม่ไว้ใจนายปั้น ฉันอยากให้คุณไปเก็บเอง’‘อะไรนะ เธอจะให้ฉันไปเก็บลูกพลับในไร่มาให้เธอกินหรือ’‘ใช่ ถ้าคุ
งุนงงแป๊บเดียว แฟรงค์ก็ไหวไหล่ ทำท่าเหมือนศาสดาผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งในโลก ไม่ใช่หมอที่เชี่ยวชาญจากการเรียนรู้และฝึกฝน“นายจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันคิดว่าเธอแค่อ้างเพื่อไม่ให้นายแตะต้องตัวเธอ”“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ทำไมเธอต้องอ้างอย่างนั้นด้วย นายเป็นคนนอก อย่าอวดรู้ไปหน่อยเลย” รัชตะกัดฟันกรอด ไม่ชอบหน้าเพื่อนที่คบกันมาเกือบยี่สิบก็คราวนี้ละ“นายนอนกับเธอบ่อยแค่ไหน”“บ่อย เกือบทุกคืน” ไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องตอบ เพราะสำนึกอีกส่วนบอกว่าเพื่อนที่รั้งตำแหน่งหมอประจำตัวของปิ่นลดากำลังทำหน้าที่อยู่“นานแค่ไหน”“น่าจะสองเดือน”“ก่อนนี้เธอมีประจำเดือนไหม หมายถึงนายต้องงดเว้นการหลับนอนกับเธอเพราะสาเหตุนี้บ้างหรือเปล่า”“ไม่นะ ไม่มี” รัชตะตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด แล้วก็เบิกตาโต “นาย...นายหมายความว่า…”“ก็ตรงกัน ความเข้าใจฉันไม่ผิด เมื่อวานตรวจร่างกายคุณปิ่นลดา ฉันสงสัยบางอย่าง แต่วันนี้มั่นใจมากขึ้นหลังจากคุยกับเธอและตรวจปัสสาวะ&rdquo
ภาพของหมอหนุ่มต่างจากภาพในความคิดของปิ่นลดาโดยสิ้นเชิง ผู้ชายวัยกลางคนใส่แว่นตาท่าทางอ่อนโยนไม่มีให้เห็นในตัวของคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มอย่างพร้อมทำความรู้จัก“ปิ่นลดา นี่หมอแฟรงค์ เพื่อนของฉัน”“ค่ะ สวัสดีค่ะ”ปิ่นลดายกมือไหว้แทบไม่ทัน เมื่อได้ยินคำแนะนำและเพิ่งรู้สึกตัวว่ามองคนมาใหม่มากไป แล้วเหลือบเห็นเจ้าของเสียงที่ปลุกเธอตื่นจากความสงสัยและประหลาดใจ เขาตีสีหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอยู่ จะด้วยสาเหตุใดเธอก็ไม่รู้ หรือติดพันจากการเถียงกันเมื่อครู่ก็สุดจะเดา“เป็นยังไงบ้างครับ ได้ข่าวว่าแข็งแรง ดีขึ้นมากแล้ว”“ฉันสบายดีค่ะคุณหมอ ไม่ได้ป่วยไข้อะไร”“ได้ยินอย่างนี้หมอก็สบายใจครับ”ปิ่นลดายิ้มโล่งอก เหมือนหมอจะไม่ติดใจอาการของเธอแล้ว แต่เสี้ยววินาที รอยยิ้มเธอก็หายวับ“ใหญ่ นายออกไปก่อน ฉันขออยู่กับคุณปิ่นลดาตามลำพัง”“ได้ยังไง นายจะตรวจก็ตรวจไปสิ ห้องตั้งกว้าง ฉันเกะกะนายตรงไหน”“หวงมากหรือ งั้นไปเรียกเด็กมาอยู่ในห้องสักคน แล้วเชิญนายออกไป&
“งั้นเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วออกมาทานข้าว ฉันจะให้คนยกมาในห้อง ส่วนเสื้อผ้าเธอ ให้ศจีขนมาให้ทั้งหมดนั่นละ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอก”“ตกลงว่าฉันกลายเป็นนักโทษขังเดี่ยวไปแล้วใช่ไหมคะ”“ขังเดี่ยวที่ไหน ขังคู่กับฉันต่างหาก”รัชตะว่าเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม ไร้ร่องรอยล้อเลียน แต่ปิ่นลดารู้หรอกว่าเขาแสร้งทำ เพราะดวงตาสีสนิมเหล็กนั่นพราวระยับทั้งวันรัชตะคอยป้วนเปี้ยนใกล้ปิ่นลดา โดยเธอคิดว่าเป็นเพราะเขาว่างจากงาน จึงลงทุนเฝ้าเธอด้วยตัวเอง คงกลัวว่าจะหนีพอตกบ่ายหญิงสาวผล็อยหลับ ด้วยสาเหตุที่เจ้าตัวรู้ดี...อาการจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคงปรากฏแล้วแต่พอตื่นในเวลาใกล้เย็น เธอกลับเห็นชายหนุ่มนั่งทำงานง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานชั่วคราวที่จำได้ว่าเมื่อเช้าไม่มีมันอยู่ตรงนี้“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม จะกินอะไรหรือเปล่า” เขาวางปากกา เงยหน้ามองเธอ เพราะอาจรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาอยู่“คนเพิ่งตื่นนอน จะหิวได้ยังไง ทำยังกับไปวิ่งข้ามเขามาอย่างนั้นละ” คนถูกถามตี
หล่อนอึกอัก ใบหน้าซีดเผือด หากรัชตะก็รู้จักเธอดีที่จะรู้ว่าความรู้สึกที่ฉายชัดบนใบหน้าไม่ได้เกิดจากเขาร่างสูงใหญ่สืบเท้าไปใกล้ ดึงโทรศัพท์มือถือจากมือเธอ ปิ่นลดายอมปล่อยโดยดี ทำท่าจะผละออกห่าง แต่ชายหนุ่มคว้ามือบางไว้ กระชับแน่น ก่อนจะกดเรียกดู...เพื่อจะรู้ว่าเป็นหมายเลขที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว“เธอคุยอะไรกับพ่อของเธอ”“ไม่ ไม่ได้คุย”หล่อนส่ายหน้า เห็นร่องรอยสับสนเหมือนเด็กหลงทาง วูบหนึ่งเขาอยากรั้งมากอดเหลือเกิน แต่จำต้องทำใจแข็งไว้“บอกความจริง”“พ่อรับสาย คิดว่าเป็นคุณ แต่พอรู้ว่าฉันพูด พ่อก็ตัดสาย” แค่นั้นคนร่างบางก็สะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น “ทำไมพ่อไม่คุยกับฉัน”ดวงหน้าหวานเงยมองชายหนุ่ม วินาทีนั้นรัชตะก็หมดความอดกลั้น ดึงหล่อนมากอดไว้แน่น“เขาอาจจะยังไม่พร้อม”“ทำไมพ่อถึงไม่พร้อม ฉันแค่อยากคุยด้วย แต่เขาทำเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน”หล่อนคร่ำครวญทั้งที่ใบหน้ายังซุกอกเขา แล้วร้องไห้โฮอย่างไม่อาจกลั้น จนรัชตะสัมผัสถึงความเปียกชุ่มผ่านถึงแผงอกหนา เป็น
รัชตะผุดลุกนั่ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวเตรียมพร้อมเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่ตนนอนกกกอดทั้งคืน“ปิ่นลดาเป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกฉันสิ”เขาถามคนที่นั่งยกมือปิดหน้าแล้วร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งคว้ามาหาเพื่อจะสำรวจให้รู้ แต่เจ้าหล่อนกลับตะกายหนีท่าเดียว“หยุดร้อง แล้วบอกฉัน เธอเป็นอะไร”รัชตะดึงมือบางออกจากดวงหน้า แล้วถามเสียงเข้ม เพราะเห็นแล้วว่าใช้วิธีเดิมไม่สำเร็จ“คุณเป็นบ้าอะไร ทำไมแก้ผ้าล่อนจ้อน น่าเกลียด น่าขยะแขยงที่สุดเลย”“เฮ้ย! นี่เธอร้องลั่นบ้านเพราะเห็นฉันเปลือยนี่นะ”“ใช่สิ คนบ้าอะไรนอนเปลือยเป็นผีเปรต ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วยังมานั่งถามหน้าตาเฉยอีก คนหน้าด้าน”หล่อนยังกรีดเสียงใส่ต่อเนื่อง จนรัชตะเปลี่ยนเป็นจากความห่วงใยเป็นหมั่นไส้ได้ในพริบตาเหมือนกัน“ทำยังกับว่าฉันไม่เคยนอนแก้ผ้าบนเตียงกับเธอ อ้อ! ถ้าจะต่างก็ตรงเมื่อก่อนไม่แก้อย่างเดียว แต่เรายัง...”เขาลากเสียงยาว สีหน้าล้อเลียนและเย้ยหยัน จนคนนั่งผมรุ่ยร่ายกลางเตียงต้องส